22 ส.ค. 2020 เวลา 10:02 • การตลาด
เป็นติ่งผิดตรงไหน จงภูมิใจที่ได้ติ่ง!
สมัยเด็กๆเวลาที่เราเริ่มชอบดาราสักคน
ผู้ใหญ่มักจะบอกเราว่า ทำอะไรไร้สาระ
เอาเวลาไปเรียนหนังสือดีกว่า
เอาเงินไปเก็บ ไม่ต้องไปซื้อหรอกอัลบั้มหรือ collection ต่างๆ
เราจะถูกหาว่าไร้สาระและถูกมองเป็นเรื่องผิดในสายตาพ่อแม่เสมอ
เราเลยโตมาแบบได้ติ่งนิดหน่อยสมัยมัธยม
ไม่สามารถทานทนการโดนว่าได้นาน ไม่มีโอกาสได้ตามติ่ง
พออายุมากขึ้นเราก็ยุ่งอยู่กับการทำมาหากิน
จนกระทั่งเงยหน้า รู้สึกตัวอีกทีก็ 40 แล้ว
หน้าที่การงานก็มากขึ้น ความรับผิดชอบมากขึ้น
เคยมองว่าเรื่องติ่งเป็นเรื่องไกลตัวมากๆ ไม่ใช่วัยเราอีกแล้ว
แต่ทว่า วันหนึ่ง การกลับมาของหน้ากากจิงโจ้
ได้ดึงเรากลับมาให้รู้จักอารมณ์ของติ่งอีกครั้ง
ช่วงแรกๆก็ไม่กล้าออกตัวมาก ยังติดกับความรู้สึกเก่าๆ
ว่าเราไม่ควรทุ่มเทเป็นเแฟนคลับใครหรืออะไร
แต่ว่าในวันที่ตัดสินใจเป็นนุชนั้น (สมัยนั้นยังไม่มีคำว่า นุช)
ก็มีความคิดที่ว่า อ้าว เฮ้ย มันจะไปผิดอะไร
กับการประกาศตัวว่าสนับสนุนนักร้องสักคน
แล้วเราก็มีเหตุผลในการสนับสนุนของเราเอง
ใครจะมาวิจารณ์ก็เรื่องของเค้าละกัน
เพราะงั้นเราก็เลยเปลี่ยนมุมมองชีวิตนิดนึงตอนมาเป็นนุช
ว่า การที่เราอายุเยอะ การที่เราทำงานดีๆ การที่เรามีเงิน
การที่เรามีครอบครัว ฐานะสังคมดีๆ มันไม่ควรจะทำตัวเป็นแฟนคลับใคร
ทำไมล่ะ เพราะสังคมขีดเส้นเอาไว้ ว่าเราควรจะทำอะไรในช่วงอายุไหน
ในฐานะสังคมแบบนี้ เราควรทำตัวแบบนั้นแบบนี้
แต่การเอาคำว่าตัวเรา สังคม อายุ ฐานะ ออกไป
มันทำให้เราโล่งใจอยู่เหมือนกันนะ
ที่เราจะแต่งตัวบ้านๆ สไตล์นุช แล้วออกไปงานห้าง
ขอพื้นที่น้องข้างๆนั่งพื้นมันกลางห้าง
ไถทวิตรอผลิตโชค คุยเล่นกับน้องๆนุช
แล้วก็ร้องเพลงตาม แย่งของแจกจากผลิต
เออ อะไรมาห้ามไม่ให้เราทำแบบนี้เหรอ
ทำไมเราต้องไปยืนเก็กสวยๆว่า อุ้ย ชั้นเนี่ยระดับไหน
ทำไมต้องลดตัวลงไปนั่งพื้น
หรือทำเมินๆใส่ดารานักร้องเพราะกลัวจะถูกคนหาว่าบ้าดารา
ขออภัย ใช้รูปเก่าหน่อย ช่วงหลังๆไม่ค่อยมีเวลาไปเจอผลิต
ความเป็นตัวเองและตัวตนนั้นมันเป็นของเราหรือของสังคม
ความชอบ ความอินกับเรื่องใดๆเราว่ามันเป็นเรื่องดีๆทั้งนั้นแหละ
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวิ่ง เรื่องกิน เรื่องงาน เรื่องนักร้อง
ถ้าเรายอมรับความบ้าเรื่องลูกของคนวัยเราได้
ทำไมถึงยอมรับความบ้านักร้อง บ้าเรื่องวิ่งในวัยนี้ไม่ได้ล่ะ
สังคมมักจะขีดเส้นว่า คนวัยเราต้องมีลูก และเรื่องที่คุณควรอินในตอนนี้
คือการมีลูก และการเลี้ยงลูก แต่ถ้าเราบอกว่า อ้าว เราไม่อิน
เราอินเรื่องการเป็นนุช คนก็จะมาวิจารณ์ว่า
แก่ป่านนี้ยังบ้านักร้อง แทนที่จะไปมีลูก เลี้ยงลูกไป
อัมโซเร เงินก็เงินเรา เวลาก็เวลาเรา ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนใดๆ
คนวิจารณ์มาเลี้ยงลูกให้เรามั้ย (ถ้ามี) ขอถึงเรียนจบเลยนะ
เพราะงั้นเราเลยมองว่า การที่คนเขียนเอาตัวเองมาขีดเส้นว่า
เราไม่ควรจะไปเป็นแฟนคลับ หรืออินกับอะไร มันคือการบ่งชี้ของคนเขียน
ว่ามีการขีดเส้นของความเหนือกว่า ต่ำกว่าต่อสิ่งที่คนอื่นกระทำอยู่
เพราะเราว่าคนทุกคนมันมีเรื่องอินของตัวเองอยู่แล้ว
แค่สิ่งเหล่านั้นมันถูกสังคมมองว่า มันเหมาะหรือไม่เหมาะกับตัวเรายังไง
แล้วคนเขียนก็มาทำตัวเป็นสังคม เป็นคนขีดเส้นไง
การเป็นแฟนคลับ = บ้าคลั่ง
แล้วคนเขียนก็ชี้นิ้วออกมาว่า ไม่เหมาะ
ต่ำกว่ามาตรฐานของคนในสังคมที่ออกมาตัดสินเรา
ถามว่าเราควรจะมีชีวิตตามที่สังคมบอก
หรือเราควรมีชีวิตแบบที่ตัวเราอยากเป็น แล้วมีความสุขกันแน่
ถ้าคุณมองภาพมุมเดียวของการเป็นแฟนคลับ
คุณก็จะเห็นแต่เด็กสาวๆ หรือหนุ่มๆโอตะ
วิ่งตามกรี๊ดนักร้อง ดารา หน้าตาดีๆ
แล้วคุณก็จะเห็นแต่ความไร้สาระของการทำแบบนั้น
แต่ภายในความเป็นนุชที่เราประสบมานั้น
สิ่งที่เราได้มันเหลือเชื่อกว่านั้น ด้วยความเข้าใจความรู้สึกของแฟนคลับ
เลยทำให้เข้าใจสุดๆถึงการเลือกใช้พรีเซนเตอร์ของแบรนด์
เวลาที่เอเจนซี่เอาตัวเลือกดารานักร้องมาให้เราเลือกน่ะ
ไม่ว่าจะเป็นงาน event หรืองาน presenter
สมัยก่อนเราไม่ค่อยเกตว่าการเลือกแต่ละคนนั้นจะได้อะไรกลับมา
เราก็จะเลือกตามที่เอเจนซี่นำเสนอ ตามตัวเลข ยอดต่างๆของแต่ละคน
แต่พอเรามาเป็นนุชนะ รู้เลยว่าโดนเอเจนซี่หลอก
หรือไม่เอเจนซี่มันก็ไม่รู้จริงหรอก รู้แค่ตัวเลขที่ส่งมาเหมือนกัน
เพราะดารา นักร้องแต่ละคน ไม่ใช่แค่มีคาแรคเตอร์ที่เหมาะกับสินค้าต่างกันนะ
คาแรคเตอร์ของแฟนคลับก็เป็นเรื่องสำคัญมากๆ
ถ้าลองเทียบกับพี่เบิร์ดที่ใครๆก็รู้ว่าเป็นซุปตาร์ตลอดกาล
พี่เบิร์ดมีแฟนคลับเยอะมาก ทั่วบ้านทั่วเมือง ใครๆก็รู้จัก
เรียกว่ายอด reach นี่สูงกว่าทุกคนแน่นอน
แต่ถ้าถามว่าแฟนคลับพี่เบิร์ดยอมเปย์มั้ย แบบนุชของผลิตโชคน่ะ
ถ้าให้พี่เบิร์ดกับผลิตโชคไปโฆษณามาร์กหน้าพร้อมกัน
ยอดขายของใครจะมากกว่ากัน
แม้ยอด reach ของพี่เบิร์ดจะเยอะกว่า
แต่เชื่อเถอะว่า conversion rate ของผลิตโชคจะมากกว่า
เพราะคาแรกเตอร์ของแฟนคลับนั้นต่างกัน
ถ้าเราต้องการ brand awareness เราก็เลือกใช้พี่เบิร์ด
ถ้าเราต้องการยอดขายตูมๆ เราก็ต้องเลือกใช้ผลิตโชค
แต่ก็ต้องมีข้อแม้ด้วยว่า สินค้าที่เราให้ผลิตโชคเป็นพรีเซนเตอร์นั้น
แฟนคลับเค้าก็ต้องอินไปด้วย ไม่ใช่เอานางไปขายรถตัดหญ้างี้ เออ มันก็ไม่ใช่ไง
ถามว่าเรื่องนี้รู้ก่อนมาเป็นนุชมั้ย เรียนมาทำงานมาตั้งสิบปี
ไม่รู้นะ ไม่รู้จริงๆเพราะไม่เคยอินไง
แล้วก็ไม่ค่อยได้ใช้พรีเซนเตอร์ นานๆใช้ทีเลยไม่ค่อยมีประสบการณ์
ถ้าทำงานสาย consumer อาจจะรู้ (หรือไม่รู้?)ไปนานแล้ว
แต่ตอนนี้ความเป็นนุชก็สอนตรงนี้เรามาแบบไม่รู้ตัวเลย
และความเป็นนุชเช่นกันที่สอนให้เราเข้าใจม็อบที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้
โฆษณา