24 ส.ค. 2020 เวลา 12:10 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
“… การกระจายเสียง ความรัก เครื่องบิน มีสิ่งที่เหมือนกันคือต้องใช้พลังงานเยอะมาก ๆ ในตอนแรก…”
หากคุณรู้สึกว่าประโยคนี้มันทัชใจคุณ ก็ไม่ยากที่คุณจะเข้าใจความสัมพันธ์ของชายหญิงที่เรากำลังจะพูดถึง
บรรยากาศเหงา ๆ แบบนี้ใครที่กำลังหาอะไรที่อบอุ่นหัวใจดูให้คลายเหงา Tune in for love เป็นอีกตัวเลือกที่เรารับรองว่า Feel Good สุด ๆ
ภาพยนตร์เรื่องนี้แสดงนำโดย จองแฮอิน และ คิมโกอึน เป็นนักแสดงมากฝีมือที่เราต่างก็คุ้นชินกันดีแต่สำหรับใครที่ยังไม่รู้จัก ถ้าได้มาดูเรื่องนี้จะไม่ผิดหวังและอาจจะชอบทั้งคู่มากขึ้น
เราว่าเคมีของทั้งคู่เข้ากันมาก ๆ ต้องเกริ่นก่อนว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ดำเนินเรื่องอยู่ในสมัยที่ประเทศเกาหลีใต้กำลังมีการเปลี่ยนแปลงสภาพบ้านเมืองที่มีผลกระทบมาจากวิกฤตการณ์ IMF เราจะสังเกตได้เลยว่าเริ่มมีการพัฒนาและปรับเปลี่ยนรูปแบบบ้านเมือง
เสน่ห์ของเรื่องนี้ที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ รายการวิทยุ แล้วรายการวิทยุนั้นเกี่ยวข้องอะไรและมีความสำคัญอะไรกับเรื่องนี้ ? หลายคนคงสงสัย เราบอกได้เลยว่า รายการวิทยุนี่แหละนับว่าเป็น main point ของเรื่อง โดยเท่าที่เราเห็นนั้น จะมีการใช้เสียงจากรายการวิทยุเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ของทั้งพระเอกและนางเอก พ้องกับชื่อเรื่องที่ว่า Tune in for love
ความโรแมนติกที่แฝงอยู่ในความคลาสสิกมันทำให้เราอินกับความสัมพันธ์ของทั้ง มีซู (คิมโกอึน) และ ฮยอนอู (จองแฮอิน) แต่ความหน่วงของหนังเรื่องนี้คือ ความสัมพันธ์ที่ไม่ปะติดปะต่อและดูเหมือนจะเป็นเส้นขนานด้วยซ้ำในช่วงต้นเรื่อง เพราะต้องมีเหตุการณ์อันเป็นเหตุให้ทั้งคู่ไม่ได้พบกัน เป็นการคลาดกันที่น่าเสียดายมาก ๆ จนเวลาล่วงเลยมานานกว่าจะมาพบกันอีก แล้วใช่ว่าพบกันแล้วจะได้พัฒนาความสัมพันธ์ เพราะสุดท้ายก็มีอุปสรรคมาขัดขวาง เรียกได้ว่ามีเรื่องให้คนดูอย่างเราติดตามต่อไปจนจบ เพื่อหวังจะดูว่าเส้นขนานนี้จะไปบรรจบที่ตรงไหน
เรื่องย่อ
มีซูเปิดร้านเบเกอรี่อยู่กับป้าที่รู้จักซึ่งก็เคยทำงานอยู่กับแม่ของเธอ วันหนึ่งมีผู้ชายคนนึงเปิดประตูเข้ามาในร้านนั่นก็คือ ฮยอนอู เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองได้พบกัน แต่ภูมิหลังของฮยอนอูนั้นเป็นเรื่องที่เขาไม่อยากเปิดเผยให้ใครรู้ อย่างเรื่องที่เขาเคยเข้าสถานพินิจและเรื่องราวอีกมากมายที่เขาปิดบังเอาไว้ และความลับนี่แหละจะเป็นจุดสร้างความแตกหักของทั้งสอง จุดพิเศษของเรื่องนี้คือ การแยกย้าย โดยทั้งสองมีเรื่องอันทำให้ต้องคลาดกันอยู่บ่อยครั้ง ทำให้คนดูอย่างเราเสียดายเวลาที่ทั้งสองต้องแยกกันมาก เพราะเรื่องที่เป็นเหตุให้ทั้งสองคลาดกันนั้น ถ้าพูดกันโดยทั่วไปแล้วก็คือเรื่องขี้ประติ๋วที่มันไม่ควรจะเกิดขึ้นด้วยซ้ำ และพอทั้งสองตัดสินใจคบกัน มีซูเกิดไปรู้เรื่องราวที่ฮยอนอูปิดบังมาตลอด การลาจากครั้งใหญ่จึงเกิดขึ้น จนเวลาผ่านมาหลายปี ฮยอนอูเป็นตากล้องในรายการวิทยุที่มีซูชอบฟัง เขาให้ดีเจเอ่ยชื่อของ “ มีซู “ในรายการ และจุดแตกหักก็กลับมาเชื่อมกันติดอีกครั้งและดูเหมือนว่าทั้งสองจะเข้าใจกันมากขึ้น อันมีผลมาจากการบ่มเพาะของเวลาที่ช่างยาวนานซะเหลือเกิน
ใครที่ชอบบรรยากาศเก่า ๆ ช่วงก่อนยุค 2000 นี่เราเชียร์ให้ดูเลยค่ะ มีความคล้ายซีรีส์ตระกูล reply มาก ๆ เราว่าหนังไม่ได้ยัดเยียดให้เรารู้สึกขัดใจที่ทั้งคู่ไม่ได้รักกันเสียที เพียงแต่ให้เวลาให้ทั้งเราและตัวละครได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน แต่ก็อาจจะมีบางห้วงความรู้สึกบ้างที่เราเสียดายเวลาที่ทั้งสองต้องแยกกันแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะรู้สึกแบบเรา ขึ้นอยู่กับว่าเราจะดูด้วยความรู้สึกไหน เราอาจจะเข้าใจความรู้สึกของฮยอนอูที่ไม่อยากรื้อฟื้นเรื่องราวในอดีตหรือความรู้สึกของมีซูที่น้อยใจว่าทำไมฮยอนซูถึงไม่เปิดใจให้เธอ ถึงกระนั้นเราอาจจะไม่เข้าใจความคิดของทั้งคู่เลยก็ได้ ก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร เราว่าหนังเรื่องนี้ก็จบแบบปลายเปิดมาก ๆ คือหนังก็ไม่ได้บอกโจ่งแจ้งว่าทั้งคู่จะกลับมาสานต่อความสัมพันธ์กัน เพียงแค่ตัวเราคิดเอาเองจากฉากสุดท้ายของเรื่องว่าอาจจะกลับมาปรับความเข้าใจกัน
อุณภูมิของหนังเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิในใจของเรา ดังนั้นไม่จำเป็นว่าหลังจากดูจบเราจะรู้สึกเหมือนกัน แต่สิ่งที่เราเชื่อว่าเราทุกคนจะรู้สึกเหมือนกันหลังจากดูจบคือ คิดถึงช่วงเวลาที่รายการวิทยุยังมีอิทธิพลมาก ๆ ในวงการเพลง เสน่ห์ของเสียงที่เราได้ยินจากวิทยุนี่แหละจะเป็นสิ่งที่ทำให้เราหลุดออกมาจากภวังค์ของหนังได้หลังจากที่เราเห็นรอยยิ้มของมีซูในฉากสุดท้าย
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก
โฆษณา