29 ส.ค. 2020 เวลา 06:03 • การศึกษา
อุทกดาบส-อาฬารดาบส
พระธรรมกายเป็นสิ่งที่ชาวโลกต่างกำลังแสวงหากัน เป็นความปรารถนาอันสูงสุดของทุกคน เมื่อใดที่มวลมนุษยชาติได้เข้าถึงพระธรรมกาย เมื่อนั้นทุกคนจะพบกับความเหมือนกันที่สมบูรณ์ที่สุด ทั้งรูปร่างหน้าตา คุณสมบัติ  ความบริสุทธิ์ และอานุภาพ จะพบกับกายมาตรฐานที่เป็นสากลจริงๆ เป็นกายที่สวยงาม ประกอบด้วยลักษณะมหาบุรุษ ครบถ้วนทุกประการเหมือนกันหมด เหมือนเป็นพิมพ์เดียวกันเลย มีความเสมอภาคที่แท้จริง เพราะเป็นวงศ์แห่งพระอริยเจ้า ที่ไม่มีการแบ่งแยกเชื้อชาติ ศาสนา และเผ่าพันธุ์ แต่จะมีดวงใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทั้งความคิด คำพูด และการกระทำจะบริสุทธิ์เหมือนๆ กัน จะไม่มีความรังเกียจเดียดฉันท์ หรือเบียดเบียนแก่งแย่งชิงดีกันจะมีแต่ความรักเเละความปรารถนาดีต่อกันเสมอ
มีวาระพระบาลีที่ปรากฏใน ธัมมหทยวิภังค์ ว่า
 
     "เหล่าสัตว์ที่มีอำนาจแห่งบุญส่งเสริม ไปแล้วสู่กามภพ และรูปภพ หรือแม้ไปสู่ภวัคคพรหม ย่อมกลับสู่ทุคติอีกได้ เหล่าสัตว์มีอายุยืนถึงเพียงนั้น ก็ยังจุติเพราะสิ้นอายุ ภพไหนๆ ชื่อว่า เที่ยงไม่มี สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ได้ตรัสไว้อย่างนี้ เพราะฉะนั้น เหล่านักปราชญ์ผู้มีปัญญาเฉลียวฉลาด คำนึงถึงความจริงข้อนี้ จึงเจริญมรรคอันอุดมเพื่อพ้นจากชรามรณะ ครั้นเจริญมรรคอันบริสุทธิ์สะอาด ซึ่งมีปกติยังสัตว์ให้หยั่งถึงพระนิพพานแล้ว ย่อมเป็นผู้ไม่มีอาสวะ ปรินิพพาน"
หลวงพ่อได้อธิบายถึงพรหมภูมิและอรูปพรหม พร้อมกับสภาวธรรมของรูปพรหมตั้งแต่พรหมโลกชั้นที่ ๑ ซึ่งเป็นพรหมโลกชั้นล่างสุดคือ พรหมปาริสัชชาภูมิ จนถึงพรหมโลกชั้นที่ ๑๖ และก็อรูปพรหมอีก ๔ ชั้น ถึงภวัคคพรหม ซึ่งเป็นอรูปภพชั้นสูงสุดยอด คือ เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ เพื่อให้พวกเราได้เห็นภาพรวมของภพสามที่มีทั้งอบายและสุคติ ทั้งมนุษย์ สวรรค์ รูปพรหม และอรูปพรหม จากพุทธพจน์ที่ยกมาข้างต้น ก็พอเป็นเครื่องยืนยันให้รู้ว่า ภพสามเหล่านี้ คือกามภพ รูปภพ และอรูปภพ ต่างตกอยู่ในกฏของไตรลักษณ์ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะมีอายุขัยยืนยาวเป็นกัปๆ หรือเป็นหลายๆ ล้านมหากัปก็ตาม สุดท้ายก็ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก
มีที่แห่งเดียวเท่านั้น ที่หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด เสวยสุขล้วนๆ ไม่มีทุกข์เจือปน นั่นคืออายตนนิพพาน เพราะที่ใดไม่มีกิเลส ที่นั้นย่อมเป็นสภาวะที่ไร้จากความทุกข์ เพราะความทุกข์เกิดขึ้นจากกิเลสตัณหา ซึ่งกิเลสมีทั้งหยาบไล่เรื่อยไปจนถึงกิเลสที่ละเอียด ตั้งแต่กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ในภวัคคพรหมซึ่งเป็นอรูปภพชั้นเนวสัญญานาสัญญายตนะ แม้จะมีกิเลสเจือจางมากๆ ก็ยังถือว่ามีวิภวตัณหาปนเป็นอยู่ การจะหลุดจากวัฏจักรนี้ไปได้ต้องอาศัยความรู้อันบริสุทธิ์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ในเรื่องที่พรหมทั้งหลายมีอายุยืนยาวนี้จะว่าเป็นการดีนั้นก็ไม่ผิด เพราะมีโอกาสได้เสวยสุขอันประณีต สถิตอยู่ในพรหมโลกเป็นเวลายาวนาน สมกับความอุตสาหะพยายามที่ได้สร้างสมกุศลกรรมเอาไว้ แต่ในบางกรณี ความเป็นผู้มีอายุยืนยาวสถิตอยู่ในพรหมโลกนานๆ ก็เป็นเหตุให้พระพรหมผู้วิเศษบางท่านเกิดความประมาทในชีวิต เกิดความเข้าใจผิดคิดว่าตัวเองเป็นอมตะ มีความคิดไขว้เขวเบี่ยงเบนไปจากทางพระนิพพาน ดังเช่นท้าวพกามหาพรหม ที่หลวงพ่อเคยนำมาเล่าให้ฟังแล้ว นอกจากนั้นการเป็นพรหมเสวยสุขอยู่นานๆ นี้ ยังเป็นการยืดวัฏสงสารให้ยาวนานออกไปอีกด้วย ยิ่งเป็นองค์พรหมในพรหมโลกชั้นสูง ซึ่งมีอายุยืนนานนับเป็นหมื่นๆ มหากัปด้วยแล้ว นอกจากจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ตกอยู่ในคุกแห่งวัฏสงสารเป็นเวลานานแล้ว ยังเป็นผู้พลาดโอกาสที่จะได้ดื่มอมตรส คือ พระนิพพาน ในกาลที่ตนควรจะได้อีกด้วย
* เหมือนดังท่านอาฬารดาบสกาลามโคตร และอุทกดาบสรามบุตร ผู้เคยเป็นครูของพระผู้มีพระภาคเจ้าของเรา ในสมัยที่พระพุทธองค์กำลังแสวงหาโมกขธรรม การที่ท่านอาจารย์ทั้งสองนี้ได้ไปบังเกิดในอรูปภพ ทำให้พลาดโอกาสที่จะได้ฟังพระสัทธรรมอันประเสริฐจากพระพุทธองค์ ต้องไปเสวยสุขเป็นเวลายาวนานเป็นหมื่นๆ มหากัป จากนั้นก็ต้องกลับมาเกิดใหม่เพื่อแสวงหาทางพ้นทุกข์ โดยไม่รู้ว่า เมื่อไรจึงจะได้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป
เรื่องของท่านจึงเป็นที่น่าเสียดายว่า เมื่อพระบรมโพธิสัตว์ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว หลังจากได้รับการอาราธนาจากท้าวสหัมบดีพรหม พระองค์ทรงดำริที่จะโปรดเวไนยสัตว์ให้ได้รับรสอมตธรรมเห็นแจ้งในพระนิพพานตามพระองค์ ทรงดำริว่า “ตถาคตจักไปแสดงพระสัทธรรมโปรดผู้ใดก่อน ใครหนอจะมีปัญญาหยั่งรู้โลกุตตรธรรม อันแสนจะสุขุมลุ่มลึกได้โดยฉับพลัน”
พระพุทธองค์ทรงพิจารณาเห็นว่า “ท่านอาฬารดาบสกาลามโคตรผู้เคยเป็นครู เป็นบัณฑิตชาติ ทั้งมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดเฉียบแหลม เป็นนักปราชญ์มีธุลีคือกิเลสเบาบาง ควรที่จะไปแสดงธรรมโปรดดาบสนั้นก่อน”  แต่เมื่อพระองค์ทรงสอดส่องด้วยธรรมจักษุ ก็ทรงเห็นแจ้งประจักษ์ว่า “ท่านอาจารย์ได้ละโลกไปได้ ๗ วันแล้ว บัดนี้ไปอุบัติเป็นอรูปพรหมผู้วิเศษอยู่ที่อากิญจัญญายตนภูมิ คือ อรูปพรหมโลกชั้นที่ ๓ ซึ่งมีอายุยืนนานถึง ๖๐,๐๐๐ มหากัป กำลังเสวยฌานสุขอยู่ในที่นั่นเสียแล้ว”
ครั้นทรงสอดส่องด้วยธรรมจักษุญาณอย่างแจ้งประจักษ์ชัดเช่นนี้ จึงทรงมีพุทธดำริต่อไปอีกว่า “น่าเสียดายท่านอาฬารดาบสกาลามโคตร ถ้ามีชีวิตคอยท่าตถาคตอยู่อีกสัก ๗ วัน ได้สดับพระธรรมเทศนา ก็จะพลันบรรลุธรรมาภิสมัย” จากนั้น พระองค์ทรงตรวจดูด้วยพุทธจักษุต่อไปว่า มีใครหนอที่สามารถตรัสรู้มรรคผลได้โดยฉับพลัน ทรงดำริถึงท่านอุทกดาบสรามบุตรว่า “ครูของตถาคตอีกผู้หนึ่ง ซึ่งมีนามว่าอุทกดาบสรามบุตร ก็เป็นนักปราชญ์ชาติมหาเมธาวี มีอวิชชาเบาบาง ควรที่ตถาคตจะไปแสดงพระสัทธรรมเทศนาโปรดดาบสนั้นก่อน”
ขณะนั้นเอง เทวดาองค์หนึ่งมากราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้วิสุทธิ์ บัดนี้ดาบสผู้เคยเป็นครูของพระองค์ ดับขันธ์ไปเสียแล้ว เมื่อเวลาพลบค่ำนี้เอง” พระองค์สดับดังนั้น จึงทรงส่องพระญาณไป ก็ทรงเห็นแจ้งประจักษ์ว่า  “ท่านอุทกดาบสรามบุตรนั้น ได้ละโลกในเวลาพลบค่ำตามคำบอกของเทวดา และบัดนี้ได้ขึ้นไปอุบัติเป็นอรูปพรหมผู้วิเศษที่เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ คืออรูปพรหมชั้นที่ ๔  มีอายุยืนถึง ๘๔,๐๐๐ มหากัป กำลังสถิตเสวยสุขอยู่ในนั้น และเข้าใจว่านี่คือที่สุดของการเวียนว่ายตายเกิดแล้ว”
ครั้นทรงตรวจดูด้วยพุทธจักษุ และเห็นเช่นนั้นแล้ว ก็ทรงมีพุทธดำริว่า
“ฉิบหายใหญ่แล้ว น่าเสียดายจริงหนอ ท่านอุทกดาบสรามบุตรผู้เป็นครูของตถาคตนี้ ถ้ามีชีวิตคอยท่าตถาคตอยู่อีกสักหน่อย ได้มีโอกาสฟังพระธรรมเทศนา ก็จะพลันบรรลุธรรมาภิสมัย มีพระนิพพานเป็นที่ไปอย่างแน่นอน”
บุรพาจารย์ทั้งสองท่านนี้ นับว่าเป็นบุคคลผู้พลาดโอกาสอย่างใหญ่หลวง แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จอุบัติขึ้นในโลกแล้ว แต่ท่านก็มาละสังขารไปเสียก่อน ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้หมดกิเลส เพราะเหตุที่อรูปฌานไม่เป็นนิยยานิกธรรม คือไม่เป็นธรรมสามารถนำสัตว์ออกจากทุกข์ในวัฏสงสารได้ จึงยังเป็นชนภายนอกพระพุทธศาสนา และเสื่อมสูญจากอุดมประโยชน์คือมรรคผลนิพพาน เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทรงรำพึงดังที่กล่าวมานั่นแหละ
เราจะเห็นว่า มีมนุษยชาติมากมายที่ปรารถนาจะหลุดพ้นจากความทุกข์ในวัฏฏะ ได้เพียรพยายามปรารภความเพียรเพื่อที่จะทำอาสวกิเลสให้หลุดร่อนออกจากใจ เริ่มตั้งแต่สละชีวิตทางโลก ออกบวชเป็นดาบส นักพรต ฤๅษี แม้กระทั่งเป็นนักบวชในพระพุทธศาสนา แต่ขาดโอกาส ขาดกัลยาณมิตรผู้ชี้ทางมรรคผลนิพพาน ส่วนใหญ่รู้จักทางไปสู่อบาย น้อยคนรู้จักทางไปสู่สวรรค์หรือทางไปพรหมโลก การเดินทางในสังสารวัฏจึงยังคงดำเนินต่อไป
เพราะฉะนั้น เมื่อทุกท่านรู้จักเส้นทางสายกลางซึ่งเป็นเอกายนมรรค เส้นทางเอกสายเดียวที่มุ่งตรงต่อพระนิพพานแล้ว ก็อย่าให้โอกาสในภพชาตินี้ของเราผ่านเลยไป ต้องรีบทำความเพียร ให้เข้าถึงพระธรรมกายภายในให้ได้ ใจของเราจะได้อยู่กับพระนิพพานตลอดไป เพราะแม้ว่าเราจะรู้จักศูนย์กลางกายซึ่งเป็นเส้นทางไปสู่อายตนนิพพานแล้วก็ตาม แต่ถ้าไม่ขยันลงมือปฏิบัติเราก็เข้าไม่ถึง ดังนั้นให้ขยันนั่งธรรมะ และทุ่มเทสร้างบารมีเรื่อยไป จนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทางคือที่สุดแห่งธรรมกันทุกคน
พระธรรมเทศนาโดย พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
* ภูมิวิลาสินี (พระพรหม โมลี)
โฆษณา