26 ส.ค. 2020 เวลา 15:21 • ความคิดเห็น
"การทำบุญ.. กับประชาธิปไตย.."
ผมเคยดูการรณรงค์ทางทีวี ไม่ให้ซื้อนกที่เขาจับมาให้เราปล่อยเอาบุญเพราะเป็นรังแกสัตว์..
หรือไม่ซื้อพวงมาลัยจากเด็กที่มาขายตามแยกไฟจราจร เพราะเป็นสนับสนุนให้เด็กทำผิดกฎหมาย หรือค้ามนุษย์..
ดูแล้วหดหู่ใจครับ.. เสียดายที่บุญมารออยู่ตรงหน้า.. กลับไม่รับ แล้วไปแสวงหาบุญจากที่อื่น..
การให้ทาน.. เกิดเป็นบุญที่จิตใจของผู้ให้ที่มีความเสียสละ.. ละวางกิเลสจากการสะสมเพื่อประโยชน์ของตน.. ละวางความยึดมั่นในทรัพย์ที่คิดว่าเป็นของๆตัวลงบ้าง..
โดยไม่ต้องไปดูว่าผู้รับจะได้ประโยชน์จากการได้สิ่งของนั้นแค่ไหน..
นั่นเป็นบุญประการแรก..
ประการต่อมาคือ.. หากสิ่งของที่ให้เป็นทานนั้น.. ผู้รับนำไปเป็นประโยชน์ต่อตนเอง และผู้อื่นได้.. ก็ยิ่งเป็นบุญเป็นกุศล..เพราะการให้ทานนั้นเกิดประโยชน์ต่อสังคม..
ในแง่ของชาวบ้าน คิดแค่นี้ ทำแบบนี้ ก็ได้บุญแล้ว..
ทำบุญโดยไม่ต้องเลือกประเภทของทาน.. ไม่เลือกผู้รับ.. ให้ขอทานก็ได้.. เล็กๆน้อยๆ บาทสองบาท.. สิบบาทยี่สิบบาท.. สั่งสมไปเรื่อย.. อบรมใจให้ละวางทีละน้อยกับเรื่องใกล้ตัว..
ดีกว่าไม่ได้ทำบุญเลย..
แต่ถ้าในแง่การทำบุญที่ละเอียดขึ้น เมื่อทำทานแล้ว อยากจะได้บุญละเอียดปราณีตมากขึ้น.. ต้องประกอบด้วยความบริสุทธิ์ 3 อย่าง..
1. จิตใจผู้ทำบริสุทธิ์.. มีความปิติ ปลอดโปร่ง.. มีความต้องการทำบุญเพื่อบุญ.. เพื่อละวาง.. ไม่หวังผลตอบแทนในเชิงลาภสักการะ..
เช่น ทำบุญเพราะเกิดความเลื่อมใส ในพระศาสนา.. หรือจู่ๆก็นึกอยากทำบุญขึ้นมาเฉยๆ..แบบนี้ให้รีบหาทำโดยเร็ว ขณะอารมณ์นั้นยังคงอยู่..
2. สิ่งของที่ทำนั้นบริสุทธิ์.. คือเป็นของที่เราหามา ได้มาโดยชอบ.. จากน้ำพักน้ำแรงของเรา.. หรือได้มาด้วยความยากลำบาก..ด้วยเจตนาที่เป็นบุญอย่างต่อเนื่อง..
เช่น เก็บเงินในกระปุก อนุโมทนา ตั้งจิตที่ดีก่อนหยอดกระปุกทุกเหรียญ..
3. ผู้รับสิ่งของนั้นเป็นผู้บริสุทธิ์.. คือเป็นบุคคลที่เป็นประโยชน์ต่อเราและสังคม..
 
เช่น เป็นพ่อแม่ของเรา.. เป็นคนทำประโยชน์สาธารณะ.. เป็นพระที่มีศีลครบถ้วน.. หรือเป็นพระอริยสงฆ์ (โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์)
บุญที่ได้จะมากเพียงใด.. ก็ขึ้นอยู่กับระดับของความพิสุทธิ์ของปัจจัยทั้ง 3 ประการ..
ยิ่งบริสุทธิ์มาก บุญก็เกิดมากตามไปด้วย..
การทำบุญแบบนี้.. จึงต้องเลือกผู้รับทานที่ทำ..
หากผู้รับเป็นผู้มีพระคุณต่อเรา ต่อโลกเพียงใด.. กุศลวิบากกรรมดี ก็จะส่งต่อเรา.. ให้ผลมากขึ้นเพียงนั้น..
ถ้ามีคน 2 คนจะทำบุญพร้อมกัน ทั้ง 2 คนมีความบริสุทธิ์ทั้ง 3 เท่ากัน..
คนที่ทำด้วยปริมาณสิ่งของมากกว่า.. ประโยชน์จะเกิดมากกว่า..
คนที่ทำบุญปริมาณมากกว่านั้น จึงได้บุญมากกว่าเป็นธรรมดา..
เช่นเดียวกับ ฝนตกลงเท่ากัน ใครมีกะละมังใบใหญ่กว่า ต้องรองรับน้ำฝนได้มากกว่า..เป็นธรรมดา..
ทางพระท่านเปรียบได้กับการทำนา 2 แปลง..โดยหว่านเมล็ดพืชที่ดีเหมือนกันทั้ง 2 แปลง..
พื้นนาทั้ง 2 แปลง ก็มีความอุดมสมบูรณ์เท่ากัน..
แปลงไหน เราหว่านเมล็ดพืชจำนวนมากกว่า.. แปลงนั้น ต้องได้ผลผลิตที่ดีจำนวนมากกว่าอีกแปลงหนึ่ง..เป็นธรรมดา.
นี่เป็นพุทธพจน์นะครับ.. ไม่ใช่คำพูดของผม หรือเป็นคำสอนของวัดใดวัดหนึ่ง..
คิดในแง่นี้.. คนรวยทำทานจำนวนมาก กับคนจนทำทานจำนวนน้อยกว่า..
หากจิตผู้ให้.. สิ่งของที่ทำทาน.. และผู้รับทานมีความบริสุทธิ์เหมือนกัน..
คนรวย จะได้บุญมากกว่าคนจน..
พระบางองค์ท่านถึงให้พรในระดับชาวบ้านผู้หาเช้ากินค่ำว่า..
“ขอให้รวยๆนะจ๊ะ.. ขอให้เป็นเศรษฐี มหาเศรษฐีผู้ใจบุญนะจ๊ะ..”
พระท่านให้พรแบบนั้น ไม่ได้ต้องการให้คนมีกิเลส.. หากเป็นการให้พรคนที่ต้องการหลุดพ้น.. ท่านก็จะให้พรอีกแบบหนึ่ง..
ด้วยเพราะคนจนจำนวนมากนั้น.. แค่หาเงินมากินใช้ให้มีชีวิตรอดอยู่ไปวันๆยังลำบากเลย.. จะไปบอกให้เขามาปฎิบัติธรรม.. นั่นดูไกลเกินไปสำหรับเขา..
ที่พระท่านให้พรแบบนั้น.. เพราะท่านทราบดีว่า..
“คนรวยมีโอกาสทำทานมากกว่าคนจนนั่นเอง.. “
เพียงแต่ท่านไม่ได้อธิบายเรื่อง เนื้อนาบุญกับเมล็ดพันธุ์ที่ดีเท่านั้น..
ส่วนคนจนนั้น แม้จะไม่มีโอกาสได้ทำบุญใหญ่.. แต่ก็ต้องแบ่งสิ่งของไปทำทานตามกำลังที่มี เท่าที่จะไม่ทำให้ตนเองและครอบครัวเดือดร้อน..
 
อนึ่ง วิธีดูความบริสุทธิ์ 3 อย่างนี้ เป็นหลักที่ใช้กับการกระทำ..ทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว..
กล่าวคือ เมื่อคนทำบาป.. เขาจะได้บาปมากหรือน้อยก็ใช้หลักนี้ไปปรับใช้ได้..
ถ้าเขามีเจตนาชั่วร้าย ต่อเนื่องยาวนานมากเพียงใด.. ผลร้ายความเสียหายที่เกิดขึ้น ก็มากเพียงนั้น..
เช่น จะยิงนก แต่ยิงพลาด หรือนกยังไม่ตาย.. ก็ตามล่าพยายามฆ่านกอยู่นาน.. จนสำเร็จ .. แบบนี้บาปแรง..
หรือถ้าบุคคลที่เราทำร้าย มีบุญคุณต่อเรา มีความสำคัญต่อโลกมากเพียงใด..
วิบากกรรมชั่ว ก็จะยิ่งส่งผลแรงและเข้มข้นมากขึ้นเพียงนั้น..
ด้วยเหตุนี้ การตบยุงตาย จึงไม่เป็นความผิดอาญา..
ด้วยเหตุนี้ การทำร้ายควายจนตาย จึงอาจมีความผิดฐานทารุณกรรมสัตว์..
ด้วยเหตุนี้ การฆ่าบุพการี จึงมีโทษประหารชีวิตสถานเดียว..
และด้วยเหตุนี้ การทำร้ายพระพุทธเจ้า.. จึงต้องตกนรกขุมต่ำสุด..
การที่คนจะทำความดี.. ไม่มีอะไรมาขัดขวางได้..
เว้นแต่ วิบากกรรมชั่ว.. และกิเลสในใจตนเองเท่านั้น..
เพราะฉะนั้น เมื่อมีโอกาสทำบุญ.. ให้รีบทำเถอะครับ.. บุญวิ่งมาหาถึงตัวแล้ว..
ทำมาก ทำน้อยไม่เป็นไร.. หลวงพ่อฤาษีลิงดำสอนว่า..
“ทำบุญนั้น ยิ่งทำบ่อยยิ่งดี.. จิตจะได้ติดในบุญ..”
การช่วยเหลือคนอื่นในเรื่องเล็กๆน้อยๆ.. แต่ถ้าทำบ่อยครั้งเข้า..ก็เป็นบุญเป็นทานใหญ่ได้..
ส่วนการทำความชั่วนั้น.. เกิดจากกิเลสในใจ.. และความยับยั้งช่างใจน้อย..
แต่พระพุทธเจ้ามอบยาวิเศษไว้ขนานหนึ่ง..
ยาวิเศษนี้.. แม้คนนั้นจะมีกิเลสมากเพียงใด.. ถ้าใช้ยาวิเศษนี้ สามารถป้องกันการทำชั่วได้ 100%....
นั่นก็คือ.. “ศีล 5 “..
ถ้าเลือกทำดีไม่ได้.. ก็จงอย่าทำชั่วครับ.. ถือศีล 5 เข้าไว้...
อ่อ.. แล้วก็...
อย่าไปฟังโฆษณาทางทีวีให้มากนัก.. ประเดี๋ยวจะไม่ได้ทำบุญกัน.. 55
คนที่ดูทีวีแล้วไม่คิด.. อาจติดยึดคำโฆษณานั้นว่าดี.. ถ้าใครไม่ทำตามโฆษณานั้น เลยกลายเป็นคนไม่ดี..
ระวังนะครับ.. การทำบุญ.. ใครอยากทำ ก็ให้เขาทำ.. ใครไม่อยากทำ.. ก็ช่างเขา..อย่าไปตำหนิ..
เรารักโลก.. เวลาไปซื้อสินค้า เราก็เตรียมถุงกระดาษไปใส่ของ.. แต่เห็นคนอื่นเอาถุงพลาสติกไปใส่ของ.. คิดว่าเขาไม่รักษ์โลก..
มันก็เรื่องของเขา.. อย่าไปดูแคลนเขานะ..
รัฐบาลโฆษณาให้คนไปเลือกตั้ง.. มีคนไปใช้สิทธิ.. มันก็เรื่องของเขา.. แต่คนนอนหลับทับสิทธิ ก็ไม่ผิดอะไร..
เราไม่มีสิทธิไปด่าเขา..
เราชอบรัฐบาลชุดนี้.. แต่คนอื่นเห็นว่า รัฐบาลนี้ไม่ดี.. เขาด่ารัฐบาล.. มันก็เรื่องของเขา..
เราไม่มีสิทธิไปตำหนิคนที่เกลียดรัฐบาล..
เราเกลียดรัฐบาลนี้..แต่คนอื่นเห็นว่า รัฐบาลทำดี.. เขาสนับสนุนรัฐบาล.. มันก็เรื่องของเขา..
เราไม่มีสิทธิไปวิจารณ์คนที่ชอบรัฐบาล..
เราจะออกไปเดินขบวนประท้วง.. มันก็เป็นสิทธิของเรา.. คนอื่นไม่เห็นด้วย มันก็เรื่องของเขา..
เราไม่มีสิทธิไปโจมตี.. คนที่ไม่ช่วยเราประท้วง...
คนอื่นเขาจะออกไปประท้วง.. มันก็เรื่องของเขา.. เราไม่เห็นด้วย ก็เรื่องของเรา..
แต่เราไม่มีสิทธิไม่ห้ามเขาประท้วง..
เราไล่รัฐบาลออกได้สำเร็จ.. มันก็เรื่องของเรา.. คนอื่นไม่ดีใจด้วย กลับเลือกรัฐบาลเก่าเข้ามาอีก.. มันก็เรื่องของเขา..
เราไม่มีสิทธิไปโต้แย้ง..
เขาไล่รัฐบาลออกได้สำเร็จ มันก็เรื่องของรัฐบาล.. ไม่ต้องไปปกป้อง.. ถ้าเราชอบรัฐบาลเก่า.. ก็เลือกเขาเข้ามาอีก..
แต่เราไม่มีสิทธิห้ามคนที่จะเลือกรัฐบาลใหม่..
ผมเชื่อว่า..
“การเคารพความเห็นต่าง.. เป็นหลักการพื้นฐานสำคัญของความเป็นประชาธิปไตย..”
ยอมรับคนที่เห็นต่างได้ว่า.. เขาไม่ใช่คนไม่ดี..
เพราะเป้าหมายที่ประชาชนควรใช้สิทธิวิพากษ์ตามรัฐธรรมนูญ.. เป้าหมายที่ต้องโจมตีเมื่อเกิดความไม่พอใจ..
ประชาชนทุกฝ่ายมีเป้าหมายเดียวกันครับ..
นั่นก็คือ.. “รัฐบาล” ที่เราไม่เห็นด้วย..
ประชาชนทุกฝ่าย.. ไม่ควรใช้สิทธิแสดงความคิดเห็นตามรัฐธรรมนูญกับประชาชนด้วยกันเอง..
เพราะนั่นคือ การไม่เคารพสิทธิของผู้อื่นที่เห็นต่าง..
และเป็นบ่อเกิดของการทะเลาะเบาะแว้งภายในชาติ..
เมื่อคนในชาติแตกความสามัคคี.. ทะเลาะกันเอง.. โจมตีกันเอง.. จนทำให้ฝ่ายที่เห็นต่างได้รับความเสียหาย.. ย่อมเป็นความผิดทางอาญา..
ผลที่จะตามมา เป็นอย่างน้อยก็คือ..
“คดีหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา..”
และผลที่จะตามมา เป็นอย่างมากก็คือ..
“เหตุการณ์ความไม่สงบ..”
คุ้นๆกับคำนี้มั้ยครับ..
เหตุการณ์ความไม่สงบนี่แหละ.. ที่จะกระทบความมั่นคงของชาติ..
เหตุการณ์ความไม่สงบนี่แหละ.. ที่จะเป็นเหตุผลที่แท้จริง หรือเป็นเพียงข้อกล่าวอ้าง..
ให้ทหารต้องออกมาทำการปฎิวัติรัฐประหารเพื่อรักษาความสงบต่อไปเรื่อยๆ.. เรื่อยๆ.. เรื่อยๆ.. และเรื่อยๆ ๆ
อย่าด่ากันเองเลยครับพี่น้อง..
มาช่วยกันใช้สิทธิแสดงความคิดเห็นเพื่อตรวจสอบการทำงาน.. ใช้สิทธิในการวิจารณ์วิพากษ์.. ตำหนิ.. โจมตีรัฐบาลทุกรัฐบาลในสิ่งที่คิดว่า รัฐบาล นั้นๆทำไม่ถูกต้อง..
เพื่อให้เราได้รัฐบาลที่ดีที่สุดกันดีกว่า..
การวิจารณ์รัฐบาล ไม่เป็นความผิดครับ.. เพราะเป็นสิทธิที่ประชาชนมีต่อรัฐ..และรัฐธรรมนูญให้การรับรอง..
แต่ในทางตรงกันข้าม.. รัฐบาลไม่มีสิทธิวิจารณ์ หรือตอบโต้เมื่อประชาชนที่เห็นต่างเขาแสดงความคิดเห็นนะ..
เมื่อรัฐไม่มีสิทธิ.. ถ้าคิดจะวิจารณ์ประชาชนกลับ.. ต้องระวังอย่าให้เกิดรับผิดทางอาญานะครับ..
คนไทยส่วนใหญ่ อาจยังไม่เข้าใจว่าประชาธิปไตยคืออะไรกันแน่.. เห็นเรียกร้องอยากให้มี อยากให้เป็นกันมากเหลือเกิน..
สำหรับผม ให้นิยามความเป็นประชาธิปไตยในแบบที่เข้าใจง่ายๆ ก็คือ..
“ประชาชนที่เห็นต่างกัน แล้วไม่ตีกันเอง..
นิ่งเฉยได้.. ไม่ปกป้องรัฐบาลที่ตนชอบ.. เมื่อรัฐบาลถูกวิจารณ์หรือขับไล่..”
.. นั่นล่ะครับ “ประชาธิปไตย”..
อ้าว... ผมกำลังเขียนเรื่องทำบุญทำกุศลอยู่ดีๆ..
แล้วทำไมแฉไฉไปเรื่องประชาธิปไตยได้..55
ต้องขอโทษท่านผู้อ่านด้วยนะครับ..
ก็บอกแล้วว่า.. ผมเป็นนักกฎหมาย .. ไม่ชอบพูดเรื่องการเมือง..
ผมไม่สนใจว่า..ใครจะมา..ใครจะไป..
พรรคใดจะได้ที่นั่งอะไร.. ตรงไหน..
ใครจะรักใคร.. ใครจะทะเลาะกับใคร.. มันก็เรื่องของเขา..
เรื่องแบบนี้ เป็นเรื่องการเมือง.. ก็ควรปล่อยให้นักการเมืองเขาคุยกันเองครับ.. ผมให้เกียรติเสมอ..
แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ประชาชนจะได้ จะเสียอะไร.. จะได้รับผลกระทบจากกฎหมาย.. จากนโยบายอะไร.. นั่นไม่ใช่เรื่องการเมืองสำหรับผม..
ที่โพสต์เรื่องประชาธิปไตย เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับส่วนได้เสียของชาติและประโยชน์ของประชาชน..
ที่สำคัญ.. ผมไม่อยากเห็นคนไทยตีกันเองครับ..
ไม่ว่าเราจะเห็นต่างกันแค่ไหน.. ไม่ว่ารัฐบาลจะดี หรือเลวอย่างไร.. ก็เป็นเรื่องระหว่างรัฐกับประชาชน..
ไม่ใช่เรื่องระหว่างประชาชนฝ่ายที่เห็นด้วย กับประชาชนฝ่ายที่เห็นต่าง..
เราก็ไม่มีสิทธิจะทะเลาะกันเอง..
อย่าหลงทางประชาธิปไตยครับ..
ด้วยความรักคนไทย.. และชาติไทย ยิ่งกว่า. การเมืองไทย..
โฆษณา