16 ส.ค. 2020 เวลา 03:07 • ปรัชญา
การตาย ๔ รูปแบบทางพระพุทธศาสนา
1
"ความตาย" เป็นสิ่งที่คนทุกคนล้วนแล้วแต่ต้องพบเจอกันทุกคน ไม่ช้าก็เร็ว สักวันทุกคนก็ต้องตาย
แล้ววันนี้ผมจะพาทุกคนไปรู้จักกับความตายทั้ง ๔ รูปแบบในแง่มุมของศาสนาพุทธกันครับ
๑.อายุกขยะ( อา-ยุ-กะ-ขะ-ยะ ) ตายเมื่อสิ้นอายุ
พระพุทธองค์เคยตรัสเอาไว้ว่า ในแต่ละยุค คนเราจะมีความสั้นหรือยืนยาวของอายุที่แตกต่างกัน
เช่น ในปัจจุบันคนเรามีอายุเฉลี่ยประมาณ ๗๕-๘๐ เมื่อเทียบกับคนในสมัยพุทธกาล คนเรามีอายุเฉลี่ย ๙๐-๑๐๐ ปี
ในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาได้กล่าวเอาไว้ว่า
ผ่านไป ๑๐๐ ปี อายุของมนุษย์จะลดลงหรือเพิ่มขึ้น ๑ ปี
ยุคที่มนุษย์มีอายุต่ำที่สุดคือ ๑๐ ปี สูงสุดคือหลายล้านปี ในคัมภีร์ฎีกามาเลยยสูตร ( ฎี-กา-มา-เลย-ยะ-สูตร ) แสดงอายุสูงสุดของมนุษย์คือ ๑ อสงไขย
ซึ่งก็คือ เลข ๑ แล้วตามด้วย ๐ อีก ๑๔๐ ตัว และได้กล่าวไว้อีกว่า พระพุทธเจ้าจะมาเกิดอีกครั้งในช่วงที่มนุษย์มีอายุระหว่าง ๑๐๐ - ๑๐๐,๐๐๐ ปี
คนที่ตายในช่วงอายุที่ใกล้ๆหรือมากกว่ากับอายุเฉลี่ยในยุคนั้นๆ จะถือว่าเป็นการตายแบบ
อายุกขยะ
เช่น ในปัจจุบัน ถ้าใครตายเมื่ออายุมากกว่าหรือใกล้เคียงกับ ๗๕ ปี ก็ถือว่าผู้นั้นตายแบบสิ้นอายุขัยนั่นเองครับ
๒.กัมมักขยะ( กัม-มัก-กะ-ขะ-ยะ )
ตายเมื่อสิ้นกรรม
คนเราที่เกิดมาและมีชีวิตดำเนินต่อไปในแต่ละวันนั้น ล้วนแล้วแต่มีกรรมเป็นตัวขับเคลื่อน
หมดกรรม ณ ที่นี้ หมายถึง หมดสิ้นแรงกรรมที่เป็นปัจจัยในการใช้ชีวิตอยู่ ตัวอย่างเช่น
พระนางสิริมหามายา พระพุทธมารดา
หลังจากที่พระนางทรงให้ประสูติเจ้าชายสิทธัตถะแล้ว ๗ วันก็ทรงสวรรคต หลังจากนั้นพระนางก็ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต
เนื่องจากในอดีตชาติ พระนางได้บำเพ็ญความดี แล้วตั้งความปรารถนาเอาไว้ว่า อยากเป็นพระมารดาของพระพุทธเจ้าสักองค์หนึ่ง
ในชาตินี้ กรรมส่งผลให้พระนางได้สมปรารถนา และเมื่อได้ตามประสงค์แล้ว กรรมที่เป็นปัจจัยให้อยู่ต่อก็หมดลง
ซึ่งการคลอดผู้เป็นพระโพธิสัตว์แล้วตายภายใน ๗ วัน ถือเป็นกฎแห่งกรรมตามธรรมดาของหญิงผู้เป็นมารดาของพระโพธิสัตว์ที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าทุกพระองค์
การสิ้นกรรมแบ่งออกเป็น ๒ ลักษณะ
ถ้าหากเกิดขึ้นกับคนดี กรณีนี้จะเรียกว่า
"หมดบุญ" หรือ "สิ้นบุญ"
แต่ถ้าเกิดขึ้นกับคนไม่ดีหรือคนที่เกิดมาแล้วมีความเป็นอยู่ที่ทรมาน เช่น เด็กที่เกิดมามีร่างกายไม่ครบ กรณีนี้จะเรียกว่า "สิ้นกรรม" หรือ
"หมดเวรหมดกรรม"
๓.อุภยักขยะ( อุ-ภะ-ยัก-กะ-ขะ-ยะ )
ตายเพราะสิ้นอายุและสิ้นกรรม
ข้อนี้จะเป็นแบบข้อ ๒ เลย เพียงแค่ว่าการตายลักษณะนี้คือตายเพราะหมดสิ้นแล้วทั้งอายุและกรรม ยกตัวอย่าง เช่น
มีชายคนหนึ่งล้มป่วยทนทุกข์ทรมานตั้งแต่เป็นหนุ่ม เพราะกรรมจากการฆ่าสัตว์ จนกระทั่งอายุ ๘๐ ปีจึงเสียชีวิต แบบนี้เรียกว่า อุภยักขยะ ครับ
๔.อุปัจเฉทกมรณะ
( อุ-ปัจ-จะ-เฉท-ทะ-กะ-มอ-ระ-นะ )
ตายเพราะกรรมตัดรอน
1
ในทางพระพุทธศาสนาจะแบ่งกรรมตามหน้าที่ออกมา ๔ อย่าง คือ..
๑) ชนกกรรม กรรมที่ทำหน้าที่นำจิตไปเกิด เป็นกรรมที่ติดอยู่กับดวงจิตสุดท้ายก่อนตาย ซึ่งจะทำหน้าที่นำจิตไปเกิดในภพภูมิใหม่ที่เรียกว่า "ปฏิสนธิจิต"
๒) อุปัตถัมภกกรรม กรรมที่ทำหน้าที่สนับสนุนความดีให้ดียิ่งขึ้น หรืออาจจะซ้ำเติมกรรมไม่ดีให้หนักขึ้น เป็นกรรมที่ให้ผลต่อจากชนกกรรม
เช่น ชนกกรรมทำให้เกิดในตระกูลสูงๆ
อุปัตถัมภกกรรมก็สนับสนุนให้ร่ำรวย เป็นต้น
หรือบางคนเกิดมาพิการ อุปัตถัมภกรรมก็ซ้ำให้เจ็บป่วย หรือถูกเหยียดหยาม เป็นต้น
๓ ) อุปปีฬกกรรม กรรมที่ทำหน้าที่บีบคั้นหรือบั่นทอนกรรมฝ่ายตรงข้ามให้อ่อนลง
๔ ) อุปฆาตกกรรม กรรมที่ทำหน้าที่ตัดรอน หรือหักล้างกรรมฝ่ายตรงข้ามให้ส่งผลไม่ได้อีกต่อไป
ข้อ ๓ และ ๔ ถ้าเรามีกรรมดีอยู่ในตัวมากๆ กรรมดีก็จะส่งผลให้กรรมร้ายลดลง แต่ถ้ามีกรรมไม่ดี กรรมไม่ดีตัวนั้นก็จะทำให้กรรมดีอ่อนลงนั่นเอง
ซึ่งผู้ที่ตายในแบบที่ ๔ คือคนที่ยังไม่ถึงเวลา แต่กรรมไม่ดีอันมากเหลือทั้งในชาตินี้และชาติที่แล้ว ได้เข้ามาตัดรอนให้ต้องตายก่อนเวลาอันควร
เรื่องสามารถหาวิธีแก้ทางได้ เช่น ทำบุญ อะไรก็ว่าไป ถ้าทันก็รอด ไม่ทันหรือแก้ไขไม่ได้ก็ตาย
การตายลักษณะที่ ๑ ๒ ๓ เป็นลักษณะที่เป็นธรรมชาติปกติทั่วไป แต่ในแบบที่ ๔ จะเป็นการตายแบบผิดธรรมชาติ หรือที่เรียกกันบ้างๆว่า
"ตายโหง" นั่นเองครับ
สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าจะการตายแบบไหน สักวันหนึ่งคนเราก็ต้องตายจากไป เป็นกฎที่สิ่งมีชีวิตหลีกหนีไม่ได้เลย
อย่าลืมสร้างความดีเก็บไว้มากๆ
และทำสิ่งดีๆให้ใครสักคนได้จดจำ
แค่เป็นคนดี คุณก็เป็นที่น่าจดจำแล้ว
เมื่อถึงวันนั้น เราจะไม่ได้หายไปจากโลกนี้เลย
เพราะยังเหลือเราอยู่ในใจของใครสักคนหนึ่ง
ขอให้ทุกคนมีวันที่ดี สวัสดีอาทิตย์ครับ
Reference : หนังสือระวังจะเกิดเป็นผี
เรียบเรียงเพิ่มเติม : เรื่องเล่าในความมืด
⏳16/8/63✒️

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา