29 ส.ค. 2020 เวลา 23:00 • การศึกษา
กาฬเทวิลดาบส
ใจของมนุษย์ที่ได้รับการกลั่นให้ใสสะอาดบริสุทธิ์หยุดนิ่งเป็นประจำทุกวัน จะกลายเป็นธาตุสำเร็จ คือนึกคิดสิ่งใดก็สำเร็จสมปรารถนาทุกอย่าง อยากรู้เห็นอะไรก็ทำได้หมด เหมือนดังพระบรมศาสดาของเรา ผู้ฝึกฝนอบรมจิตจนเป็นโลกวิทู ผู้รู้แจ้งโลกทั้งปวง ทรงรู้ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต แล้วทรงอาศัยมหากรุณาอันไม่มีประมาณนั้น นำเรื่องราวความเป็นจริงของโลกและชีวิตที่ถูกปกปิดมายาวนาน จนดูเหมือนว่าจะกลายเป็นเรื่องลี้ลับมาเปิดเผยอย่างแจ่มแจ้งชัดเจน เหมือนจุดประทีปท่ามกลางความมืดมิดในจิตใจของสรรพสัตว์ทั้งหลาย ให้มองเห็นหนทางไปสู่สวรรค์และนิพพานตามพระองค์ไปด้วย การฝึกฝนใจให้ใสบริสุทธิ์ จึงเป็นสิ่งที่ชาวโลกทั้งหลายควรให้ความสำคัญ และลงมือประพฤติปฏิบัติกันอย่างจริงจัง เพราะการทำใจหยุดนิ่งคืองานที่แท้จริงของมวลมนุษยชาติ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน อรหันตสูตร ว่า
 
     "ยาวตา ภิกฺขเว สตฺตาวาสา ยาวตา ภวคฺคํ เอเต อคฺคา เอเต เสฏฺฐา โลกสฺมึ ยทิทํ อรหนฺโต
 
     ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตตาวาสภูมิ และภวัคคพรหมมีประมาณเพียงไร  พระอรหันต์ทั้งหลายเป็นผู้เลิศ เป็นผู้ประเสริฐสุดในโลก ยิ่งกว่าสัตตาวาสและภวัคคพรหมเหล่านั้น"
* สัตตาวาส หมายถึง ภพเป็นที่อยู่ของหมู่สัตว์ประเภทต่างๆ ซึ่งยังข้องอยู่ในภพทั้งสาม มีการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพภูมิต่างๆ ตามกำลังบุญและบาปที่ตนเองได้สั่งสมเอาไว้ ท่านจำแนกไว้ ๙ ประเภทใหญ่ๆ ด้วยกัน หลวงพ่อจะนำความรู้เกี่ยวกับการจำแนกหมู่สัตว์ ตามหมวดหมู่ที่เรียกว่าสัตตาวาส มาเล่าให้พวกเราได้ศึกษากันไว้
หมู่สัตว์ประเภทที่ ๑ คือ หมู่สัตว์ผู้มีกายต่างกัน มีสัญญาคือความรู้สึกนึกคิดต่างกัน เช่น พวกมนุษย์ เปรต เทวดาบางพวก 
 
     ประเภทที่ ๒ สัตว์จำพวกหนึ่ง แม้รูปกายจะแตกต่างกัน แต่มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่น พวกเทพผู้นับเนื่องในพวกพรหมซึ่งเกิดในภูมิปฐมฌานเป็นต้น
 
     ประเภทที่ ๓ เป็นหมู่สัตว์ที่มีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาต่างกัน เช่น พวกอาภัสสราพรหมเป็นต้น
 
     ประเภทที่ ๔ คือหมู่สัตว์ที่มีกายอย่างเดียวกัน และมีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่นพวกเทพเหล่าสุภกิณหา แต่มีความประณีตไม่เหมือนกัน
 
     ประเภทที่ ๕ คือหมู่สัตว์ที่ไม่มีสัญญา ไม่รู้สึกเสวยอารมณ์ เช่น พวกเทพเหล่าอสัญญีสัตว์ ซึ่งได้บรรลุจตุตถฌาน
 
     ประเภทที่ ๖ เป็นหมู่สัตว์จำพวกล่วงรูปสัญญา เข้าถึงอากาสานัญจายตนภพ เพราะในขณะที่ท่านบำเพ็ญกัมมัฏฐานอยู่นั้น ท่านสามารถทำปฏิฆสัญญาให้ดับไปได้ และน้อมเอาอากาสกสิณเป็นอารมณ์ว่า อากาศหาที่สุดมิได้ เมื่อตายไปจึงมาอุบัติในอรูปพรหมแห่งนี้
 
     ประเภทที่ ๗ คือหมู่สัตว์ที่ก้าวล่วงอากาสานัญจายตนะ แล้วเพ่งวิญญาณที่หาที่สุดมิได้ จนได้เข้าถึงวิญญาณัญจายตนะ
 
     ประเภทที่ ๘ หมู่สัตว์พวกหนึ่ง ที่ก้าวล่วงวิญญาณัญจายตนะได้แล้ว เข้าถึงอากิญจัญญายตนะ
 
     และประเภทสุดท้าย ประเภทที่ ๙ คือ หมู่สัตว์จำพวกหนึ่ง ก้าวล่วงอากิญจัญญายตนะได้แล้ว เข้าถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะ ซึ่งเป็นอรูปฌานที่ ๔ เป็นสถานที่อยู่ของหมู่สัตว์ซึ่งละเอียดที่สุด และประณีตที่สุดในภพสาม  แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่พ้นจากกฏของไตรลักษณ์ เพราะยังไม่เข้าถึงพระนิพพาน
สัตตาวาสทั้ง ๙ ประเภทนี้ยังตกอยู่ในไตรลักษณ์ มีความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มีแต่อายตนนิพพานเท่านั้น ที่หลุดพ้นจากวงจรแห่งสังสารวัฏเหล่านี้ไปได้ เพราะฉะนั้น พระอรหันต์ทั้งหลายผู้หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ จึงเป็นผู้เลิศกว่าบรรดาหมู่สัตว์ที่เกิดอยู่ในสัตตาวาสประเภทต่างๆ รวมไปถึงภวัคคพรหม เมื่อกล่าวถึงภวัคคพรหมหรือเนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ หลวงพ่อก็มีตัวอย่างของนักบวชนอกศาสนาอีกท่านหนึ่งผู้มีจิตตานุภาพมาก มาเล่าสู่พวกเราให้ได้ศึกษากันไว้ บุคคลท่านนี้มีใจประเสริฐ แต่น่าเสียดายที่พลาดโอกาสที่จะได้บรรลุมรรคผลนิพพาน
เรื่องของท่านมีอยู่ว่า ในวันที่พระบรมโพธิสัตว์เจ้าประสูติจากครรภ์ของพุทธมารดา เหล่าเทวดาในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ซึ่งมีพระอินทร์เป็นประธาน ต่างพากันยินดีปรีดา ชวนกันเล่นมหรสพ และได้พากันสนทนาปราศัยด้วยความเบิกบานว่า
“พระราชบุตรของพระเจ้าสุทโทธนะมหาราชแห่งกรุงกบิลพัสดุ์ ซึ่งประสูติในวันนี้ จะประทับนั่งเหนือรัตนบัลลังก์ควงไม้พระศรีมหาโพธิ์ จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญูเจ้า และจะได้แสดงพระธรรมเทศนาโปรดสรรพสัตว์  ให้รู้ตามพระองค์ไปด้วย เพื่อนเอ๋ย พวกเราทั้งหลายจักได้เห็นพระพุทธเจ้า  และจะได้ฟังพระธรรมเทศนา” เมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังจะได้โอกาสแห่งการฟังธรรม ต่างพากันสาธุการ และโบกทิพยภูษาแทนธงชัย เอิกเกริกไปทั่วทั้งเทวโลก
ในสมัยนั้น ยังมีชฎิลดาบสท่านหนึ่งมีนามว่า กาฬเทวิลดาบส ได้สำเร็จอภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ มีฤทธิ์มาก ตามปกติ ท่านจะเหาะขึ้นไปสู่เทวโลกแล้วสถิตพักกลางวันที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ วันนั้น ท่านได้ยินเสียงสาธุการของเหล่าทวยเทพทั้งหลาย จึงเข้าไปไต่ถามเทวดาดู ครั้นรู้ว่า พระมหาบุรุษประสูติจากพระครรภ์ของพระชนนี และต่อไปจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ท่านมหาฤๅษีได้ฟังเช่นนั้น ก็พลอยปีติดีใจไปด้วย จึงรีบเหาะทะยานลงมาจากดาวดึงส์ บรรลุถึงราชนิเวศน์ในเวลาเย็น แล้วถวายพระพรถามว่า
“ได้ยินข่าวว่า พระราชบุตรของบรมบพิตรประสูติแล้วหรือ อาตมาจะขอชมบารมีพระราชกุมาร ขอถวายพระพร” พระเจ้าสุทโธทนะมหาราช จึงรับสั่งให้เชิญพระราชโอรสทรงอาภรณ์ แล้วนำมาให้น้อมพระองค์ลง เพื่อนมัสการท่านกาฬเทวิลดาบสผู้ทรงฌานอภิญญา มีฤทธิ์มีเดชแก่กล้าเหนือมนุษย์สามัญ
ขณะนั้นเอง สิ่งที่อัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้น พระยุคลบาทของพระราชกุมารกลับไปตั้งอยู่บนชฎาของท่านกาฬเทวิลมหาฤๅษี ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะบุญญานุภาพของพระโพธิสัตว์ผู้เกิดในปัจฉิมชาติ ไม่มีใครที่สมควรจะให้พระองค์ไปอภิวาท ถ้าพระบรมโพธิสัตว์น้อมเศียรลงเพื่อกราบไหว้บุคคลใด ศีรษะของบุคคลนั้น ก็จะแตกออกเป็น ๗ เสี่ยง เมื่อท่านดาบสเห็นเหตุการณ์ดังนั้น ก็สะดุ้ง และลุกขึ้นจากอาสนะคุกเข่าลงกระทำอัญชลีประคองรับเอาพระบาทของพระกุมาร เมื่อพระราชบิดาได้ทอดพระเนตรเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น ก็น้อมเศียรลงนอบน้อมพระกุมารด้วยความปลื้มปีติตามกิริยาที่ท่านมหาฤๅษีกระทำกับพระกุมาร
ท่านกาฬเทวิลดาบสเป็นผู้มีความเมตตาอย่างไม่มีประมาณและมีฌานแก่กล้า ท่านสามารถระลึกชาติได้ถึง ๘๐ มหากัป คือ ระลึกชาติในอดีตได้ ๔๐ มหากัป และระลึกชาติในอนาคตได้ ๔๐ มหากัป ฉะนั้น เมื่อท่านมหาฤๅษีพิจารณาลักษณะของพระโพธิสัตว์เจ้าแล้ว ก็รู้ว่าจักได้ตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้าอย่างแน่นอน จึงดำริว่า“พระราชกุมารนี้สมบูรณ์ด้วยมหาปุริสลักษณะ เป็นอัจฉริยมนุษย์ จักได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน” แล้วท่านมหาฤๅษีผู้มีฤทธิ์ก็แย้มโอษฐ์ด้วยความชื่นชมปีติยินดี แต่เมื่อพิจารณาด้วยทิพยจักษุ ก็เห็นแจ้งประจักษ์ชัดว่า
ตัวท่านเองนี้มีบุญน้อยจะตายเสียก่อน มิทันจะได้อยู่เห็นพระราชกุมารนี้ ผู้จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้า เพราะอายุขัยของท่านจะสิ้นเสียก่อน และรู้คติของตัวว่าจะขึ้นไปอุบัติเป็นอรูปพรหมอยู่ในอรูปภพ และถึงแม้จะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้สัก ๑๐๐ พระองค์ ๑,๐๐๐ พระองค์ ท่านก็ไม่สามารถลงมาเกิดสร้างบารมีได้ การที่ท่านรู้ ท่านเข้าใจทุกอย่าง แต่ไม่มีโอกาสอยู่สร้างบารมีกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ทันได้อยู่ฟังธรรมอันประเสริฐจากพระพุทธองค์ ได้ชื่อว่าเป็นผู้เสื่อมจากอุดมลาภ คือ มรรคผลและอมตมหานิพพานอันประเสริฐอย่างน่าเสียดายยิ่งนัก
คิดเช่นนี้แล้ว ท่านมหาฤาษีก็ร้องไห้ด้วยความเสียดายอย่างยิ่ง เมื่อพระราชาและเหล่าราชบุรุษเห็นอาการปลาบปลื้มปนร้องไห้ของท่านมหาฤๅษี ต่างเกิดความสงสัย ครั้นท่านมหาฤๅษีเมตตาเฉลยความสงสัยของมหาชนที่เข้ามาห้อมล้อมให้ได้ประจักษ์แจ้งแล้ว ก็อำลาจากไปด้วยความปีติพร้อมกับความเสียดายที่ท่านมีอายุขัยไม่ถึง
นี่เป็นตัวอย่างของผู้มีอานุภาพ แต่พลาดโอกาสที่จะได้ดื่มรสพระธรรมอันยอดเยี่ยม เพราะฉะนั้น เมื่อพวกเราได้ยินได้ฟังอย่างนี้แล้ว ขอให้ตระหนักกันให้ดีว่า เราสร้างบุญแล้วควรจะอธิษฐานจิตให้ดี ให้ไปบังเกิดในเทวโลก อย่าได้ไปบังเกิดในรูปภพหรืออรูปภพ เพราะจะทำให้เสียโอกาสในการสร้างบารมี เมื่อตัวเราได้โอกาสอันประเสริฐนี้แล้ว ต้องเร่งสร้างหนทางไปสู่พระนิพพาน โดยการหยุดใจไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เหลือแต่ลงมือปฏิบัติกันให้เต็มที่เท่านั้น
พระธรรมเทศนาโดย พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
* มก. เล่ม ๑๖ หน้า ๒๔๘
โฆษณา