29 ส.ค. 2020 เวลา 01:00 • ท่องเที่ยว
Milano most Beautiful-Italy.
ชมความงดงามของ Duomo di Milano,italy.
มหาวิหาร The Duomo แห่งมิลาน (Milan Cathedral)
ชมความงดงามของ Duomo di Milano
Milan หรือ Milano ในภาษาอิตาลี เป็นเมืองหลวงของแคว้น Lombardy เมื่อเราเข้าสู่เขตตัวเมืองมิลานแล้วควรซื้อบัตร Milano Card 24h + Malposa Express Single ไว้แล้ว ออนไลน์ (19.25€ ประมาณ ฿748) ก็เลยไปรับบัตรที่จุดบริการลูกค้าในสนามบิน (เปิดให้บริการทุกวันและหยุดตามวันหยุดธนาคาร ตั้งแต่ 8.30-24.15 น.)
Milano Card มีสิทธิพิเศษมากมาย ส่วนลดเข้าชมพิพิธภัณฑ์ ร้านอาหาร และที่สำคัญใช้ Metro นับจากเวลาที่เริ่มใช้ เราเลือกเป็น24h ต้องใช้ในเขตมิลานเท่านั้น นอกเขตไม่ได้
Malpensa Express คือ รถไฟ เข้า-ออก Airport
เดินทางเข้าที่พักเก็บกระเป๋าสัมภาระให้เรียบร้อย แล้วเริ่มกันที่ มหาวิหาร The Duomo แห่งมิลาน (Milan Cathedral) มหาวิหารมิลานเป็นโบสถ์ใหญ่ของมิลานลอมบาร์ดีประเทศอิตาลี อุทิศให้กับการประสูติของเซนต์แมรีเป็นที่ประทับของอาร์คบิชอปแห่งมิลานปัจจุบันคืออาร์คบิชอปมาริโอเดลปินี มหาวิหารใช้เวลาเกือบหกศตวรรษจึงจะเสร็จสมบูรณ์: เริ่มก่อสร้างในปี 1386 และรายละเอียดขั้นสุดท้าย
เสร็จสมบูรณ์ในปี 2508 เป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในอิตาลี
บนหลังคามหาวิหารแห่งเมืองมิลาน (Duomo di Milano)
นั่งรถไฟใต้ดิน ไปสถานี Piazza del Duomo
เที่ยวอิตาลีแล้วไม่ได้แวะมาที่มหาวิหารแห่งเมืองมิลาน (Duomo
di Milano)คงจะไม่เรียกว่ามาถึงอิตาลี หรือมิลาน ตัวอาคารจะมียอดแหลมเต็มไปหมดสร้างด้วยหินอ่อนเป็นสถาปัตยกรรมสไตล์โกธิคที่ข้ามผ่านกาลเวลามาหลายยุคสมัย โดยเฉพาะเวลาที่ใช้สร้าง ก็กินเวลาไปถึง 579 ปี แล้วเสร็จในปี 1965 ผ่านช่วงเวลาแห่งปัญหามามากมายนัก เช่น การเมือง สงคราม การเงิน
มหาวิหารแห่งเมืองมิลาน (Duomo di Milano)
ด้านขวา จะมีทางให้ขึ้นไปด้านบนสุดคือหลังคาของวิหาร สามารถซื้อตั๋วได้จากที่นี้ ด้านบนสุดของวิหาร เป็นจุดชมวิว 360°ห้ามพลาด เป็นวิวเมืองที่สวยงามมาก ต้องซื้อตั๋วขึ้นมา มีทั้งแบบบันได (7€ = ฿273 ) และลิฟท์ (13€ = ฿506) เลือกตามความสะดวกเลย จ่ายด้วย Milano Card. ด้านในให้เข้าชมฟรีไม่เสียเงิน ถ่ายรูป ( 2€ = ฿78 )เที่ยวอิตาลีถ้ามีงบประมาณจำกัดก็ วางแผนได้ตามความเหมาะสม เราสามารถที่จะเดินดูรอบๆได้ หรือถ้าใครจะเข้าไปดูข้างในจะต้องแต่งกายให้เหมาะสม เสื้อต้องคลุมแขนขาไม่อย่างนั้นจะไม่อนุญาตให้เข้าไปข้างในได้.
บนหลังคามหาวิหารแห่งเมืองมิลาน (Duomo di Milano)
Galleria Vittorio Emanuele II
มาชมความหรูอลังการของห้างสรรพสินค้า Galleria Vittorio Emanuele II
หากมาเที่ยวมิลาน อิตาลี ต้องแวะมาที่ Galleria Vittorio Emanuele II (ใช้ Milano Card) ศูนย์การค้าสุดหรูของผู้หลงใหลแฟชั่นและอาหารชั้นเลิศ Galleria Vittorio manueleII ตั้งอยู่ใกล้ๆกับ The Duomo อาคารหลังนี้มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ว่ากันว่าป็นศูนย์การค้าที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ในขณะเดียวกัน แบรนด์ดังอย่าง Prada และ Gucci..อีกมากมาย.
Galleria Vittorio Emanuele II
มิลานได้รับการขนานนามว่าเป็นเมืองหลวงแห่งแฟชั่นของโลก
ทางเดินในศูนย์การค้าสองฝั่งโดดเด่นด้วยเพดานกระจกครอบอาคารสูงสี่ชั้นและเชื่อมต่อกันด้วยโดมกระจกทรงแปดเหลี่ยม ที่พื้นประดับด้วยกระเบื้องโมเสกสี่ชิ้นเป็นรูปตราประจำเมืองมิลาน ตูริน ฟลอเรนซ์ และโรม ให้คุณลองไปยืนบนตรารูปกระทิงของตูริน แล้วหมุนตัวด้วยส้นเท้า ว่ากันว่าจะนำโชคดีมาให้ ธรรมเนียมท้องถิ่นนี้ได้รับความนิยมมากจนทำให้กระเบื้องโมเสกเป็นรอยหลุมเล็กๆ
เที่ยวอิตาลีทั้งครอบครัวสนุกอบอุ่นดี และด้วยความชอบและรักศิลปะก็ยิ่งอิ่มเอมใจมาก
*Galleria Vittorio Emanuele II เป็นห้างสรรพสินค้าที่เก่าแก่ที่สุดของอิตาลีและเป็นสถานที่สำคัญของเมืองมิลานประเทศอิตาลี Galleria ตั้งอยู่ภายในอาร์เคดคู่สี่ชั้นใจกลางเมืองได้รับการตั้งชื่อตาม Victor Emmanuel IIซึ่งเป็นกษัตริย์องค์แรกของราชอาณาจักรอิตาลี
Galleria Vittorio Emanuele II
อยู่ระหว่างLa Scala และมหาวิหารมิลาน
ที่อยู่ : Piazza del Duomo, 20123 Milano MI, อิตาลี
เริ่มก่อสร้าง : พ.ศ. 2408
เปิดตลอด 24 ชม
รูปแบบสถาปัตยกรรม : สถาปัตยกรรมฟื้นฟูเรอเนสซองส์
สถาปนิกGiuseppeMengoni,Pier Giulio Magistretti,Jakab Floh
โบสถ์Santa Maria delle Grazie
โบสถ์Santa Maria delle Grazie ภายในมีภาพ The Last Supper
โบสถ์Santa Maria delle Grazie
*The Last Supper หรือ “อาหารมื้อสุดท้าย” เป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังชิ้นสำคัญ ที่เลโอนาร์โด ดา วินชี ศิลปินเอกแห่งยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการตอนสูง(High Renaissance)วาดให้แก่ดยุกลูโดวีโกสฟอร์ซา ซึ่งเป็นผู้อุปถัมภ์ของเขา ภาพนี้วาดขึ้นตามเรื่องราวในพระคัมภีร์ไบ
เบิ้ล ถ่ายทอดเหตุการณ์ช่วงระหว่างอาหารค่ำมื้อสุดท้าย
ของพระเยซูกับเหล่าสาวก
*ซานตามารีอาเดลเลกราซีเอ (Santa Maria delle Grazie) เป็นโบสถ์และคอนแวนต์ของคณะดอมินิกัน ตั้งอยู่ที่เมืองมิลานในประเทศอิตาลี ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี ค.ศ. 1980 โบสถ์ซานตามารีอาเดลเลกราซีเอมีชื่อเสียงเพราะเป็นที่ตั้งของจิตรกรรมฝาผนัง “พระกระยาหารมื้อสุดท้าย” ที่เขียนโดยเลโอนาร์โด ดา วินชี.(“เลโอนาร์โด ดา วินชี เป็นชาวอิตาเลี่ยนที่เป็น
อัจฉริยบุคคลซึ่งมีความสามารถหลากหลาย ทั้งสถาปนิกแบบเรอเนซองส์ นักดนตรี นักกายวิภาคศาสตร์ นักประดิษฐ์ วิศวกร ประติมากร นักเรขาคณิต นักวาดภาพ นักดาราศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ และสถาปนิกคนสำคัญที่มีส่วนในการก่อสร้างมหาวิหาร
Duomo di Milano. ดา วินชี มีงานศิลปะที่มีชื่อเสียงหลายชิ้น เช่น พระกระยาหารมื้อสุดท้าย *The Last Supper และ โมนา ลิซ่า”)
พระกระยาหารมื้อสุดท้าย *The Last Supper
วิธีการเดินทาง ควรวางแผนซื้อบัตร
ใช้ Metro ในการเดินทางสามารถเลือกได้ทั้ง Metro 1 และ 2 โดย Metro 1 มีสถานีที่ใกล้ที่สุดให้เลือกลง 2 สถานี คือ Conciliazione และ Cadorna ส่วน Metro 2 สถานีที่ใกล้ที่สุดคือ Cadorna นอกจากนั้นยังสามารถเลือกใช้รถรางในการเดินทางโดยมีสาย 18 และ 24 ที่มาหยุดที่สถานี Corso Magenta –Santa Maria Delle Grazie.
ค่าเข้าชม: ในส่วนของโบสถ์นั้นสามารถเข้าชมได้ฟรี ไม่มีค่าบริการ จะมีค่าตั๋วเข้าชมสำหรับการเข้าชมภาพ The last Supper เท่านั้น โดยในส่วนของการเข้าชมภาพ The last supper มีค่าตั๋วเข้าชมราคาเต็มในราคา 6.50 ยูโร ราคาส่วนลด 3.25 ยูโรสำหรับนักเรียนนักศึกษาและฟรีสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี แต่หากจองล่วงหน้าจะมีค่าใช้จ่ายในการจองเพิ่มขึ้น 1.50 ยูโรทุกรายการ และหากต้องการ Audio guide สามารถรับเพิ่มได้ในราคา 3.50 ยูโร โดย Audio guide จะมี 8 ภาษาให้เลือกคืออิตาลี อังกฤษ ฝรั่งเศส สเปน รัสเซีย แมนดาริน ญี่ปุ่น และเยอรมัน การเข้าชมนั้นควบคุมให้อยู่ในเวลาเพียง 15 นาทีโดยประมาณเพื่อรักษาสภาพของภาพวาด และจำกัดการเข้าชมรอบละ 25 คนต่อวันเท่านั้น. การจองตั๋วล่วงหน้าจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก ปัจจุบันนี้ต้องจองผ่านออนไลน์ จำกัดได้1000คนต่อวัน
เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะของสถานที่ที่เก็บผลงานภาพวาดศิลปะขนาดใหญ่ชิ้นสำคัญทางประวัติศาสตร์อันมีชื่อเสียงโด่งดังอย่าง The Last Supper ซึ่งวาดขึ้นโดยศิลปินชื่อดังของโลก Leonardo da Vinci ซึ่งภาพวาดในสมัยศตวรรษที่ 15 นี้เป็นตัวดึงดูดนักท่องเที่ยว ตั้งอยู่ที่บริเวณห้องอาหารที่อยู่ด้านหลังของโบสถ์ ขนาดภาพวาดนั้นใหญ่มากโดยมีขนาด 180 นิ้ว x 350 นิ้ว ภาพนี้เกือบถูกระเบิดทำลายทิ้งแล้วในช่วงสงครามโลก แต่ด้วยลักษณะที่คล้ายถ้ำของโบสถ์แห่งนี้นั้นทำให้ภาพนี้รอดมาได้อย่างหวุดหวิดให้ผู้คนได้ชื่นชมกันจนถึงปัจจุบัน และเนื่องด้วยเป็นสถานที่เก็บภาพวาดอันสำคัญและตัวโบสถ์แบบคอนแวนต์ที่ถือเป็นตัวอย่างที่ดีของสถาปัตยกรรมในสมัยเรเนสซองส์นี้เองที่ทำให้โบสถ์แห่งนี้ได้รับเกียรติจากองค์กรยูเนสโกจัดให้เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ.1980
นอกจากภาพวาดพระกระยาหารค่ำมื้อสุดท้ายแล้ว ภายในโบสถ์ยังได้รับการจัดตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมอันสวยงาม มีการออกแบบที่วิจิตรบรรจงด้วยผลงานทางศิลปะที่ประดับประดาอยู่ตามหลังคาและผนังกำแพง ผนังซุ้มโค้งของทางเดินเป็นการออกแบบสไตล์กอธิคที่ตกแต่งด้วยลวดลายอันซับซ้อน มีจิตรกรรมฝาผนังเฟรสโกที่สวยงามโดดเด่นของ Gaudenzio Ferrari ให้ชมอยู่ที่ส่วนบริเวณของโบสถ์เล็กอีกด้วย ด้วยลักษณะของโบสถ์ที่คล้ายถ้ำ ทำให้ภายในโบสถ์นั้นอากาศเย็นตลอดทั้งปี จึงน่าเที่ยวทุกฤดูกาล.
โฆษณา