พ.ศ. ๒๓๗๗ เจ้าพระยาบดินทรเดชา จัดกองทัพที่พระตะบอง เพื่อออกขับไล่ญวนที่เมืองโพธิสัตว์ พนมเปญ และกำปอด รุกไล่กองทัพญวนทั้งสามเมืองแตกพ่ายยับเยิน แม่ทัพญวนยอมแพ้ จึงทำพิธีมอบธงชัยประจำกองทัพของญวนให้แก่กองทัพไทย ที่เมืองโพธิสัตว์ (เมืองนี้ผู้เขียนก็เคยไปอยู่สี่ห้าเดือนครับ)
เจ้าพระยาบดินทรเดชา ต้องตรากตรำทำการสู้รบกับญวน เพื่อป้องกันไม่ให้เขมรถูกญวนกลืน ซึ่งถือได้ว่าเป็นแม่ทัพผู้รับผิดชอบในการคุ้มครองเขมรให้พ้นจากการครอบงำของญวน ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๓๗๖ จนถึง พ.ศ. ๒๓๙๑ เป็นระยะเวลากว่า ๑๕ ปี จนในที่สุดญวนก็ขอผูกไมตรีอย่างเดิม เมื่อเห็นว่าไทยมีอำนาจในการรักษาเขมรในลักษณะเป็นเมืองขึ้นของไทย และช่วยเขมรให้กลับมีราชวงศ์ปกครอง อย่างเช่นแต่ก่อนแล้ว
จึงได้จัดพิธีราชาภิเษกพระองค์ด้วง(พระหริรักษ์รามาอิศราธิบดี - บุตรนักองเอง - ต้นราชวงศ์กษัตริย์กัมพูชาในปัจจุบัน) เป็นพระเจ้ากรุงกัมพูชา พร้อมตั้งเมืองโพธิสัตว์เป็นเมืองหลวงของเขมร พอจัดการให้คำปรึกษาในการแต่งตั้งเจ้านายผู้ใหญ่ตำแหน่งต่างๆ และให้แนวทางการบริหารราชการตามพระราชโองการฯจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจ้าพระยาบดินเดชาก็เดินทางกลับประเทศไทย เมื่อวันศุกร์ที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๓๙๑ ในระหว่างทางกลับก็เกิดจีนกบฏก่อการกำเริบขึ้นที่ฉะเชิงเทรา เจ้าพระยาบดินทรเดชาจึงแวะช่วยปราบปรามจนสงบ แล้วเข้ามาเฝ้าฯ ที่ กรุงเทพฯ
ความสัมพันธ์ระหว่างรัชกาลที่ ๓ กับเจ้าพระยาบดินทรเดชา ลึกซึ้งมากครับ เพราะทรงเรียกเจ้าพระยาบดินทรเดชาว่า “พี่สิงห์” ทุกครั้ง บางครั้งเมื่อเข้าไปเฝ้าฯยังทรงโยนหมอนอิงให้ท้าวข้อศอก แต่เจ้าพระยาบดินทรเดชารับไว้แล้วก็วางไว้ข้างหน้าไม่ได้ใช้หมอนนั้น ได้แต่ตื้นตันด้วยความจงรักภักดีอย่างมหาศาล ตลอดรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.๓) พระองค์ได้ทรงมีพระกระแสรับสั่งถึงกุญแจแห่งความสำเร็จในการปกครองบ้านเมืองของพระองค์อยู่เสมอว่า ประกอบด้วยแก้ว ๕ ประการ อันได้แก่
๑.บ่อแก้ว หมายถึง พระยาราชมนตรี (กู่) ซึ่งเป็นราชบัณฑิตที่น่าเลือมใส ๒.ช้างแก้ว หมายถึง พระยาช้างเผือก นามว่า พระยาเศวตกุญชร และพระยามงคลเดชพงศ์ ๓.นางแก้ว หมายถึง พระเจ้าลูกเธอพระองค์เจ้าหญิงวิลาศ กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ ๔.ขุนคลังแก้ว หมายถึง พระศรีสหเทพ (ทองเพ็ง ศรีเพ็ญ) และ ๕.ขุนพลแก้ว หมายถึง เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) แม่ทัพผู้คอยปกป้องพระราชอาณาเขตให้พ้นจากการรุกรานของศัตรู
ปีที่กลับจากเขมรนั้น เจ้าพระยาบดินทรเดชา มีอายุย่างขึ้น ๗๒ ปี ครั้นพอถึงวันอาทิตย์ที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๓๙๒ ท่านก็ถึงแก่อสัญกรรมด้วยโรคอหิวาตกโรค พอปี พ.ศ. ๒๓๙๓ ก็ได้รับพระราชทานเพลิงศพเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๕ พฤษภาคม ที่เมรุผ้าขาว วัดสระเกศ (บางบันทึกว่าเป็นวันอังคารที่ ๒๘ พฤษภาคม ครับ)
เมื่อพระองค์หริรักษ์ (นักองด้วง) พระเจ้ากรุงกัมพูชาได้ทราบว่า เจ้าพระยาบดินทร์เดชาถึงอสัญกรรม ก็ให้สร้างเก๋ง (ศาลบูชา) ขึ้นที่หน้าค่ายใหญ่ ใกล้วัดโพธาราม ในเมืองอุดงมีชัย เพื่อระลึกถึงบุญคุณที่ท่านเคยได้ช่วยเหลือ แล้วปั้นรูปเจ้าพระยาบดินทรเดชาขึ้นไว้เป็นอนุสาวรีย์ด้วยปูนเพชร และประกอบการกุศลปีละครั้ง ชาวเขมรเรียกว่า" รูปองค์บดินทร " ตลอดมาจนทุกวันนี้
ส่วนรูปหล่อเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) ซึ่งอยู่ในเก๋งจีนข้างพระปรางค์วัดจักรวรรดิราชาวาส (วัดสามปลื้ม)นั้น พระพุฒาจารย์(มา) ไปถ่ายมาจากเมืองเขมรอีกต่อหนึ่งแล้วจัดการหล่อขึ้นในระหว่าง พ.ศ. ๒๔๔๑ - พ.ศ. ๒๔๔๗ ครับ