27 ส.ค. 2020 เวลา 18:45 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
ai จะครองโลก
มีใครชอบดูหนังเกี่ยวกับหุ่นยนต์ หรือ AI บ้าง? เฟื่องเป็นคนหนึ่งที่ชอบดูหนังประเภทนี้ ดูทีไรก็จะชื่นชมผู้สร้างหนังที่สามารถจินตนาการถึง AI ได้หลากหลายรูปแบบเหลือเกิน มีทั้ง “หุ่นยนต์ไม่เป็นมิตรกับมนุษย์” เช่นเรื่อง The Matrix ที่หุ่นยนต์จับมนุษย์ขังไว้ในแคปซูลเพื่อเป็นแหล่งพลังงานให้พวกมัน หรือ “หุ่นยนต์ที่ทำงานรับใช้มนุษย์” อย่างเรื่อง WALL-E ที่นอกจากเก็บขยะบนโลกมนุษย์แล้ว ยังมีหน้าที่ค้นหาแหล่งที่อยู่ใหม่ให้พวกเราอีกด้วย หรือ “หุ่นยนต์ที่มีความรู้สึกไม่ต่างจากมนุษย์” เช่นเรื่อง AI Artificial Intelligence ที่ AI ตัวเอกของเรื่องอยากทำให้พ่อแม่ผู้เป็นเจ้าของรักเขามากขึ้น แต่ก่อนเราอาจจะดูหนังประเภทนี้ด้วยความรู้สึกว่า “ช่างเป็นเรื่องไกลตัวเหลือเกิน” แต่เชื่อหรือไม่…เรื่องเหล่านี้อาจจะเป็นความจริงในอนาคต เพราะมันอาจจะเกิด Technological Singularity ขึ้นได้จริง
Technological Singularity คืออะไร?
Technological Singularity หรือ เอกภาวะทางเทคโนโลยี คือ ภาวะการณ์ที่เราไม่สามารถทำนายได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในโลกอนาคต รู้เพียงแต่ว่าเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะสามารถพัฒนาความฉลาดด้วยตัวเองในอัตราความเร็วทวีคูณ (recursive self-improvement) จนในที่สุดเกิด “การระเบิดทางสติปัญญา” (Intelligence Explosion) ที่ทำให้ AI ฉลาดขึ้นอย่างไร้จุดสิ้นสุด จนมนุษย์ไม่อาจควบคุมหรือเข้าใจมันได้อีกต่อไป ซึ่งภาวะการณ์ Singularity นี้จะเปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำรงชีวิตของมนุษย์ไปตลอดกาล หลังจากที่แนวคิด Singularity เริ่มเป็นกระแส ก็ได้มีผู้นำทางความคิดและผู้เชี่ยวชาญมากมายออกมาทำนายสิ่งที่จะเกิดขึ้นในโลกอนาคต เช่น โลกจะพัฒนาไปถึงจุด Singularity หรือไม่ และหากพัฒนาไปถึงจุดนั้นจริงๆ จะเกิดอะไรขึ้นกับโลกบ้าง ในวันนี้ เฟื่องจะขอรวบรวม 3 สมมุติฐานที่อาจเกิดขึ้นเกี่ยวกับ Singularity ดังนี้
Singularity คืออะไร Credit: plarium.com
สมมุติฐานที่ 1: โลกจะพัฒนาไปถึงจุด Singularity และ AI อาจจะทำลายล้างมนุษย์!!
คงไม่มีใครปฏิเสธได้แล้วว่า AI ได้ฉลาดกว่ามนุษย์ในบางเรื่องไปแล้ว เช่น AI “อัลฟาโกะ” ที่แข่งขันเล่นหมากล้อมชนะเซียนโกะระดับโลก แต่อย่างไรก็ตาม AI ก็ยังมีจุดอ่อนอีกหลายด้าน เช่น AI ถูกสร้างมาเพื่อเป้าหมายอย่างใดอย่างหนึ่งโดยเฉพาะ ทำให้มันไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่ซับซ้อนเหนือกว่าตรรกะเหตุผลแบบมนุษย์ได้ เช่น เรื่องนามธรรม หรือ อารมณ์ความรู้สึก
หากแต่ก็เริ่มมีผู้เชี่ยวชาญหลายท่านที่คาดการณ์ว่าเมื่อ AI พัฒนาความฉลาดของตนเองไปจนถึงระดับหนึ่ง มันอาจจะเริ่มพัฒนาตัวเองให้คล้ายมนุษย์ด้วยการมี “สำนึก” (Consciousness) ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง ไม่มีใครรู้เลยว่า “สำนึก” ของ AI จะเป็นอย่างไร มันจะให้คุณค่ากับสิ่งใดบ้าง และที่น่ากลัวที่สุดคือ มันจะยังให้คุณค่ากับ “มนุษย์” ผู้ฉลาดน้อยกว่ามันหรือไม่
เวอร์เนอร์ วินจ์ (Vernor Vinge) ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญที่ทำให้แนวคิด Singularity เป็นที่รู้จักในวงกว้าง ได้ฟันธงว่า Singularity จะเกิดขึ้นภายในปี 2030 (พ.ศ. 2573) แน่นอน และเมื่อถึง ณ จุดนั้น ยุคของมนุษย์ก็จะสิ้นสุดลง!!
Singularity คืออะไร Credit: digitaltrends.com
สมมุติฐานที่ 2: โลกจะพัฒนาไปถึงจุด Singularity และ AI กับมนุษย์จะผสานเป็นหนึ่งเดียวกัน
ผู้ที่พูดถึงสมมุติฐานนี้มากที่สุดคนหนึ่ง คือ เรย์ เคิร์ซวีล (Ray Kurzweil) ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการฝ่ายวิศวกรรมของ Google และเป็นบุคคลที่ บิล เกตส์ เคยยกย่องว่า “เขาคือผู้ทำนายอนาคตด้านปัญญาประดิษฐ์ที่แม่นยำที่สุดของโลก” เขาเชื่อว่าภายในปี 2045 (พ.ศ. 2588) หรือ 26 ปีต่อจากนี้ มนุษย์จะได้พบกับยุค Singularity ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ และจะพลิกโฉมการให้คำนิยามคำว่า “มนุษย์” ไปอย่างสิ้นเชิง!!
เรย์ เคิร์ซวีล เชื่อว่าในยุค Singularity มนุษย์จะสามารถเชื่อมต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์จนกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน เช่น ฝัง Nano machine ขนาดจิ๋วลงบนร่างกายเพื่อซ่อมแซมเนื้อเยื่อในร่างกายได้ทันที หรือ ฝังชิปลงในสมองเพื่อแปลงความทรงจำเป็นข้อมูลดิจิทัลและอัพโหลดเก็บไว้ในระบบ Cloud ซึ่งสามารถทำสำเนา หรือดาวน์โหลดลงในสมองใหม่ได้ การผสานพลังระหว่างมนุษย์กับคอมพิวเตอร์นี้อาจทำให้มนุษย์ไม่เจ็บป่วยอีกเลย และสามารถเป็นอมตะได้!!
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าสมมุติฐานนี้จะฟังดูล้ำมาก แต่ว่าในปัจจุบัน การที่ AI กับมนุษย์จะผสานเป็นหนึ่งเดียวกันนั้นยังคงเป็นไปได้ยากมาก เพราะขัดกับประเด็นด้านจริยธรรมและมนุษยธรรมในมนุษย์
Singularity คืออะไร Credit: code.fb.com
สมมุติฐานที่ 3: โลกจะไม่พัฒนาไปถึงจุด Singularity และ AI จะยังคงเป็นแค่เครื่องมือของมนุษย์
สำหรับสมมุติฐานที่ 3 ขออ้างถึง แอนดรูว์ อึ้ง (Andrew Ng) ซึ่งถือเป็นผู้บุกเบิกด้าน AI คนแรกๆของโลก เป็นอดีตผู้ก่อตั้งทีม Google Brain และ VP & Chief Scientist ของ Baidu บริษัท search engine ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน บอกว่า AI ที่เราเห็นทุกวันนี้ยังคงเป็น AI แบบ “Artificial Narrow Intelligence” คือเป็น AI ที่เก่งเฉพาะทาง เช่น ขับรถได้ เล่นโกะได้ แต่ไม่สามารถทำทั้งหมดพร้อมกันได้ ซึ่งแอนดรูว์ อึ้ง บอกว่ากว่าที่เราจะสร้าง AI ที่ซับซ้อนขึ้นมาหน่อย หรือ “Artificial General Intelligence” ซึ่งเป็น AI ที่ทำหลายๆอย่างพร้อมกันได้ เช่น เดิน วิ่ง ยิงปืน ขับรถ อาจต้องใช้เวลาเป็นสิบปี หรืออาจเป็นร้อยปี ฉะนั้น กว่าจะไปถึง “Artificial Super Intelligence” ที่สามารถพัฒนาความฉลาดด้วยตัวเองตาม Concept ของ Singularity คงไม่เป็นจริงในเร็ววันนี้
ถึงแม้ว่าเฟื่องจะไม่สามารถฟันธงให้ได้ว่าสมมุติฐานใดน่าจะถูกต้องแม่นยำที่สุด แต่สิ่งหนึ่งที่เฟื่องได้เรียนรู้จากเรื่อง Singularity ก็คือ เราคงจะปฏิเสธเทคโนโลยีไม่ได้อีกต่อไป และผู้ที่ไม่ปรับตัวเรียนรู้โลกอนาคตก็อาจจะตกเป็นเหยื่อได้ ไม่ว่าจะตกเป็นเหยื่อของ AI หรือของมนุษย์ก็ตาม!!
ขนาด AI ยังอัพเกรดตัวเองอยู่ตลอดเวลา มนุษย์เราก็ต้องอย่ายอมแพ้ AI มาเรียนรู้โลก IT ไปด้วยกันค่ะ ?
สนับสนุนความรู้เทคโนโลยีดีๆโดย สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA)
โฆษณา