Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ดร.ธีร์รัฐ ไชยอัคราวัชร์
•
ติดตาม
16 ส.ค. 2020 เวลา 13:02 • ท่องเที่ยว
“การดิ้นรน.. เพื่อรักษาเชื้อชาติไทย..”
ปัจจุบัน เงินทองเป็นทรัพย์สินที่มีค่า.. การบุกรุกชาติอื่น ก็เพราะต้องการทรัพยากรต่างๆ..
แต่ในอดีต.. กำลังแรงงานและกำลังความคิดของคน.. คือทรัพยากรอันมีค่า.. มากกว่าการยึดครองดินแดน..
เพราะได้ดินแดนมา ก็ไม่รู้จะทำประโยชน์อะไร.. ถ้าไม่มีกำลังคน..
“มนุษย์” สร้างแรงงานได้.. ก่อสร้างได้.. ผลิตงานศิลป์ได้.. สร้างวัฒนธรรมได้.. และรักษาเผ่าพันธ์ุของชาติได้..
สมัยก่อนเวลารบกัน.. จึงนิยมกวาดต้อนช้าง ม้า วัว ควาย และคนชาติอื่นกลับไป..
ส่วนใหญ่เน้นคนดีที่มีฝีมือ.. คนที่มีเชื้อสายดี..เช่น เชื้อพระวงศ์ต่างๆ..
พอเข้าใจแล้วนะครับว่า.. ทำไมนายขนมต้มยอดฝีมือนักมวยชาวไทยที่เล่าขานกันถึงถูกกวาดต้อนไปด้วย..
เมื่อได้คนชาติอื่นมาแล้ว.. เขาดูแลเหมือนเป็นคนชาติตน.. ไม่ใช่เอาไปกักขังเป็นเชลยศึกแบบที่เราเข้าใจ..
ถ้าเป็นคนธรรมดาก็จัดที่อยู่ที่ทำกินให้.. คนมีฝีมือปั้นแกะก่อสร้าง ก็เอามาใช้แรงงานฝีมือ..
ถ้าเป็นคนมีเชื้อสายสูง.. ก็เลี้ยงดูเยี่ยงเชื้อพระวงศ์ของประเทศตนเอง..
พอจะเห็นภาพนะครับว่า.. องค์พระสมเด็จพระนเรศวรมหาราช กับพระสุพรรณกัลยา.. ที่ถูกกวาดต้อนไปสมัยยังทรงพระเยาว์น่ะ..
กษัตริย์พม่าท่านดูแลพระองค์ทั้งสองอย่างไร..
การรบชนะแล้วกวาดต้อนคนชาติไปเป็นของตน.. รวมทั้ง การดูแลคนชาติที่ตนกวาดต้อนมาได้นั้น..
ไม่ได้สะท้อนว่า ชาติไหนใจดี.. ชาติไหนโหดร้าย..
แต่สะท้อนแนวคิดการทำสงคราม.. การให้เกียรติ ให้คุณค่ากับทรัพยากรมนุษย์.. และวัฒนธรรมการทำสงครามในครั้งกระโน้น..
พม่าตีกรุงศรีอยุธยาได้.. กวาดต้อนคนไทยไปเป็นจำนวนมาก.. เจ้าฟ้าอุทุมพรของอยุธยา.. ก็ถูกพาไปด้วย..
คนพม่าเรียก กรุงศรีอยุธยาว่า.. “โยเดีย”.. นั่นก็คือ โย-ดา-ยา หรือ A yu da ya นั่นเอง..
เรียกคนไทยที่พามาจากกรุงศรีอยุธยาว่า.. “โยเดีย” เหมือนกัน..
ทุกวันนี้ คนไทยที่อยู่ในพม่า.. ถูกกลืนด้วยวัฒนธรรมความเป็นอยู่เป็นชาวพม่าไปหมดแล้ว..
ทั้งภาษา วัฒนธรรม การแต่งกาย..
แต่ปู่ย่าตายายของพวกเขา พร่ำบอกพวกเขาเสมอว่า..
“พวกเราเป็นชาวโยเดีย.. มาจากโยเดียนะ..”
แถมยังสอนภาษาลับที่ใช้สื่อสารกันเองด้วย.. นั่นก็คือ “ภาษาไทย”..
มีการค้นพบโบราณสถานที่เขาสันนิษฐานว่า เป็นพระอัฐิของเจ้าฟ้าอุทุมพร.. เพราะบรรจุในบาตรชั้นสูงที่กษัตริย์พม่าจะให้แก่คนเชื้อสายราชวงศ์หรือพระเท่านั้น..
อัฐิดังกล่าวเป็นส่วนของกราม ที่เผาไม่หมด..
นักวิชาการรู้ว่า ฟันคน แข็งแกร่งกว่ากราม.. เมื่อไฟเผากรามไม่หมด.. ฟันจะต้องไม่ถูกเผาแน่นอน..
แต่ทำไม ไม่พบฟัน แม้แต่ซี่เดียว..
จนกระทั่งเขาไปพบหนังสือโบราณเขียนโดยพระรูปหนึ่งว่า พระอาจารย์ของท่านเป็นพระชาวโยเดีย..
และพบว่า ชาวโยเดียในเมืองนั้นเชื่อกันว่าพระเจ้าอุทุมพรที่บวชเป็นพระภิกษุนั้น บรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว..
ต่อมาก็พบว่า ในเจดีย์วัดแห่งหนึ่งพังลงมา.. ข้างในพบพระพุทธรูปใหญ่เล็ก.. ศิลปะอยุธยารวม 111 องค์..
บางองค์ มีตัวหนังสือไทยจารึกอยู่ด้านหลัง..
บางองค์หนึ่ง แกะจากมรกตอยู่ในผอบ.. และพบฟัน 1 ซี่วางอยู่ด้วย..
เขาจึงสันนิษฐานว่า.. ฟันที่เหลือจากการพระราชทานเพลิงพระศพของพระเจ้าอุทุมพร.. คงถูกลูกศิษย์และชาวโยเดียที่เคารพนับถือ แบ่งกันเอาไปบูชา.. บรรจุตามเจดีย์ในหมู่บ้านของตน..
นักวิชาการพม่า ทราบว่า.. เมืองใดมีคนไทยในอดีตอาศัยอยู่โดยสังเกตว่า.. ชาวโยเดียนิยมสร้างเจดีย์ เรียงกัน 3 องค์.. ซึ่งชาวพม่าจะไม่ทำแบบนี้..
ในหมู่บ้านโยเดีย จะมีศาลพระราม.. ซึ่งคนไทยในอยุธยานับถือพระราม พระลักษณ์ โดยจะสร้างเป็นแบบศาลพระภูมิมีเสาเดียวใกล้หมู่บ้าน..
ที่ว่าคนไทยโบราณสมัยอยุธยานับถือพระรามน่าจะเป็นความจริงครับ..
พระราชวงศ์พระเจ้าอู่ทองที่อยู่เมืองสุพรรณบุรี..ย้ายมาที่ใหม่.. มาตั้งชื่อเมืองใหม่ว่า.. “กรุงศรีอยุธยา” เหมือนกับชื่อกรุงอโยธยาในวรรณคดีรามเกียรติ์..
ไม่ใช่แต่เมืองไทยนะครับ.. เขาว่า ที่อินเดีย ที่อินโดนีเซียซึ่งสมัยโบราณคือ อาณาจักรของพุทธศาสนา ก็มีเมือง ชื่ออยุธยาเหมือนกัน..
แถมอีกนิด.. นี่วิเคราะห์เองนะครับ.. สมัยอู่ทอง ทั้งกษัตริย์และชาวเมืองคงพูดเสียงเหน่อแบบเมืองสุพรรณกันหมด..
พอท่านย้ายเมือง ย้ายผู้คนจากสุพรรณบุรีมาตั้งเป็นกรุงศรีอยุธยา..
คนอยุธยาทุกวันนี้เลยเสียงเหน่อตามไปด้วย.. 55
แม้จะเพี้ยนไปบ้างก็ตาม..
ย้อนกลับไปหาชาวโยเดียที่พม่านะครับ..
คนไทยนับถือ พระราม มีศาลพระรามสร้างแบบศาลพระภูมิมีเสา 1 ต้น..
แต่ชาวพม่า ไม่นับถือพระราม และศาลพระภูมิแบบใช้เสา 4 ต้น..
หมู่บ้านโยเดียส่วนใหญ่ ไม่ต้องการให้คนโยเดียแต่งงานกับคนพม่า.. หรือคนชาติพันธุ์อื่นเพราะเกรงจะสูญเสียความเป็นโยเดีย..
เขาก็จะแต่งงานกันเองในหมู่บ้านโยเดีย.. ถ้าไม่ชอบคนในหมู่บ้านเดียวกัน.. ก็เลือกที่จะไม่แต่งงานเลย.. อยู่เป็นโสด..
ผู้ใหญ่บ้านชาวโยเดียคนหนึ่งบอกว่า..
“ชาวโยเดียวหวงแหนชาติพันธุ์มาก.. หากมีหนุ่มต่างหมู่บ้านเข้ามาจีบสาวชาวโยเดีย.. จนค่ำมืดแล้วก็ยังไม่ยอมกลับ..
ชาวโยเดีย จะช่วยกันเอาหินปาไล่พ่อหนุ่มคนนั้นกลับออกไป..”
เขาถามคนสูงอายุชาวโยเดียว่า.. ถ้าได้กลับไปเมืองไทย อยากจะไปไหนมากที่สุด..
คุณยายแกตอบว่า..
“อยากจะไปกราบศาลพระรามพระลักษณ์ที่เมืองไทย..” 555
บางคนอาจจะสั่งลูกหลานไว้ว่า..
“หากปู่ย่าตายายตายไปแล้ว.. ถ้ามีโอกาสให้กลับมาตามหาญาติพี่น้องที่เมืองไทยนะ..”
มีครั้งหนึ่งเขาถามนักวิชาการพม่าที่ศึกษาเรื่องชาวโยเดียว่า..
“คุณคิดว่า สมมุติว่า คุณเป็นชาวโยเดีย.. คุณอยากจะย้ายกลับมาอยู่เมืองไทยมั้ย..”
เขาตอบว่า ก็คงแล้วแต่นะ..
“ถ้าผมเป็นชาวโยเดียในยุคเก่า.. อดีตนั้นพม่าเจริญกว่าไทย.. ผมมาอยู่พม่าแล้ว คงไม่อยากกลับไปอีกหรอก..
แต่ถ้าเป็นชาวโยเดียในปัจจุบัน.. ถ้าเป็นไปได้ คงอยากกลับเมืองไทยกันหมดแหละ..”
แต่เท่าที่ผมฟังผู้เฒ่าผู้แก่ชาวโยเดีย.. พยายามบอกเล่า พยายามรักษาความเป็นชนชาติไทยเอาไว้..
ผมสรุปได้ว่า.. คนโยเดียยุคนั้น เขารักและคิดถึงแผ่นดินไทย.. เขาหวงแหนวัฒนธรรมประเพณี.. และคิดถึงญาติมิตรที่พลัดพรากจากมาครับ..
ถ้าเขาอยากอยู่พม่าจริง.. คงเลือกเดินทางย้ายครอบครัวไปอยู่พม่าเสียแต่แรก.. ไม่ต้องรอให้ถูกกวาดต้อนในฐานะฝ่ายแพ้สงคราม..
และถ้าอยากอยู่พม่าจริงๆ เมื่อถูกกวาดต้อนไปแล้ว.. คงจะดีใจที่ได้ใช้ภาษาพม่า.. ดีใจที่ได้นุ่งโสร่งโพกหัว.. ดีใจที่ได้ทาแป้งทานาคา..
ไม่ต้องแอบสื่อสารสืบสาย ใช้ภาษาลับด้วยภาษาไทยอย่างที่ปรากฎให้เห็นอยู่..
ผมโพสต์เรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เดียวครับ.. เมื่อท่านได้ทราบเรื่องชาวโยเดียในพม่าแล้ว..
แค่อยากจะถามคนอ่านว่า..
“คุณรักความเป็นเชื้อชาติไทยมากขึ้นบ้างมั้ย..”
ขอบคุณอดีต.. ที่ทำให้มีปัจจุบัน..
สวัสดีชาวโยเดีย..
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย