25 ส.ค. 2020 เวลา 11:11 • กีฬา
จากนักเตะที่โดนปล่อยทิ้งไปมา เขาก้าวมาสู่แชมเปี้ยนของยุโรป และแชมป์เซเรียอาได้อย่างไร นี่คือ Part ที่ 2 ของซีรีส์ "อันเดรีย ปิร์โล่" อัจฉริยะลูกหนังแห่งอิตาลี
จากนักเตะที่โดนปล่อยยืมตัวเหมือนไม่มีค่า ตอนนี้อันเดรีย ปิร์โล่ ย้ายมาสู่ทีมใหม่ นั่นคือเอซี มิลาน ในช่วงซัมเมอร์ปี 2001
2
ตัวปิร์โล่เองแม้จะรักอินเตอร์ แต่มันถึงเวลาแล้วที่เขาต้องมูฟออน เดินไปสู่เส้นทางใหม่ๆในชีวิต
อย่างไรก็ตาม กับเอซี มิลานในซีซั่นแรก 2001-02 ชีวิตของเขาไม่ได้สวยงามอย่างที่คิดเลย ตลอด 34 เกมทั้งซีซั่น เขาได้ลงเล่นเป็นตัวจริงแค่ 7 นัดเท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยมากๆ
โค้ชคนแรกของปิร์โล่ที่มิลาน คือฟาติห์ เตริม กุนซือชาวตุรกี ซึ่งปิร์โล่กำลังเรียนรู้สไตล์ของเตริมได้แค่แป้บเดียวเท่านั้น พอเซเรียอาเริ่มมาได้ 10 เกม เตริมก็โดนไล่ออก
ปิร์โล่ย้อนความหลังให้ฟังว่า ทำไมเตริมถึงโดนไล่ออกอย่างรวดเร็วขนาดนั้น คือคุมทีมได้แค่ 3 เดือนเอง
"เหตุผลที่เตริมโดนปลดมีสองข้อ ข้อแรกคือเขาไม่เข้าใจวัฒนธรรมของเอซี มิลาน นี่เป็นสโมสรที่มีกฎระเบียบเล็กๆน้อยๆเยอะมาก และทุกคนต้องทำตามมันอย่างเคร่งครัด"
"ตัวอย่างเช่น เขามาสายตอนมื้อเที่ยง เพราะมองว่าการกินมื้อเที่ยง ไม่เกี่ยวกับการซ้อม จะมาตอนไหนก็ได้ แต่ที่มิลานคุณทำแบบนั้นไม่ได้ หรือตอนมีแถลงข่าวสำคัญ เขาจะแต่งตัวสบายๆไม่ยอมใส่เน็กไท ซึ่งก็เช่นกัน คุณทำแบบนั้นไม่ได้ที่มิลาน"
ส่วนเหตุผลข้อสอง คือ เตริมมีล่ามส่วนตัวที่ไม่ดีเอามากๆ เตริมเป็นคนตุรกี เขาพูดอิตาเลียนไม่ได้ ดังนั้นจึงใช้ล่ามคอยสื่อสารระหว่างเขากับนักเตะในทีม
"ครั้งหนึ่ง เตริมเรียกพวกเรามาในห้องแต่งตัว และพูดบางอย่างประมาณ 5 นาทีเต็มๆ เป็นภาษาตุรกี จากนั้นเขาก็เดินออกไปอย่างมั่นใจ พวกเราถามล่ามว่าเมื่อกี้เตริมพูดว่าอะไร ล่ามบอกว่า 'เกมวันพรุ่งนี้ เราต้องชนะ' คือให้ตายเถอะ คนหนึ่งพูด 5 นาที อีกคนแปลมา 5 วินาที มันใช่หรอ"
โชคดีที่ตอนนั้นมิลานมีนักเตะตุรกีอยู่หนึ่งคน คืออูมิต ดาวาล่า ที่จะคอยแปลแบบถูกต้องให้เพื่อนๆเข้าใจในภายหลัง แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ มันก็บ้าบออยู่ดี ที่เตริมไม่ใส่ใจเลยว่าล่ามจะแปลอะไรให้นักเตะในทีมได้ฟัง
2
"ครั้งหนึ่งโค้ชเรียกผมมา และเราคุยกันอย่างนานมากๆ สุดท้ายผมถามล่ามว่า โค้ชบอกว่าอะไร ล่ามบอกว่า ปิร์โล่ โค้ชบอกให้นายจ่ายบอลเยอะๆหน่อย เอาล่ะไปซ้อมได้แล้ว"
ปัญหาบุคลิกภาพ และการสื่อสารที่มึนงงทำให้อาเดรียโน่ กัลลิอานี่ มองว่าเตริมไม่ใช่คนตอบโจทย์ของมิลานได้ในระยะยาว ดังนั้นดีกว่าต้องยื้อๆกันไป ก็ตัดจบไปเลยดีกว่า หาคนใหม่ที่เหมาะกว่าแทน และคนมาแทนคือ คาร์โล อันเชล็อตติ อดีตเฮดโค้ชของปาร์ม่า และ ยูเวนตุส ซึ่งถือว่ามีประสบการณ์ในเลเวลระดับสูงมาแล้ว
อันเชล็อตติเป็นอดีตลูกหม้อของสโมสร เขาเล่นที่มิลานมาถึง 5 ปี ดังนั้นเข้าใจวัฒนธรรม และแนวทางของทีมเป็นอย่างดี ซึ่งถ้าเทียบกันแล้ว มันก็น่าจะเวิร์กกว่าเตริมแน่ๆ
อันเชล็อตติ เข้ามาสู่เอซี มิลานด้วยแผนการเล่นที่เขาถนัด นั่นคือ 4-3-1-2 อย่างไรก็ตามปิร์โล่ ยังไม่อยู่ในแผนการของเขา คืออันเชล็อตติไม่รู้จะใช้งานปิร์โล่อย่างไร
ปิร์โล่มีสมองชั้นเลิศ และจ่ายบอลสั้น-ยาวได้ครบเครื่องหมด แต่ปัญหาคือ เขาวิ่งช้าเกินไป และโดนคู่แข่งกระแทกเล่นหนักๆก็ปลิวว่อน ซึ่งอันเชล็อตติยังนึกไม่ออก ว่าจะใช้วิธีไหน ในการดึงส่วนดีตรงนั้นออกมาได้
ในซีซั่น 2001-02 ตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับ อันเช่ จะใช้งานเดมิทริโอ อัลแบร์ตินี่ กองกลางประสบการณ์สูง หรือไม่ก็มัสซิโม อัมโบรซินี่ ที่เล่นไม่หวือหวาแต่ไว้ใจได้ และ มัสซิโม โดนาติ ดาวรุ่งอีกคนที่มีพลังขับเคลื่อนมากกว่าปิร์โล่
อันเชล็อตติ มีความกดดันเช่นกัน เพราะเป้าหมายของทีม คือต้องติดท็อปโฟร์เพื่อไปเล่นแชมเปี้ยนส์ลีกในซีซั่นหน้าให้ได้ ถ้าเขาทำทีมจบ 1 ใน 4 ไม่ได้ ก็คงโดนไล่ออกแน่ๆ
ในเกมนัดที่ 30 ของซีซั่น มิลานเสมอ คิเอโว่ 1-1 ตามด้วยนัดที่ 31 แพ้ยูเวนตุส 1-0 ทำให้ร่วงมาอยู่ที่อันดับ 6 โอกาสไปแชมเปี้ยนส์ลีก ยังพอมีอยู่ แต่ในอีก 3 เกมที่เหลือต้องเก็บแต้มให้ได้เยอะที่สุด
ก่อนหน้านี้ อันเชล็อตติใช้แผงกองกลาง มีอัลแบร์ตินี่ เล่นกับเจนนาโร่ กัตตูโซ่ และคริสเตียน บร็อคคี่ คือมันก็พอเล่นได้ แต่มันไม่มีไอเดียในการเข้าจบสกอร์ แล้วกองหน้าอย่างฟิลิปโป้ อินซากี้ ถ้าไม่มีคนคอยป้อนบอลให้ ก็ยากที่จะยิงได้
ดังนั้นในเกมที่ 32 เกมเจอโรม่า อันเชล็อตติจึงทดลอง ส่งอันเดรีย ปิร์โล่เป็นตัวจริง และให้มัสซิโม อัมโบรซินี่ กับ เจนนาโร่ กัตตูโซ่ คอยทำหน้าที่เล่นเกมรับให้ ปรากฏว่า เกมรับดี แต่เกมรุกยังไม่ค่อยเวิร์ก จบ 90 นาทีเสมอ 0-0
เกมที่ 33 มิลานไปเยือนเวโรน่า ในสถานการณ์ที่ต้องชนะเท่านั้น อันเชล็อตติ ใช้แผงกองกลางเซ็ตเดิมคืออัมโบรซินี่ - กัตตูโซ่ - ปิร์โล่ ปรากฏว่า อาเดรียน มูตู ยิงให้เวโรน่านำก่อน 1-0 ในครึ่งแรก ทรงของมิลานไม่ดีเลย
แต่จุดเปลี่ยนสำคัญมากของมิลาน ที่จะมีผลต่ออีกหลายปีข้างหน้า เกิดขึ้นในนาทีที่ 58 เมื่ออันเชล็อตติ ถอดกัตตูโซ่ออก ทำให้ในสนามตอนนี้เหลือแค่อัมโบรซินี่ ยืนเป็นมิดฟิลด์ตัวรับคนเดียว
ปรากฏว่า เกมรุกของมิลานดีขึ้นชัดเจนมาก และยิงแซง 2 ลูกรวด จากอินซากี้ และ ปิร์โล่ คว้าชัยไป 2-1
ณ จุดนี้ อันเชล็อตติจึงได้ค้นพบสูตรสำคัญ คือปิร์โล่ลงเป็นตัวจริงได้ ถ้าหากมีมิดฟิลด์ตัวรับ 1 คน คอยปกป้อง แต่ใช้ตัวรับแค่คนเดียวก็พอ ไม่ต้องมากกว่านั้น เพราะมันจะทำให้กองกลางของทีมขาดพลังในเกมรุก
เกมสุดท้ายของฤดูกาล เอซี มิลาน ชนะเลชเช่ 3-0 โดยปิร์โล่แอสซิสต์ได้ 1 ประตู ทำให้สุดท้ายมิลานจบอันดับ 4 ของลีก ได้ไปแชมเปี้ยนส์ลีก โดยมีคะแนนมากกว่าอันดับ 5 คิเอโว่แค่ 1 คะแนนเท่านั้น
หลังจบฤดูกาล 2001-02 อันเชล็อตติจึงมั่นใจว่าแผนของตัวเอง 4-3-1-2 มันใช้การได้แน่ๆ แต่จุดสำคัญคือต้องมีนักเตะที่เล่นเข้ากับแผน
กองหน้าคู่แน่นอนว่าเป็นอันเดร เชฟเชนโก้ กับฟิลิปโป้ อินซากี้ โดยมียอน ดาห์ล โทมัสสัน เป็นอะไหล่สำรอง ส่วนมิดฟิลด์ตัวรุกก็มีรุย คอสต้า กับริวัลโด้ คอยสลับกันลง สามตัวบนไม่มีปัญหาอยู่แล้ว
คำถามคือ 3 มิดฟิลด์นี่ล่ะ ที่จะใช้ส่วนผสมแบบไหนดี ถึงจะลงตัวที่สุด ซึ่งอันเชล็อตติคิดว่า ปิร์โล่ ควรเป็นตัวยืนในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับที่ยืนต่ำสุด ขณะที่อีก 2 คน ควรใช้มิดฟิลด์เชิงรับแค่ 1 คนพอ และเขาเลือกกัตตูโซ่เป็นหลัก
กัตตูโซ่ จะมีหน้าที่เดียวเท่านั้นนั่นคือปกป้องปิร์โล่ ในขณะที่ปิร์โล่จะใช้จินตนาการในการสร้างสรรค์เกม กัตตูโซ่จะเล่นบทโหด และทำเรื่องสกปรกทุกอย่างให้เอง
ทีนี้เหลือกองกลางอีกหนึ่งตำแหน่ง คนที่อันเชล็อตติต้องการ คือเป็นมิดฟิลด์ที่เล่นเกมบุกดี ต้องมีไดนามิกสูง สามารถลุยไปในเขตโทษได้ เพราะปิร์โล่ก็วิ่งช้า เน้นการจ่ายบอลตรงกลาง ส่วนกัตตูโซ่ก็เน้นเกมป้องกันเป็นหลัก
เมื่อมิลานไม่มีนักเตะลักษณะนี้ ในซัมเมอร์ ปี 2002 พวกเขาก็ต้องลงตลาดซื้อขาย และคนที่ตอบโจทย์ที่สุด คือคลาเรนซ์ เซดอร์ฟ ดาวเตะทีมชาติฮอลแลนด์ของอินเตอร์ มิลาน
เซดอร์ฟเคยได้แชมป์ยุโรปมาแล้วที่อาแจ๊กซ์ และ เรอัล มาดริด ซึ่งการันตีความสามารถของเขาเป็นอย่างดี จุดเด่นของเขาคือเคลื่อนที่ไปยังพื้นที่อันตรายได้ดีมากๆ ซึ่งถ้าได้ตัวมา แล้วเอามาเล่นร่วมกับปิร์โล่-กัตตูโซ่ มันจะเป็นส่วนผสมที่ลงตัวมากๆ
- ปิร์โล่ คอยคุมเกมกลางสนาม
- กัตตูโซ่ เน้นทำลายเกมคู่แข่ง
- เซดอร์ฟ ใช้ความคล่องแคล่วบุกทะลวง
ในการซื้อขาย อินเตอร์ มิลาน ไม่ต้องการเงิน แต่ต้องการ "แลกตัว" เซดอร์ฟ กับ ฟรานเชสโก้ โคโค่ แบ็กซ้ายวัย 25 ปีของเอซี มิลาน
1
โคโค่เป็นแบ็กซ้ายที่ถนัดเท้าขวา ซึ่งเป็นของหายากในโลกฟุตบอล เขาก้าวไปติดทีมชาติอิตาลีเรียบร้อยแล้ว และถูกขนานนามว่าเป็นเปาโล มัลดินี่คนต่อไป
สำหรับมิลานก็ไม่อยากเสียโคโค่ แต่เอาจริงๆในทีมก็มีคาค่า คาลัดเซ่ กับแซร์จินโญ่ที่ยังเล่นได้ดี รวมถึงสภาพร่างกายของมัลดินี่แล้ว แม้จะอายุ 34 ปีแล้ว แต่ก็ยังเล่นไหว สามารถขยับมายืนแบ็กซ้ายได้เช่นกัน ดังนั้นมิลานจึงยอมปล่อยโคโค่ เพื่อแลกกับเซดอร์ฟในที่สุด
ในวันนี้ถ้ามองย้อนกลับไป เราอาจคิดว่าอินเตอร์เพี้ยนหรือเปล่า เอาเซดอร์ฟ ไปแลกกับโคโค่ ที่พอย้ายทีมปั๊บ ก็หายไปจากสารบบอย่างสิ้นเชิง แต่ ณ วินาทีนั้น โคโค่ถือว่ามีอนาคตไกลรออยู่ ไม่มีใครคิดว่าเขาจะบาดเจ็บหนัก จนต้องพักยาวหลายเดือน และไม่เคยกลับมาเล่นได้ดีอีกเลย นับตั้งแต่ย้ายออกมิลาน
บางทีการซื้อขายมันก็โหดร้ายแบบนี้ ตอนจ่ายเงินซื้อ เราทุกคนก็หวังว่า จะจ่ายเงินซื้อของดีกันทั้งนั้น ไม่มีใครคิดหรอก ว่ามันจะออกมาทรงนี้
ความน่าผิดหวังของอินเตอร์ กลายเป็นความโชคดีของเอซี มิลาน ที่ได้ตัวเซดอร์ฟมาครอง และตอนนี้ อันเชล็อตติได้จิ๊กซอว์ครบหมดแล้ว
ปิร์โล่-กัตตูโซ่-เซดอร์ฟ
ซัมเมอร์ 2002 ด้วยความที่รู้แล้วว่าจะใช้ใครเป็นแกนหลักในแผงมิดฟิลด์ ทำให้อันเชล็อตติ ปล่อย 3 กองกลางออกจากทีม ได้แก่ ดิมิทริโอ อัลแบร์ตินี่ ไปแอตเลติโก้ มาดริด, มัสซิโม โดนาติ ไปปาร์ม่า และ อูมิต ดาวาล่า ไปอินเตอร์ มิลาน
เกมแรกสุดที่อันเชล็อตติ ใช้ 3 คน ปิร์โล่-กัตตูโซ่-เซดอร์ฟ เล่นด้วยกัน คือเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบคัดเลือกกับสโลวาน ลิเบอเร็ค ซึ่ง เป็นไปอย่างที่คาดการณ์จริงๆ เมื่อทั้ง 3 เล่นกันแบบส่งเสริมกัน และทำให้ทีมมีมิติมากขึ้นกว่าปีก่อนเยอะมาก
นอกจากกองกลางจะปึ้กแล้ว ในแนวรับ เอซี มิลาน จ่ายเงินมหาศาลถึง 31 ล้านยูโร เพื่อซื้ออเลสซานโดร เนสต้า เอามายืนเป็นเซ็นเตอร์แบ็กตัวหลักคู่กับมัลดินี่
เท่ากับว่าในตอนนี้ มิลานได้ทีมที่สมดุลดีมาก แนวรุกมีเชฟเชนโก้-อินซากี้
ตรงกลางมีปิร์โล่-กัตตูโซ่-เซดอร์ฟ กองหลังมี มัลดินี่-เนสต้า ทีมชุดนี้แกร่งทั่วแผ่นจริงๆ
ซีซั่น 2002-03 มาถึง ในกัลโช่ เซเรียอา มิลานออกสตาร์ตได้ร้อนแรงมาก ในวันคริสต์มาส ไปจนถึงกุมภาพันธ์พวกเขายึดจ่าฝูงได้อย่างเหนียวแน่น
ขณะที่ผลงานส่วนตัวของปิร์โล่นั้น ท็อปฟอร์มที่สุดตั้งแต่เคยเล่นฟุตบอลมาในชีวิต ในซีซั่นนี้เขายิงไป 9 ประตู เป็นรองดาวซัลโวของทีม และแอสซิสต์ไปถึง 7 ครั้ง สูงสุดเป็นอันดับ 1 ของทีม ทั้งๆที่เล่นในตำแหน่งกองกลางตัวรับแท้ๆ
สาเหตุก็ชัดเจนอยู่แล้ว คือเมื่อคุณมีกัตตูโซ่คอยคัฟเวอร์ให้ และมีเซดอร์ฟคอยทะลวงทำให้คู่แข่งต้องคอยระวัง มันเปิดพื้นที่ให้ปิร์โล่เล่นฟุตบอลอย่างอิสระมาก
และในที่สุด ปิร์โล่ก็ถูกเรียกติดทีมชาติอิตาลีชุดใหญ่เป็นครั้งแรก ในศึกยูโร 2004 รอบคัดเลือก และจากนั้นมาเขาก็ไม่เคยหลุดจากทีมชาติอีกเลย จนตัวเองประกาศรีไทร์จากทีมชาติด้วยตัวเอง
อย่างไรก็ตาม มิลานแม้จะแรงมาจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ แต่ด้วยความที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในเลเวลนี้มาก่อน ทำให้พวกเขาเกิดอาการแผ่วปลาย
มิลานมีแข่งถึง 3 รายการพร้อมกัน คือ แชมเปี้ยนส์ลีก, โคปปาอิตาเลีย และเซเรียอา ซึ่งในบอลถ้วยนั้น เข้าชิงทั้ง 2 รายการ นั่นทำให้อันเชล็อตติต้องโรเทชั่นกันอลวน
ตัวอย่างเช่น นัดที่ 32 ของฤดูกาล มิลานต้องไปเยือนเบรสชา แต่ปัญหาคือ พวกเขาต้องแข่งรอบรองชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ลีกกับอินเตอร์ ในอีก 3 วันข้างหน้า นั่นทำให้อันเชล็อตติต้องดร็อปอันเดรีย ปิร์โล่ แล้วใช้ เฟร์นันโด เรดอนโด้ ลงเล่นแทน ซึ่งเมื่อขาดปิร์โล่ก็ขาดตัวบงการเกม ทำให้นัดนั้นแพ้เบรสชา 1-0
มิลานโดนยูเวนตุสที่มาแรงในปลายซีซั่น แซงหน้าคว้าแชมป์ไป ส่วนพวกเขาได้แค่อันดับ 3 ในลีกเท่านั้น อันเชล็อตติเองก็ได้ประสบการณ์ไปไม่น้อยเช่นกัน
แต่ทว่า ในบอลถ้วย มิลานวนมาเจอยูเวนตุสอีกครั้ง ในนัดชิงแชมเปี้ยนส์ลีกที่โอลด์แทรฟฟอร์ด ก่อนจะล้างแค้นได้สำเร็จ เมื่อดวลจุดโทษเอาชนะไปได้ คว้าแชมป์ยุโรปได้สำเร็จ ตามด้วยโคปป้า อิตาเลียนัดชิง ก็เอาชนะโรม่าได้ด้วยสกอร์รวมสองนัด 6-3 ซิวดับเบิ้ลแชมป์ได้สำเร็จ
โดย 11 ตัวจริง ในนัดชิงแชมเปี้ยนส์ลีกของมิลานประกอบไปด้วย นายทวารดีด้า สี่กองหลัง บิลลี่ คอสตาคูร์ต้า, อเลสซานโดร เนสต้า, เปาโล มัลดินี่ และ คาค่า คาลัดเซ่
กองกลาง อันเดรีย ปิร์โล่, เจนนาโร่ กัตตูโซ่, คลาเรนซ์ เซดอร์ฟ และ รุย คอสต้า ส่วนกองหน้าคืออันเดร เชฟเชนโก้ และฟิลิปโป้ อินซากี้
หลังจากได้แชมป์ยุโรป มิลานชุดนี้ ก็พร้อมแล้วที่จะแย่งแชมป์เซเรียอา กับยูเวนตุสในซีซั่นต่อมา
ช่วงซัมเมอร์ 2003 หลังได้แชมป์ยุโรป แม้ปิร์โล่จะเล่นดีมากๆ แล้ว แต่เขาพัฒนาไปอีกขั้น เมื่อได้เห็นฟอร์มของนักเตะคนหนึ่งที่ชื่อว่า จูนินโญ่ แปร์นัมบูกาโน่
ในซีซั่น 2002-03 จูนินโญ่ช่วยโอลิมปิก ลียง คว้าแชมป์ลีกเอิงได้สำเร็จ แต่สิ่งที่ปิร์โล่ทึ่งมากๆคือจูนินโญ่ยิงฟรีคิกในปีเดียวไป 5 ลูก
จูนินโญ่ยิงฟรีคิกได้ทุกรูปแบบตั้งแต่ปั่นบอลโค้งด้วยไซด์โป้ง หรือยิงไกล 35 หลา ด้วยลูกนัคเคิลช็อตให้บอลส่ายเข้าประตู ซึ่งปิร์โล่เองสงสัยมากว่า เขากับจูนินโญ่ก็รูปร่างพอๆกัน ส่วนสูงเท่าๆกัน แต่ทำไมจูนินโญ่ยิงบอลได้แรงและส่ายขนาดนั้น
ในเมื่อริวัลโด้ ฉีกสัญญากับมิลานก่อนเริ่มฤดูกาลใหม่ มันแปลว่า ตัวปิร์โล่จะกลายเป็นคนยิงฟรีคิกเบอร์ 1 ของทีม และถ้าเขาเรียนรู้ว่า จูนินโญ่ ยิงอย่างไรมันถึงมีประสิทธิภาพได้ขนาดนั้น น่าจะช่วยทีมได้เยอะกว่าเดิม
"การยิงฟรีคิกของเขาไม่เคยพลาดเป้า ไม่เคยเลย ผมอ่านสถิติของเขา และดูดีวีดีซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็บอกได้เลยว่า การยิงส่ายแบบนั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เขามีวิธีบางอย่าง ที่คงไม่ยอมบอกใครแน่" ปิร์โล่กล่าว "สิ่งที่ผมไม่รู้คือ เขายิงมันด้วยวิธีไหน ดังนั้นผมจึงลองฝึกพิเศษด้วยตัวเองที่มิลาเนลโล่ พยายามก็อปปี้วิธียิงของเขา แต่ก็เหินข้ามคานไป 2-3 เมตรทุกครั้ง"
ที่สนามซ้อมมิลาเนลโล่ จะมีรั้วกันลูกบอลด้านหลังโกล์ก็จริง แต่ถ้ายิงสูงเกินไป มันจะเลยรั้ว พุ่งเข้าไปในพุ่มไม้ ซึ่งบรรดาเจ้าหน้าที่สนาม ก็จะบ่นอุบทุกครั้ง เพราะปิร์โล่ยิงบอลเป็นสิบลูกพุ่งเข้าพุ่มไม้ตลอด
ปิร์โล่ฝึกซ้อมหลายวัน แต่ก็ยังไม่เข้าใจทริก จากวันล่วงเป็นสัปดาห์ คนอื่นก็ไม่เข้าใจว่าปิร์โล่พยายามจะทำอะไร เขาลองยิงทุกรูปแบบ แต่มันไม่ส่ายเข้ากรอบแบบที่จูนินโญ่ทำสักที
"ผมหมกมุ่นอยู่กับการคิดว่าจูนินโญ่ยิงยังไง ผมคิดตลอดเวลาว่า เราต้องเอาเท้าไปสัมผัสลูกตรงไหน ด้านล่าง หรือยิงตรงๆ แล้วต้องใช้ความแรงเท่าไหร่ แต่คิดให้ตายก็คิดไม่ออก"
แต่แล้ววันหนึ่ง ระหว่างที่นั่งในห้องน้ำ ปิร์โล่ก็มีประกายขึ้นมาในหัว "ช่วงเวลายูเรก้าของผม คือตอนนั่งในห้องน้ำ มันไม่ได้สวยงามเหมือนในหนังหรอกนะ จังหวะนั้นผมคิดว่า เราทำทุกวิธีแล้ว ทำไมยิงไม่เหมือนจูนินโญ่สักที แต่ผมก็ฉุกคิดอะไรได้ขึ้นมา"
ตามปกติช่วงเช้าเมื่อไปถึงสนามซ้อม ปิร์โล่จะมีกิจวัตรคือเล่นเกมวินนิ่ง กับอเลสซานโดร เนสต้า แต่วันนั้นเขาขอข้ามการเล่นเกม แล้ววิ่งตรงไปที่สนามซ้อมก่อนเวลา ตอนนั้นปิร์โล่ ยังใส่รองเท้าหนังอยู่ด้วยซ้ำ
"ผมไม่ต้องการสตั๊ด ผมใส่รองเท้าอะไรก็ได้ ผมแค่อยากทดลองว่าทฤษฎีที่ผมนึกออกในห้องน้ำ มันใช้ได้ผล"
เจ้าหน้าที่สนามเห็นปิร์โล่ เตรียมมายิงฟรีคิกก็บ่นอุบ "ไปตายซะเถอะ" ใครๆก็รู้ว่า ปิร์โล่เตรียมยิงข้ามคานให้เขาวิ่งไปเก็บอีกแล้ว แต่ปิร์โล่ไม่สน "เร็วเข้าเจ้าบ้า โยนบอลมาให้ฉันเร็ว"
ปิร์โล่วิ่งมายิงบอลเปรี้ยงด้วยรองเท้าหนัง บอลส่ายเป็นงู ก่อนเสียบสามเหลี่ยมไปอย่างเพอร์เฟ็กต์สุดๆ ปิร์โล่เองตะลึงกับลูกที่เขายิงไป ขณะที่สตาฟฟ์สนามก็ตกใจเช่นกัน
"ทำไมนายไม่ลองอีกสักรอบล่ะอันเดรีย" สตาฟฟ์สนามพูด
"โอเค งั้นนายลองดูชัดๆอีกทีนะ" ปิร์โล่ตอบ
ปิร์โล่วิ่งมาด้วยท่าเดิม ซัดบอลแบบเดิม และบอลส่ายเข้าประตูเหมือนเดิม จากนั้นปิร์โล่ ลองยิงอีก 5 หน ได้ผลลัพธ์แบบเดียวกัน คือส่ายอย่างน่ากลัวก่อนเข้าประตูไปอย่างสวยงาม
"ตอนนี้มันเป็นทางการแล้ว ผมแก้โจทย์พิสดารข้อนี้ได้แล้ว มันไม่ใช่ความลับอีกต่อไป"
หลังจากแขวนสตั๊ด ปิร์โล่จึงเปิดเผยเรื่องนี้ภายหลัง ทริกในการยิงด้วยสไตล์ของจูนินโญ่ คือใช้แค่สามนิ้ว คือนิ้วโป้ง นิ้วชี้ นิ้วกลาง ในการสัมผัสบอล และต้องตั้งเท้าให้ตรงที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่จำเป็นต้องวิ่งซอยเท้าแบบโรแบร์โต้ คาร์ลอส แต่ก้าวแค่ 2-3 ก้าวก็พอ จากนั้นเหวี่ยงเท้าฉับเดียวให้เร็วที่สุด ซึ่งถ้าทำถูกวิธี บอลจะลอยสูงและส่ายไปในทิศทางที่โกล์เองก็เดาไม่ได้
การแกะวิธีการยิงของจูนินโญ่ได้สำเร็จ เพิ่มความอันตรายให้ปิร์โล่ เพราะฟรีคิกธรรมดาแบบปั่นโค้งสไตล์เดวิด เบ็คแฮม เขาก็ยิงได้อยู่ และเพิ่มเติมด้วยการยิงลูกส่ายแบบจูนินโญ่เข้าไปอีก มันทำให้คู่แข่งคาดเดายากมาก ว่าปิร์โล่จะยิงฟรีคิกในสไตล์ไหน
"ผมไม่มีวันบอกใคร เรื่องทริกการยิง เป้าหมายของผมคือการเป็นคนทำสถิติยิงฟรีคิกสูงสุดในเซเรียอา"
"สำหรับคู่แข่งทุกทีม ต้องรู้จักผมในชื่อจูนินโญ่ แปร์นัมบูกาโน่ 2.0"
ในซีซั่น 2003-04 เอซี มิลาน แยกทางจากริวัลโด้ก็จริง แต่คนที่มาแทนคืออัจฉริยะ อย่างริคาร์โด้ กาก้า รวมถึงเซ็นมาร์กอส คาฟู มาจากโรม่าด้วย
นักเตะทุกคนถึงจุดพีกพร้อมกัน ปิร์โล่ เชฟเชนโก้ อินซากี้ ยิ่งมีกาก้าเข้ามาอีกคน นั่นทำให้ เอซี มิลานชุดนี้แข็งแกร่งมากพอ ที่จะโค่นแชมป์สองสมัย ยูเวนตุสลงได้ในที่สุด
ปิร์โล่ ผลงานสม่ำเสมอมาก โอเพ่นเพลย์ก็เก่ง เซ็ตพีซก็อันตราย จบซีซั่น เขายิง 6 ประตู บวก 7 แอสซิสต์ และเป็นคีย์แมนคนสำคัญที่ทีมจะขาดไม่ได้
3 ปี ของปิร์โล่กับเอซี มิลาน เขาได้แชมป์ครบทุกรายการ เซเรียอา 1 สมัย, โคปปา อิตาเลีย 1 สมัย และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 1 สมัย
หากคิดว่าสามปีก่อนหน้านี้ เขายังโดนอินเตอร์ มิลาน โยนให้คนนี้ยืมที คนนั้นยืมที การก้าวขึ้นมาได้แบบนี้ ก็ถือเป็นอะไรที่น่าประทับใจมาก
จะว่าไปแล้ว ชีวิตของปิร์โล่อยู่ในขาขึ้นสุดขีด และมิลานของเขาก็น่าจะสร้างความยิ่งใหญ่ในอิตาลี และในยุโรปไปได้อีกนาน
อย่างไรก็ตาม 1 ปีหลังจากได้แชมป์เซเรียอา ในเดือนพฤษภาคม ปี 2005 ปิร์โล่ ที่อายุ 26 ปี อยู่ในจุดสูงสุดของฟอร์มการเล่น กลับยอมรับว่า เขาคิดอยากจะแขวนสตั๊ด
"มันเป็นความเจ็บปวดที่ผมไม่รู้จะลบล้างมันอย่างไร วิธีเดียวที่ผมคิดว่าดีที่สุดคือ เลิกเล่นฟุตบอล" ปิร์โล่อธิบาย
คำถามคือมันเกิดอะไรขึ้นกับปิร์โล่?
ในเดือนพฤษภาคม 2005 อะไรกันที่ มันเจ็บปวดมาก ชนิดที่เขาทรมานจนทนไมไหว
คำตอบคือ ปาฏิหาริย์แห่งอิสตันบูล
ในมุมของลิเวอร์พูลผู้ชนะนี่คือความทรงจำที่งดงามที่สุดตลอดกาล แต่ในมุมของผู้แพ้อย่างปิร์โล่ และเอซี มิลานล่ะ?
ใช่แล้ว มันคือความเจ็บปวดที่ทรมานไปชั่วชีวิต
[ จบ Part 2 ]
โฆษณา