27 ส.ค. 2020 เวลา 00:07 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
HOPE FROZEN
“เราสามารถรักษาความหวังได้นานแค่ไหนกัน?”
เราคงเคยได้ดูหนังหรือนิยายวิทยาศาสตร์
ที่เล่าเกี่ยวกับการแช่แข็งร่างกาย
ให้จำศีล เพื่อรักษาสภาพให้มีชีวิตยืนยาวออกไป
อีกหลายร้อยหลายพันปี
บ้างก็ใช้ในการเดินทางข้ามอวกาศ
บ้างก็ใช้ในทางการแพทย์ ใช้ในการรักษา
ซึ่งปัจจุบันเราคงเห็นเรื่องราวเหล่านี้ได้แค่เพียง
ผ่านทางหนัง หรืออ่านนิยายเท่านั้น
จนเมื่อไม่นานมานี้ผมเห็นตัวอย่างสารคดี
ที่ทาง Netflix จะนำมาฉาย
เรื่อง HOPE FROZEN ที่ถ่ายทอดเรื่องราว
เด็กหญิงวัย 2 ขวบที่ป่วยเป็นมะเร็งสมองชนิดร้ายแรง
ได้ถูกแช่แข็งไว้ เพื่อคาดหวังวิทยาการในโลกอนาคต
จะสามารถรักษา และสามารถปลุกให้น้องกลับขึ้นมามีชีวิตได้อีกครั้ง
แค่ผมเห็นตัวอย่างสารคดีเรื่องนี้ก็รู้สึกสนใจทันที
เพราะมันเป็นแนวคิดวิทยาศาสตร์บนโลกความเป็นจริง
มันเป็นการท้าทายความสามารถของมนุษย์ว่าจะก้าวไปได้ไกลสุดที่ตรงไหน
และที่สำคัญมันเป็นครอบครัวคนไทย
ผมอยากรู้ว่าอะไรที่ทำให้ทางครอบครัวทำเช่นนั้น?
จึงได้เสิร์จข้อมูล ถึงได้ทราบว่า
เรื่องราวนี้ได้เคยเป็นข่าวดังใหญ่โตเมื่อปี 2015
แต่ผมแทบจำไม่ได้เลยว่าเคยมีข่าวนี้อยู่
ผมได้ดูคลิปข่าว เรื่องเล่าเช้านี้ กับ เจาะข่าวเด่น
ถึงได้ทราบรายละเอียดความเป็นมา
เด็กหญิง 2 ขวบที่พูดถึงมีชื่อว่า ไอนส์
เป็นภาษาจีนและภาษาญี่ปุ่นที่แปลได้ว่า “ความรัก”
น้องไอนส์ เป็นลูกสาวคนเดียวของ
ดร.สหธรณ์ และ ดร.นารีรัตน์ เนาวรัตน์พงษ์
น้องไอนส์ เป็นคนที่ร่าเริงแจ่มใส
จึงเป็นที่รักของคนในครอบครัว
เป็นคนเชื่อมโยงสมาชิกในบ้านเนาวรัตน์พงษ์ให้สนิทชิดเชื้อยิ่งข้น
ไม่ว่าใครที่อยู่ใกล้น้องไอนส์จะมีความสุขไปกับความสดใสของน้อง
จนกระทั่งวันหนึ่งน้องไอนส์หลับไป ปลุกแล้วก็ไม่ได้สติ
ทางบ้านนำน้องไอนส์ไปตัวอย่างละเอียดถึงได้ทราบข่าวร้ายว่า
น้องไอนส์ ที่สมองข้างซ้ายมีก้อนเนื้องอกขนาด 11 ซม.
เป็นโรคมะเร็งในสมองชนิดร้ายแรง โอกาสมีชีวิตรอดเหลือน้อยมาก
น้องไอนส์อาการอยู่ในขั้นวิกฤต จึงต้องเข้ารับการผ่าตัดทันที
ในการผ่าตัดครั้งนั้น ได้ผ่าเอาก้อนเนื้องอกออกได้ประมาณครึ่งหนึ่ง
หลังจากนั้นมีการผ่าตัดที่ตามมาอีกกว่า 12 ครั้ง
ทาง ดร.สหธรณ์ และครอบครัว ได้ทำใจแล้วว่า
การผ่าตัดผลอาจออกมาได้เป็นหลายทาง
1. น้องอาจจะไปเลยคาเตียง
2. น้องอาจจะรอด แต่ไม่ฟื้น
3. น้องอาจจะฟื้น แต่ขยับเขยื้อนอะไรไม่ได้ เหมือนเจ้าหญิงนิทรา
4. น้องฟื้น รู้สึกตัว กลับมาขยับเขยื้อนได้
และปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้นมา แม้สมองของน้องไอนส์ถูกทำลายไปเกือบครึ่งหนึ่ง
แต่น้องก็ฟื้น และกลับมาขยับเขยื้อน กลับมายืน กลับมากระทืบเท้า
และกลับมาฝึกเดินได้
ทำให้ทาง ดร.สหธรณ์ ผู้เป็นพ่อ รับรู้ได้ว่าน้องใจสู้
น้องต้องการมีชีวิตอยู่ ทางตัวเขาผู้เป็นพ่อ ก็ต้องที่จะสู้ให้สุดเพื่อน้องไปด้วย
ดร.สหธรณ์ มีความรู้และสนใจทางด้านวิทยาศาสตร์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
จึงได้ค้นหาวิธีการต่างๆ เป็นลำดับขั้น เพื่อไปจนสุดทางวิทยาศาสตร์ที่จะเป็นไปได้
แต่ มะเร็งที่น้องไอนส์ เป็นมะเร็งชนิดร้ายแรง ยาคีโม ยาฆ่ามะเร็งไม่สามารถ
ฆ่าเชื้อมะเร็งชนิดนี้ได้ ทำให้มะเร็งกลับมาเติบโต และขยายลามไปอีกครั้ง
ดร.สหธรณ์ เห็นแผ่นสแกน MRI ของน้องไอนส์ ก็ทราบได้ทันทีว่า
เซลล์มะเร็งมันไม่ได้ลดน้อยลงเลย แม้น้องไอนส์จะกลับมาเคลื่อนไหว กลับมาร่าเริงสดใสได้ จึงได้บอกกับครอบครัว
ว่าให้ใช้เวลาช่วงนี้ เข้าไปจับตัวน้อง เข้าไปใช้ชีวิตกับน้อง
เพราะต่อไปอาจไม่มีโอกาสแล้ว
ผู้เป็นพ่อมองเห็นว่า แม้น้องไอนส์ใจจะสู้ อยากมีชีวิตอยู่ แต่ด้วยวิทยาการปัจจุบัน
มันมีข้อจำกัด สิ่งที่ทำอยู่ ก็มาถึงขั้นสุดของมันแล้ว ต้องปล่อยให้น้องไป
แต่มันมีทางเลือกอีกหนึ่งทางที่มีโอกาสเป็นจริงได้ในอนาคต
ดร.สหธรณ์จึงได้หยิบยื่นโอกาสให้กับน้องไอนส์ที่อาจจะกลับมาใช้ชีวิตได้อีกครั้งในอนาคต
จึงได้ตัดสินใจที่จะนำน้องไอนส์ ไปทำการ “ไครออนิกส์”
ไครออนิกส์ คือการแช่แข็งอวัยวะ หรือร่างกาย ภายหลังจากที่หัวใจหยุดเต้นแล้ว
ซึ่งหลังจากที่หัวใจหยุดเต้น ร่างกายจะมีเวลาสักพักก่อนที่สมองและอวัยวะภายในจะตาย
การทำไครออนิกส์จึงต้องรีบทำในช่วงนี้ โดยการลดอุณหภูมิ -190 องศา พร้อมทั้งฉีดของเหลวเข้าร่างกาย
แล้วจัดการนำสมอง และเซลล์ หรือร่างกาย ไปทำการแช่แข็งไว้ในแท็งก์
วิธีการนี้ แม้กระทั่งคนดังอย่าง มูฮัมหมัด อาลี ภายหลังจากเสียชีวิตก็ได้ทำการ ไครออนิกส์ เก็บเซลล์ไว้
ด้วยความช่วยเหลือจากทีมแพทย์ น้องไอนส์ ได้กลับบ้านครั้งสุดท้ายอย่างมีสติสมบูรณ์
ท่ามกลางครอบครัวที่อยู่กันพร้อมหน้า ก่อนที่จะปิดระบบพยุงชีพ เพื่อปลดปล่อยน้อง
ร่างของน้องไอนส์ถูกส่งไปยังมูลนิธิอัลคอร์ไลฟ เอ็กซ์เทนชั่น ในรัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา
เพื่อทำการไครออนิกส์ เก็บรักษาเซลล์สมองไว้ รอวิวัฒนาการทางการแพทย์เพื่อรักษาได้ต่อไปในอนาคต
ส่วนร่างกายของน้องได้ถูกฌาปนกิจเหลือเพียงอัฐิส่งกลับมา
นักข่าวหลายคนได้สอบถามคุณพ่อน้องไอนส์ ว่าตัดสินใจทำ ไครออนิกส์ กับน้องไอนส์
นี่คาดหวังจะได้พบเจอกันอีกในอนาคตหรือไม่
ดร.สหธรณ์ ได้ตอบว่า วินาทีที่แท็งก์เก็บเซลล์น้องไอนส์ได้ทำการปิดลง นั้นคือจบแล้ว
จากนี้ไปไม่มีวันที่ทางครอบครัวจะได้พบน้องไอนส์อีก
เพราะวิทยาการที่จะสามารถปลูกถ่ายเซลล์ ปลูกอวัยวะ สามารถฟื้นคืนชีพคนทำไครออนิกส์ให้กลับมามีชีวิตอีกได้ ต้องรอไปอีกอย่างน้อย 80-100 ปี เพราะต้องอาศัยวิทยาการรักษาโรค และ การปลูกถ่ายเซลล์ให้ถึงพร้อมทั้งสองด้าน เขาและครอบครัวคิดว่าไม่มีใครอยู่ถึง ที่ตัดสินใจทำลงไป เพราะเขาเห็นวินาทีที่น้องไอนส์สู้ ต้องการมีชีวิตอยู่ เขาจึงหยิบยื่นโอกาสความเป็นไปได้ในอนาคตที่น้องอาจจะกลับมาได้ เขาและครอบครัวได้อัดคลิปเรื่องราวความเป็นมาของน้องไอนส์จัดเก็บเป็นคลังข้อมูลไว้ให้ เพื่อหากวันใดวันหนึ่งน้องไอนส์ตื่นฟื้นขึ้นมาจะได้ทราบรับรู้เรื่องราวประวัติของตัวเอง ว่าเป็นคนพิเศษเพียงใด
ผมดูคลิปสัมภาษณ์ของ ดร.สหธรณ์ ผู้เป็นพ่อจบลง ก็รับรู้ได้ว่า เขาและครอบครัวรักน้องไอนส์มากมายเพียงใด
แม้การทำแช่แข็งเก็บเซลล์อวัยวะ จะมีหลายฝ่ายออกความเห็นไม่เห็นด้วย มองว่าทางคุณพ่อไม่ยอมปล่อยวางและยังขัดตามหลักความเชื่อของคนไทย แต่ทาง ดร.สหธรณ์ ก็ไม่ได้โต้แย้งใดๆ เพียงคิดแค่ว่าวิทยาการต่างๆ ก็เริ่มจากสิ่งที่เคยทำไม่ได้มาก่อน เริ่มมาจากสิ่งที่คนไม่เห็นด้วย ไม่ยอมรับมาทั้งนั้น
ไม่ว่าจะเป็น การทำกิ๊ฟท์ การผ่าคลอด แต่ปัจจุบันกับทำได้ง่ายมาก และยอมรับกันอย่างแพร่หลาย
ส่วนตัวผมมองว่าทางคุณพ่อ เข้มแข็งมาก เข้าใจชีวิต เข้าใจทางพุทธ เข้าใจทางวิทยาศาสตร์ได้ดีประมาณหนึ่ง
เข้าใจว่าการพบกันในครั้งนี้ของเขากับน้องไอนส์จบลงแน่นอนแล้ว
และก็เข้าใจด้วยว่าวิทยาการทางวิทยาศาสตร์ในอนาคตมันอาจแก้ไขโรคเหล่านี้ได้
จึงได้หยิบยื่นโอกาสนี้ให้กับน้อง
ไม่ว่าในปี 2100 น้องไอนส์ จะกลับมาฟื้นคืนชีวิตได้หรือไม่ยังไม่มีใครรู้ แต่อย่างน้อยการทำไครออนิกส์ในครั้งนี้ ก็เป็นตัวจุดกระแสที่จะทำให้เกิดธนาคารอวัยวะแช่เย็นได้ในอนาคนอันใกล้ เป็นความหวังให้กับผู้ป่วยที่รอเปลี่ยนถ่ายอวัยวะอีกมากมาย
อาจกล่าวได้ว่า
ชีวิตของน้องไอนส์ ได้แสดงให้พวกเราเห็นถึงความรักสุดหัวใจของครอบครัว
และความหวังทางวิทยาศาสตร์ที่มีต่อมนุษยชาติในโลกอนาคต
อ้างอิงข้อมูลจาก
สารคดี HOPE FROZEN
คลิปข่าว เรื่องเล่าเช้านี้
คลิปข่าว เจาะข่าวเด่น
โฆษณา