ชาวอเมริกันนำแครนเบอร์รี่มาทำอาหารหลายชนิดเพื่อรับประทาน ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาใช้แครนเบอร์รี่ทำเป็นยารักษาบาดแผลและใช้ทำสีย้อมผ้าด้วยเนื่องจากผลของมันมีสีแดงสด สำหรับแครนเบอร์รี่นั้นมันมีชืาอเรียกแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ชาวแคนาดาเรียกผลไม้ชนิดนี้ว่า
"มอสเบอร์รี่"และสำหรับชาวอังกฤษอพยพที่อาศัยอยู่ในอเมริกาในสมัยก่อนนั้น พวกเขานิยมใช้แครน
เบอร์รี่ในวันขอบคุณพระเจ้า ในปี ค.ศ.1820แครนเบอร์รี่ถูกส่งไปยังยุโรปพวกมันกลายเป็นผลไม้ที่ชื่อเสียงอย่างมากในเวลาต่อมาและในสก็อตแลนด์ แครนเบอร์รี่ได้รับการเก็บเกี่ยว แต่ด้วยลักษณะพื้นที่เพาะปลูกที่ไม่เหมาะสม มันจึงเป็นพืชที่ให้ผลผลิตได้ไม่เพียงพอกับการเก็บเกี่ยวและไม่ยั่งยืนนัก
เอาล่ะคุณรู้ประวัติแครนเบอร์รี่คร่าวๆไปแล้ว ซึ่งนั่นมันไม่สำคัญเท่ากับสรรพคุณของมันที่จะช่วยให้ร่างกายของคุณต่อสู้กับโรคต่างๆได้อย่างดีเยี่ยม
แครนเบอร์รี่เป็นแหล่งของสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพไม่แพ้ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่อื่นๆนั่นคือ "เบต้าแคโรทีน กรดฟีโนลิก ไฟโทเคมิคอลแทนนินหรือโพรแอนโทไซยาฃนิดิน ลูทีนและซีแซนทีน"
ปริมาณอาจตะไม่เท่ากับบูลเบอร์รี่ แต่คุณมั่นใจได้ว่า
มันมีสรรพคุณที่ดีไม่แพ้กันด้วยสารอาหารที่สำคัญกับร่างกายได้แก่
❇️ใยอาหาร
❇️น้ำตาล
❇️แคลเซียม
❇️แมกนีเซียม
❇️แมงกานีส
❇️ฟอสฟอรัส
❇️โพแทสเซียม
❇️โซเดียม
❇️วิตามินซี
❇️วิตามินเอ
❇️วิตามินเค
มาดูกันว่าเจ้าแครนเบอร์รี่มีสรรพคุณอะไรบ้าง
❇️ช่วยส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน
❇️ช่วยระบบไหลเวียนโลหิตให้ดีขึ้น
❇️ช่วยต่อต้านการก่อตัวของเซลล์มะเร็ง
❇️ช่วยบำรุงหัวใจให้แข็งแรง
❇️ช่วยต่อต้านการอักเสบอันเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย
❇️ช่วยยับยั้งการรวมตัวของคอลเลสเตอรอล
❇️ช่วยป้องกันหลอดเลือดอุดตันที่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคหัวใจ
❇️ช่วยปกป้องและชะลอความเสื่อมของเซลล์ในร่างกาย
❇️ช่วยทำให้ผิวพรรณสวยใสและสุขภาพดี
❇️ช่วยป้องกันแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดปัญหาฟันผุ คราบหินปูนและกลิ่นปาก
ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและน้ำแครนเบอร์รี่ออกมาตอบสนองความต้องการด้านสุขภาพของผู้บริโภคมากมาย แต่เราก็ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีความน่าเชื่อถือและปลอดภัยเพื่อให้ได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
❇️บอกให้รู้❇️
ดื่มน้ำแครนเบอร์รี่เข้มข้นวันละ1กล่องหรือวันละ300มิลลิกรัม จะช่วยลดการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะได้ถึง50%
# happy now#ต่อต้านเชื้อแบคทีเรียด้วยแครนเบอร์รี่