ธุรกิจที่สร้างรายได้จาก “ความทรงจำ”
ภาพถ่ายวัยเด็ก ภาพถ่ายครอบครัว ภาพถ่ายกับเพื่อน
สิ่งเหล่านี้ เป็นตัวแทนของ “ความทรงจำ”
ถ้าหากความทรงจำเหล่านั้นไม่ได้เป็นเรื่องที่เลวร้าย
เราก็คงอยากเก็บเรื่องราวเหล่านั้น
แต่การจะเก็บรักษาความทรงจำเหล่านั้นเอาไว้
ในบางครั้งก็มีต้นทุนที่ต้องจ่าย
และแน่นอนว่าจะต้องมีคนได้ประโยชน์จากเราในเรื่องนี้
ถ้าเป็นในสมัยก่อน
หลายคนเลือกที่จะพิมพ์ภาพถ่ายเก็บไว้ในอัลบั้มที่เป็นเล่ม
และแน่นอนว่า ธุรกิจที่ได้ประโยชน์จากตรงนี้
คือร้านที่ให้บริการล้างและอัดภาพที่เราไปใช้บริการ
ต่อมา พฤติกรรมของเราเปลี่ยนไป
การพัฒนาของสมาร์ตโฟนทำให้เรานิยมเลือกที่จะเก็บความทรงจำเหล่านั้นไว้บนสมาร์ตโฟน
Cr. Samsung
และในตอนนี้การเข้าถึงอินเทอร์เน็ต และความเร็วในการเชื่อมต่อถูกพัฒนาขึ้น
ทุกอย่างจึงเริ่มถูกเก็บไว้บนคลาวด์
เรื่องนี้หมายความว่าอะไร?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
หมายความว่า คนที่สร้างรายได้จากความทรงจำของเราในตอนนี้
อาจไม่ใช่ร้านอัดรูปเหมือนแต่ก่อนแล้ว
แต่กลายเป็นเจ้าของแพลตฟอร์มต่างๆ บนโลกอินเทอร์เน็ต
ถ้าจะให้แบ่งกลุ่มบริษัทเหล่านี้
ก็น่าจะแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม
1. กลุ่มที่สร้างรายได้โดยตรง จากความทรงจำของเรา
2. กลุ่มที่สร้างรายได้ทางอ้อม จากความทรงจำของเรา
กลุ่มแรก คือ กลุ่มที่สร้างรายได้โดยตรงจากความทรงจำของเรา
เช่น บริษัทที่ให้บริการพื้นที่จัดเก็บรูปภาพ บนโลกอินเทอร์เน็ต
หรือที่เราเรียกกันว่า ธุรกิจคลาวด์
ตัวอย่างเช่น Google Photos
ที่ให้อัปโหลดรูปภาพไปเก็บบนพื้นที่จัดเก็บออนไลน์ของ Google
โดยสามารถใช้บริการได้ฟรี ถ้าหากเลือกการเก็บภาพแบบ “High Quality” คือ อาจถูกลดขนาดหรือความชัดของภาพลงจากต้นฉบับ
Cr. XDA Developers
แต่ถ้าต้องการเก็บภาพแบบ “Original Quality”
ที่จะไม่ถูกลดคุณภาพ ก็จะต้องยอมจ่ายค่าบริการพื้นที่จัดเก็บให้กับ Google
ตัวอย่างการคิดค่าบริการ
จ่าย 70 บาทต่อเดือน สำหรับพื้นที่ 100 GB
จ่าย 99 บาทต่อเดือน สำหรับพื้นที่ 200 GB
จ่าย 350 บาทต่อเดือน สำหรับพื้นที่ 2 TB
ซึ่งจากข้อมูลจาก Google ในปี 2017
Google Photos มีจำนวนผู้ใช้งานต่อเดือน 500 ล้านคน
และมีการอัปโหลดผ่าน Google Photos มากถึง 1,200 ล้านรูปภาพต่อวัน
นอกจาก Google Photos ก็ยังมีบริการอื่นที่ให้บริการคล้ายกัน
เช่น iCloud ของ Apple และบริการคลาวด์จากบริษัทอื่น
Cr. Lifewire
กลุ่มที่สอง คือ กลุ่มที่สร้างรายได้ทางอ้อมจากความทรงจำของเรา
ธุรกิจในกลุ่มนี้ ยกตัวอย่างเช่น
LINE แพลตฟอร์มสำหรับการติดต่อสื่อสาร
ที่เก็บความทรงจำในรูปข้อความสนทนา
รวมถึงมีพื้นที่ให้สร้างอัลบั้มรูปภาพ
Cr. LINE
Facebook แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย
ที่เป็นพื้นที่รวบรวมความทรงจำ ทั้งในรูปแบบของข้อความ รูปภาพ และวิดีโอที่โพสต์ลงไทม์ไลน์
Cr. Sewer.io
Instagram ที่เน้นพื้นที่สำหรับเก็บรูปภาพและวิดีโอสั้น
Cr. The Verge
แพลตฟอร์มทั้งหมดที่ว่ามา แม้จะมีความแตกต่างกันในการใช้งาน
แต่ข้อสังเกตคือ แพลตฟอร์มเหล่านี้ให้พื้นที่เราได้สร้างเรื่องราวและเก็บความทรงจำทั้งสิ้น
ซึ่งความทรงจำมากมายที่เราได้นำไปฝากไว้บนแพลตฟอร์มนั้นๆ ได้กลายเป็น “Switching Costs” หรือ ต้นทุนที่เกิดขึ้นเมื่อเราจะเลิกใช้แพลตฟอร์ม
Cr. FourWeekMBA
อธิบาย Switching Costs แบบง่ายๆ ก็คือ
ถ้าเราตัดสินใจจะเลิกเล่น LINE, Facebook หรือ Instagram
ต้นทุนที่เกิดขึ้นคือ เราต้องทิ้งรูปภาพ วิดีโอ และข้อความที่เคยเก็บไว้บนแพลตฟอร์มนั้นไป
ซึ่งคนที่ไม่อยากเสียเรื่องราวเหล่านี้ ก็จะเลือกใช้งานแพลตฟอร์มนั้นต่อไปเรื่อยๆ
พอแพลตฟอร์มสามารถดึงดูดให้ผู้ใช้งานอยู่ต่อไปได้เรื่อยๆ ก็จะสามารถหารายได้จากช่องทางอื่นทางอ้อมได้ เช่น ค่าโฆษณา ค่าซื้อสติกเกอร์
จากมุมมองนี้ เราก็จะเห็นได้ว่า
นอกจากความทรงจำจะเป็นสิ่งที่มีคุณค่าสำหรับตัวเราเองแล้ว
แต่ที่เราอาจลืมคิดไปก็คือ
ความทรงจำของเรา ยังเป็นสิ่งที่สร้างมูลค่า ให้กับบางธุรกิจอีกด้วย
ใครที่คิดว่าตัวเราไม่มีค่า
อย่างน้อย ถ้าเราหายใจ และ “มีความทรงจำ”
“เราก็มีค่า” สำหรับธุรกิจเหล่านี้แล้ว..
- 122
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2024 Blockdit
