16 ส.ค. 2020 เวลา 14:21 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
Electronics warfare เมื่อการทำสงครามมีมากกว่าแค่จับปืนยิงกัน
เมื่อพูดถึงการทำสงครามแล้วก็มักจะนึกถึงภาพของกองทหาร กับการยิงโต้ตอบกับฝ่ายตรงข้ามที่มีการระเบิดเป็นฉากหลัง การซุ่มยิงผู้คนจากระยะไกลที่ทั้งต้องคำนวนค่าต่าง ๆ พร้อมกับพรางตัวเป็นก้อนหินในพงหญ้าไปด้วย การมีเรือดำน้ำในครอบครองจำนวนมาก หรือการยิงมิสไซล์ข้ามทวีปใส่ฝ่ายตรงข้ามในสงครามนิวเคลียร์แบบที่คาดการณ์ไว้ตั้งแต่ยุคสงครามเย็น
แต่ตั้งแต่ยุคสงครามโลกครั้งที่สองได้มีอีกรูปแบบหนึ่งของสงคราม ที่พัฒนามาอย่างรวดเร็วจนถึงปัจจุบัน และสามารถพลิกผลแพ้ชนะและความสูญเสียได้ เป็นรูปแบบของการสู้รบที่เอาชนะกันด้วยขีดจำกัดทางเทคโนโลยี และการสร้างความได้เปรียบให้กับตัวเอง พร้อมกับทำลายขีดความสามารถของศัตรูมากกว่าการใช้กำลังรบ หรืออาวุธที่อานุภาพทำลายล้างสูงในการบดขยี้ฝ่ายตรงข้ามให้สิ้นซาก และสามารถใช้ได้กับทั้งสเกลเล็กในระดับพื้นที่จนถึงระดับประเทศ
Electronic warfare (EW) คือการใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและแหล่งกำเนิดพลังงานต่าง ๆ ในเชิงการทหารเพื่อสร้างความได้เปรียบให้กับตนเอง สร้างความเสียเปรียบหรือความเสียหายโดยตรงให้กับฝ่ายตรงข้าม และปกป้องตัวเองและฝ่ายเดียวกันจากการรบกวนของทั้งฝ่ายตัวเองและฝ่ายตรงข้าม โดยจุดมุ่งหมายคือการควบคุมการใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านั้นๆและป้องกันไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามใช้งานได้ Electronic warfare สามารถใช้ได้กับหลากหลายเป้าหมายทั้งผู้คนทั้งพลเรือนหรือทหาร และวัตถุสิ่งของต่างๆ ที่เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ โดยรูปแบบหลักของ EW มีอยู่สามอย่างคือ
:: Electronic countermeasures (ECM) ::
ECM คือการโจมตีทางอิเล็กทรอนิกส์ แต่ถึงชื่อจะบ่งบอกว่าเป็นการโจมตีแต่ ECM ก็สามารถใช้ในการป้องกันได้เช่นกัน ECM คือการใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือแหล่งกำเนิดพลังงานในการแจมสัญญาณ ส่งข้อมูลปลอมหรือทำลายอุปกรณ์ของฝั่งตรงข้ามและสร้างความเสียหายให้กับข้อมูลที่ฝั่งตรงข้ามได้รับ ECM สามารถทำได้หลายทางเช่นการสร้างเป้าหมายจำนวนมากบนระบบตรวจจับของฝ่ายตรงข้าม การทำให้ไม่สามารถล็อคเป้าหมายได้ สร้างความปั่นป่วนและความเสียหายให้กับฝ่ายตรงข้าม ใช้แหล่งกำเนิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าพลังงานสูงอย่างเลเซอร์ในการทำลายเป้าหมาย และทำให้ฝ่ายตรงข้ามสูญเสียความสามารถในการใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
ตัวอย่างของ ECM ที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายคือ ชาฟฟ์ (chaff) แฟลร์ (flair) ที่มีการใช้มาตั้งแต่ยุค WWII และพัฒนามาจนถึงปัจจุบัน ชาฟฟ์คือแถบอลูมิเนียมหรือกระจกเคลือบโลหะ หรือพลาสติกที่สามารถสะท้อนสัญญาณเรดาร์ได้ดี และทำให้ถูกมองว่าเป็นเป้าหมายหลัก แทนวัตถุที่ถูกล็อคเป้าหมายในตอนแรกหรือรบกวนสัญญาณเรดาร์จนไม่สามารถอ่านค่าตำแหน่งเป้าหมายได้ชั่วคราว แฟลร์คือรูปแบบหนึ่งของพลุไฟ ที่ใช้โดยเครื่องบินเพื่อตอบโต้การล็อคเป้าหมายด้วยสัญญาณความร้อน ด้วยการปล่อยวัตถุที่มีความร้อนสูงกว่าไอพ่นของเครื่องบินมาก ๆ เพื่อทำให้ระบบตรวจจับความร้อนเกิดความสับสนขึ้น
อีกรูปแบบของ ECM ที่สามารถพบเจอได้บ่อยๆในหนังไซไฟคือการโจมตีด้วย EMP ซึ่งเป็นการใช้การเปลี่ยนแปลงของสนามแม่เหล็กและสนามไฟฟ้ารุนแรงอย่างรวดเร็ว จนเหนี่ยวนำในโลหะของแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ จนสร้างความต่างศักย์ที่มากพอจะสร้างความเสียหายให้กับวงจรได้ โดย EMP สามารถเกิดขึ้นได้โดยใช้เครื่องกำเนิดคลื่นไมโครเวฟหรือสนามแม่เหล็กไฟฟ้า แต่ผลที่ได้จะเป็นวงที่แคบน้อยกว่าการใช้ระเบิดนิวเคลียร์ในชั้นบรรยากาศมากๆ EMP ที่เกิดขึ้นจากการใช้ระเบิดนิวเคลียร์ในชั้นบรรยากาศ สามารถทำให้แม้แต่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่ได้ทำงานเกิดความเสียหายถาวรได้
EMP ไม่จำเป็นต้องเกิดจากฝีมือมนุษย์เสมอไป ในบางครั้งตัวการกำเนิด EMP นั้นก็มาจากธรรมชาติซึ่งก็คือดวงอาทิตย์ เมื่อดวงอาทิตย์เกิดการปะทุของแก้สร้อนมีประจุออกมา ซึ่งแก้สร้อนมีประจุนี้มีสนามแม่เหล็กของตัวเอง ก็จะเกิดการรบกวนการทำงานของดาวเทียมและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์บนโลกได้ และเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ดาวเทียมต้องมีวัสดุคล้ายฟอยล์ห่อหุ้มเอาไว้ เพื่อป้องกันระบบอิเล็กทรอนิกส์ภายในนั่นเอง
:: Electronic protection (EP) ::
EP หรือการป้องกันทางอิเล็กทรอนิกส์ คือการป้องกันตนเองและพวกเดียวกันจากการโจมตีทางอิเล็กทรอนิกส์จากทั้งฝ่ายเดียวกันและฝ่ายตรงข้าม หลบเลี่ยงการแจมสัญญาณคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ตรวจจับและปกป้องฐานที่มั่นจากการโจมตีของฝ่ายตรงข้าม ตัวอย่างเช่นการใช้สัญญาณหลายความถี่ ระบบตอบโต้การโจมตีทางอิเล็กทรอนิกส์ และเทคโนโลยี stealth
รูปแบบของ EP ที่มีการใช้แพร่หลายและรู้จักกันดีคือการ Jamming หรือการรบกวนสัญญาณคลื่นวิทยุด้วยการใช้สัญญาณรูปแบบตรงกันข้ามในการรบกวน หรือหักล้างคลื่นความถี่เป้าหมายทำให้เป้าหมายไม่สามารถรับสัญญาณใด ๆ ได้ การ Jamming มีเป้าหมายหลักคือโดรนและอากาศยานไร้คนขับ สัญญาณจากอุปกรณ์การสื่อสารต่าง ๆ และดาวเทียม
และการรับมือกับการโจมตีที่รุนแรงกว่าอย่าง EMP ด้วยการ Radiation hardening ที่ทำให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มีความทนทานต่อสนามแม่เหล็กไฟฟ้าหรือการแผ่รังสีมากขึ้น โดยนิยมสร้างโดยใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เวอร์ชั่นทั่วไปที่หาได้ตามท้องตลาดเป็นต้นแบบ โดยวิธีที่เป็นที่นิยมคือการใช้แผงวงจรแบบหุ้มฉนวน การใช้ชั้นป้องกันเช่นกรงฟาราเดย์ และวงจรตรรกะแบบ Error correcting memory ในการตรวจเช็คข้อมูลที่อาจเกิดความผิดพลาดจากผลของ EMP หรือรังสีได้
:: Electronic warfare support (ES) ::
ES คือการทำงานของผู้ใช้เทคโนโลยี Electronic warfare ในการตรวจจับ ระบุตัวตนและวิเคราะห์ต้นกำเนิดของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เพื่อแยกระหว่างสัญญาณทั่วไปและการโจมตีหรือป้องกันทางอิเล็กทรอนิกส์ และใช้ข้อมูลจากการสังเกตการณ์ การสำรวจ และงานข่าวกรองเพื่อให้ข้อมูลกับผู้มีอำนาจการตัดสินใจในการโจมตี ป้องกัน และการวางแผนภารกิจในระยะยาว
หมายเหตุ : บทความนี้ถูกแปลมาจากบทความเต็มภาษาอังกฤษที่ผู้เขียนเคยเขียนวิเคราะห์เกมลงใน r/arknights ลิ้งค์ที่ใช้เป็น reference สามารถหาอ่านได้ในลิ้งค์นี้
เรียบเรียง : Restorer37
ภาพประกอบ : Restorer37
#SCIFI #STORY
โฆษณา