31 ส.ค. 2020 เวลา 02:36 • นิยาย เรื่องสั้น
วัยรุ่นคะนองกรุง ตอนที่ ๕
#แด่คุณครูด้วยคมดาบ
สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าต่อตาเหล่าไทยและชาวบ้านร้านช่องที่สัญจรผ่านไปมา มันไม่ผิดอะไรกับภาพในความฝัน แต่เป็นฝันร้ายในคืนอุบาทว์! วัยรุ่นอันตรายซึ่งล้วนปราศจากความยับยั้งชั่งใจ ต่างถาโถมเข้าฟาดฟันทุบถองทิ่มแทงกันด้วยเครื่องทุ่นแรงประดามีอย่างไม่คำนึงถึงหน้าอินทร์หน้าพรหม ไม่คำนึงถึงเป็นตาย!
เสียงมีดไม้โลหะกระทบกันเพราะการเหวี่ยงสกัดปิดป้องตอบโต้ เสียงอาวุธกระหน่ำเข้าเป้าเสียงสบถด่ากราดเกรี้ยว เสียงโอดโอยและเสียงฝีเท้าสับสน ดังระคนปนเปกันฟังไม่ได้ศัพท์! มันเหมือนการสัประยุทธ์ในสมรภูมิยุคเก่าที่ยังใช้หอกดาบแหลนหลาวเข้าเข่นฆ่าประหัตประหาร ผู้คนที่รายล้อมมุงดูอย่างตื่นระทึกประสานเสียงร้องหวีดว้ายเอะอะเจี้ยวจ๊าวกันแซ่แซ่ว ท่ามกลางความชุลมุมวุ่นวายแทบไม่รู้ใครเป็นใครในบรรยากาศร้อนคลั่ง #ธรรมเจมส์ดีน นักรบฝ่ายตรอกทวายซึ่งมือขวากระชับดาบเปลือยคมขาววับ กวัดแกว่งอาวุธรุกไล่คู่ต่อสู้อย่างไม่ลดละ
ฝ่ายตรงข้ามคือ #ตุ๋ยตลาดแขก ซึ่งไม่ค่อยจะเอาใจใส่อวัยวะที่ใช้เดิน ปล่อยให้มีกลิ่นไม่สะอาดจนเพื่อนๆ ขนานนามว่า ตุ๋ย ตีนเหม็น ในมือหมอมีท่อนไม้ระแนง ซึ่งยาวกว่าดาบตั้งพะเรอ ฝ่ายแรกจึงทำอะไรไม่ถนัด เนื่องจากถูกสกัดด้วยของที่ยาวกว่าจนเข้าไม่ติด มันทำเอามือดาบจากตรอกทวายหงุดหงิดเดือดดาลพล่านพลุ่งเป็นที่สุด! และก็ตัดสินใจกระหน่ำดาบลงบนไม้ที่ฉวัดเฉวียนอยู่ตรงหน้าเต็มแรง!
ฉับ...!!
ไม้ระแนงขาดกระเด็นไปร่วมคืบ! แต่ขาดในลักษณะเฉียงปลายแหลมเฉียบ! พริบตาติดต่อกัน ตุ๋ย ตีนเหม็น ก็ตวัดไม้ท่อนนั้นหวดลงบนข้อมือคู่ต่อสู้อย่างจัง!
ผัวะ...!!
"โอ๊วว์...!!"
ธรรม เจมส์ดีน ร้องลั่น ดาบคมกริบหลุดมือปลิวหวือไปทางหนึ่ง ทว่าแม้มือจะไร้อาวุธ หัวใจที่เดือดคลั่งก็ยังไม่ลดราความเหี้ยมหาญดุดัน แทนที่จะหลบเลี่ยงถอยหนีไปตั้งหลักหรืออะไรทำนองนั้น เขากลับสปริงตัวโดดถีบปรปักษ์อย่างบ้าระห่ำ แน่ละ ตุ๋ย ตีนเหม็น ซึ่งยังมีอาวุธติดมืออย่างไม่สะทกสะท้านหวาดไหว เขาเสือกไม้ยาวพุ่งสวนเข้ารับทันควัน!
ฉึก...!!!
"โอ๊ยย์...!!!"
ธรรม เจมส์ดีน หลุดเสียงร้องเจ็บปวดพร้อมทั้งสะดุ้งขึ้นทั้งตัว เมื่อปลายแหลมเฉียบน่าพรั่นของไม้ระแนง เสียบช้อนเข้าตรงโคนขาขวาแทบจมเงี่ยง! และพอไม้ถูกกระชากกลับ เลือดข้นคลั่กก็ทะลักทะลายราวท่อแตก!
นักดาบตรอกทวายผงะหงายล้มตึก และรีบพลอกตัวกลิ้งหลบออกห่างอย่างไม่รั้งรอ ขณะเดียวกัน หล่อ ปังตอ ซึ่งควงมีดสับเล่มโตตะลุยไล่คู่อริซะกระเจิดกระเจิงรอหน้าไม่ติดก็หันมาเห็นเข้าพอดี เขาเงือดเงื้ออาวุธประจำกายรี่เข้ามาอย่างกระเหี้ยนกระหือ ตุ๋ยขยับท่าจะตั้งรับ แต่ก็ถูกผลักไหล่จนเซถลาพร้อมกับเสียงเหี้ยมเฉียบแผดเกรี้ยวขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน!
"ไอ้ตุ๋ยถอยไป ! ข้าเอง !!"
ขาดคำ เจ้าของเสียงสะอึกเข้ามาปักหลักจังก้าแทนที่ในฉับพลัน! ไม่ใช่ใครที่ไหน! ไอ้รุ่นจอมซ่า ต้นตำรับกรี๊ดแรกของประเทศไทย ปุ๊วัดมอญ!! เสือร้ายแห่งย่านสะพานขาว กับสิงห์ห้าวจากวงเวียนเล็ก เปรียบไปก็เหมือนพังพอนกับงูเห่า ไม่ประสบพบพานก็แล้วไป แต่หากเจอะเจอกันในเส้นทางที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง และไม่มีใครกีดขวางถ่วงดึงก็เป็นอันว่าเชื่อขนมอากู๋กินได้ ฟัดกันฝุ่นตลบแน่นอน!
จึงไม่แปลกอันใดที่พอเห็นเต็มตาว่าคนเสนอหน้าออกมาชนเป็น ปุ๊ วัดมอญ หล่อก็ถลันเข้าใส่โดยไม่ลังเลแม้แต่เสี้ยววินาที ปังตอในมือขวากำกระชับมั่น พร้อมสับได้ทุกกระพริบตา! ส่วนจอมซ่าจากฝั่งธนฯ ก็ขบเขี้ยวเคี้ยวกรามปักหลักรออย่างไม่พรั่นพรึง ภาพของเจตน์ หลังวังเพื่อนคู่หูที่ไดนไอ้หน้าจืดฟันเลือดสาดไปหยกๆ ทำเอาอกเขาแทบระเบิดด้วยความแค้น และมุ่งมั่นที่จะ #เอาคืน ให้สะสาหัวใจ!
พอฝ่ายตรงข้ามโลดเข้ามาได้ระยะเหมาะ ปุ๊ วัดมอญ ก็อาศัยความยาวกว่าของเครื่องทุ่นแรงเหวี่ยงไม้ระแนงดุ้นเขื่องฟาดสกัดเต็มเหนี่ยว!
ผัวะ...!!
เหลี่ยมไม้ด้านที่ไม่มีตะปูโผล่ ทุบรวบต้นแขนและไหล่ซ้ายที่หล่อยกขึ้นปกปิดป้องส่วนบนดังสนั่น! เจ้าตัวถึงกับผงะเชถลาไปสองสามก้าวก่อนจะโผนกลับเข้ามาอย่างไม่ย่นยอ แต่ไอ้รุ่นซ่าจอมกรี๊ดก็ไม่เปิดโอกาสให้เข้าถึงตัว ไม้ที่ตวัดเลยมาทางซ้ายถูกสะบัดฟาดกลับอย่างฉับไว! คราวนี้เป็นเหลี่ยมอีกด้านหนึ่งซึ่งมีตะปูโผล่สองเงี่ยงแหลมเปี๊ยบ!
ปึ้ง...!!
"อักก์...!!"
มันกระหน่ำเข้าสีข้างเต็มดอกเต็มดวง! หล่อ ปังตอ สำลักเสียงหลุดออกมาสั้นๆ กระตุกสะดุ้งขึ้นสุดตัวแล้วแยกเขี้ยวเบี้ยวปากทั้งด้วยความจุกเสียดและเจ็บปวด ก่อนที่ร่างสันทัดจะเอียงกระเท่เร่เป๋ออกซ้าย แน่ละ เขาเจอตะปูเข้าจังเบอร์! และแม้ทั้งสองดอกจะไม่ยาวถึงกับทะลุเข้าไปภายใน มัมก็สำแดงพิษสงสร้างความเจ็บปวดได้ไม่น้อยเลย ยิ่งไปกว่านั้นเสื้อขาวบริเวณสีข้างขวายังมีเลือดเปรอะแดงฉาน! และเลือดนั้นเองที่ทำให้หนุ่มแสบจากฝั่งธนฯ นึกขึ้นได้ว่าหัวไม้มีตะปู
ดังนั้น พอคู่อริสวมหัวใจเสือทะยานเข้ามาอีก เขาก็พลิกเหลี่ยมที่มีเขี้ยวเหล็กสองเงี่ยงสกัดอย่างไม่ปราณีปราศรัย!
บึ้ก...!! ผัวะ...!!
เบิ้ลเข้าเป้าทั้งสีข้างและต้นแขนขวาสองทีซ้อน เลือดเปรอะเช่นเคย! เสือร้ายแห่งย่านสะพานขาวทำตัวโก่งหน้าเบี้ยวเหยเก แต่ก็ไม่ยอมถอดใจถอยหนี ทั้งๆ ที่เห็นชัดว่าเจ็บและจุกเหลือรับ มีดสับเล่มโตก็ยังกำติดมือมั่นคง! เขาเดินหน้าลุยทื่อเข้าใส่ ยอมลงทุนรับไม้ติดตะปูชนิดที่ว่าตีได้ตีไปขอให้ได้หวดคืนซักฉัวะก็แล้วกัน! เจอลูกดื้อเข้าแบบนี้ ปุ๊ วัดมอญ ก็ต้องถอยร่นและเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่ เพื่อความปลอดภัยเขาต้องตีให้มรดหลุดมือไอ้หน้าจืดซะก่อน เร็วเท่าใจคิด หัวโจกวัยรุ่นฝั่งธนฯ เงื้อไม้หวดลงไปเต็มแรงโดยหมายเอาปังตอเป็นเป้า
โผะ...!!
แม่นยังกะจับวาง ผลที่ได้กลับตาลปัตรเพราะไม้ดุ้นเขื่องหักสะบั้นกระเด็นหวือ เหลือส่วนโคนติดมืออยู่ไม่ถึงครึ่งศอก! แต่หล่อ ปังตอยังกำมีดสับกระชับมั่น และโผนเข้าฟันอย่างรวกเร็ว!! ปุ๊ วักมอญ ใจหายวับ! ในเสี้ยววินาทีวิกฤติอันแสนสั้น เขาพลิ้วตัวเบี่ยงหลบออกซ้ายเร็วสุดชีวิต! เพราะหากช้านิดเดียวก็อาบเลือด
มีดสับเล่มโตที่หล่อ ปังตอจ้วงฟันสุดลิ่มทิ่มประตู กรีดคมแหวกอากาศผ่านปลายจมูก เฉียงวืดลงต่ำเฉียดแผงอกไปอย่างหวุดหวิด! และเมื่อฟันผิด มือมีดก็เสียหลักคะมำวูบสีข้างขวาเปรอะสีเลือดแดงฉาดเปิดร่า! จอมซ่าจากฝั่งธนฯ บ่ายตีนยันซ้ำอย่างไม่รั้งรอ
ผลั่ก...!!
หนุ่มหน้าจืดเซถลาหมุนคว้าง ปุ๊ขยับจะจี้ตาม แต่ก็ชะงักด้วยเห็นอีกฝ่ายยังกำปังตอเล่มโตกระชับมั่น! ส่วนเขามีแต่โคนไม้ระแนงสั้นจู๋จะสู้กันได้ยังไง? พอเสือร้ายสะพานขาวตั้งหลักได้และหมุนตัวหันมา นักกรี๊ดตัวต้นเหตุก็เหวี่ยงไม้ทิ้ง นิมนต์ทั้งหลวงพ่อโกยและหลวงพ่อเผ่นทีละสององค์รวด สับตีนเปิดแน่บ ซึ่งก็เช่นเดียวกับพรรคพวกร่วมแก๊ง ที่ตกเป็นรองฝ่ายตรงข้ามและไม่อาจแข็งขืนต้านรับ ต่างแตกเพริดกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศ
ทว่า พงษ์รัตน์ซึ่งข้ามเจ้าพระยามาด้วยกันถอนตัวช้าเกินไป เขาประเคนไม้ระแนงกระหน่ำไหลคู่ต่อสู้ซะหัวทิ่ม ก่อนจะหนุมตัวโจนหนีแต่ก็ไม่ทันการณ์ นักบู๊จากตรอกทวายอีกนายหนึ่ง สะอึกวูบเข้าประชิดหลังซะแล้วเหล็กขูดชาฟท์ที่หมอนั่นเงือดเงื้อขึ้นสุดล้าจ้วงปักลงเต็มแรง!
สวบ..!!
"โอ้ยย์...!!"
พงษ์รัตน์แผดร้องด้วยความเจ็บปวดสาหัสเมื่อเหล็กเหลี่ยมสี่แฉกปลายแหลมเฉียบ ทะลวงใต้สะบักขวาแทบมิดด้าม ร่างของเขากระตุกทะลึ่งผวาแอ่น และกระเซอะกระเซิงไปได้อีกไม่กี่ก้าวก็ทรุดยวบ! แน่นอน ไม่มีสิทธิ์ลุก! ที่บาดเจ็บสาหัสและยังไม่ล้ม คือเจตน์ หลังวัง เขากุมแผงอกที่โชกชุ่มไปด้วยเลือดแดงฉาดวิ่งตะบึงออกจากหน้าโรงหนังเลี้ยวไปทางโรงเรียนสายปัญญา โดยมีจุก เบี้ยวสกุล ซึ่งใส่เสื้อสีแดงแจ๋สะดุดตาควบตามไปด้วยความเป็นห่วงพี่ชาย และข้างหลังห่างกันไม่มากนัก ยังมีพวกตรอกทวายอีกกลุ่มถือมีดไม้วิ่งไล่มาอย่างกระเหี้ยนกระหือ
ทะยานล่องถนนไปได้ไม่เท่าไหร่ เจตน์ หลังวังก็ต้องเบรกพรืด! ไม่ใช่อะไรหรอก? ข้างหน้าห่างออกไปราวๆ ร้อยเมตรเป็นป้อมตำรวจ! และมันแย่หนักเข้าไปอีกตรงที่โปลิศในเครื่องแบบถลาพรวดพราดออกมาจากป้อมถึงสองนาย พอตำรวจออกสตารท์ควบจี๋ตามกันมา เจตน์ กับจุก เบี้ยวสกุล ก็หมุนตัวกลับทันควัน! ใครจะอยู่รอให้จับล่ะขอรับ ท่านสารวัตร! และไม่แต่เพียงสองพี่น้องเท่านั้น ที่ตาลีตาเหลือกเผ่นหนีผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ บรรดาเด็กหนุ่มคะนองศึกที่เฮละโลไล่มาเป็นโขยงก็เช่นกัน
ทันทีที่เห็นโปลิศ ทั้งกลุ่มก็หันหลังกลับโกยอ้าวสุดฝีตีน นำห่างออกหน้ากลายเป็นฝ่ายถูกไล่ไปโดยอัตโนมัติ! ครู่เดียว ในที่เกิดเหตุและบริเวณใกล้เคียงก็เหลือเพียงคนเจ็บที่ไปไหนไม่รอด ส่วนพวกที่ยังตะกายหนีได้ก็กระจายย้ายแยกกันหายตัวไปเหมือนเหมือนเช่นที่เคยเป็นมาทุกครั้งคราว และหลังจากการระเบิดศึก "ร็อดละเลงเลือด" ในวัน 'เจมส์ ดีน รำลึก' จอมกรี๊ดจากฝั่งธนฯ ก็ไม่มีใครเรียก ปุ๊ วัดมอญ อีกต่อไป แวดวงยุทธจักรวัยรุ่น ขนามนามให้เขาใหม่เป็น #ปุ๊กรุงเกษม!
วัยรุ่นอัตรายที่ร่วมก่อศึก "ร็อคละเลงเลือด" และถูกจับกุมคุมขังในชั้นแรก มีเพียงธรรม เจมส์ดีน กับเจตน์ หลังวัง ซึ่งบาดเจ็บขนาดต้องพึ่งมดหมอให้ช่วยเยียวยาและจนมุมคาคลีนิค สำหรับพงษ์รัตน์ซึ่งเคราะห์ร้ายกว่าใคร ถูกจ้วงแทงทะลุปอด อาการสาหัสก็ร่อแร่ไม่รู้ลูกผีลูกคนอยู่ในห้อง ไอ.ซี.ยู. เลยรอดตะรางไปโดยปริยายเขาไม่ตายแต่หลังจากรักษาจน
หายเรียบร้อยก็ปรากฎว่าเหลือปอดที่ยังใช้ได้เพียงข้างเดียว พงษ์รัตน์จึงต้องปลีกตัวจากยุทธจักรนักสู้ใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบสำรวมตั้งแต่บัดนั้น!
ส่วนไอ้รุ่นซ่าเจ้าของฉายาใหม่ ปุ๊ กรุงเกษม ซึ่งลอยนวลหลบรอดเงื้อมมือกฎหมายไปได้ ก็ใช่ว่าจะอยู่สุข ไอ้เรื่องที่ต้องคอยหลบๆซ้อนๆ นั้นมันของธรรมดา บาปในใจที่คอยทิ่มแทงความรู้สึกตลอดเวลา ก็คือเขาเป็นคนพาเพื่อน ไปเจ็บตัวและถูกจับ เจตน์ หลังวังคู่ซี้สนิทสนมรักใคร่ผูกพันขนาดตายแทนกันได้ก็ยังนอนแซ่วอยู่ในห้องขังทั้งๆ ที่บาดเจ็บต้องเย็บแผลบริเวณอกถึงสิบสองเข็ม! เขากลัดกลุ้มรุ่มร้อนหนักขึ้นเป็นทวีคูณเมื่อพวกที่ไปเยี่ยมผู้ต้องหากลับมารายงาน
"เห็นตำรวจว่าถ้าปุ๊ไม่เข้ามอบตัว เจตน์จะโดนข้อหาหนักก่อการจลาจล !"
" เฮ้ย....!!”
จอมซ่าจากฝั่งธนฯร้องลั่น "....เอากันถึงขนาดนั้นเชียวเรอะ?"
"ไม่รู้นะ ก็เขาว่ากันมาหยั่งงี้"
"แล้ว....ถ้าข้ามอบตัวล่ะ?"
"คิดว่าข้อหาน่าจะเบาลง"
หัวโจกวัยรุ่นย่านวงเวียนเล็ก นิ่งตรองอยู่ไม่กี่วินาทีก็พยักหน้าหงึก
"ข้าจะไปหาตำรวจ !"
เขาทิ้งเสียงหนักแน่น และก็ทำตามนั้นโดยไม่บิดพลิ้ว
ลูกผู้ชายย่อมไม่ทิ้งเพื่อน มีทุกข์ต้องร่วมแบก!
ไม่กี่ชั่วโมงให้หลัง ปุ๊ กรุงเกษม ก็ยืดอกเดินขึ้นโรงพักพลับพลาไชย ๒ เข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ผู้รักษากฎหมาย เพื่อแบ่งเบาความเดือดร้อนของเพื่อนที่คบกันด้วยหัวใจ จากนั้นก็ถูกจับยัดเข้าไปขังรวมกับเจตน์ หลังวัง และ ธรรม เจมส์ดีน ในห้องเดียวกัน ตำรวจพยายามใช้วิธีการสารพัด ทั้งปลอบและขู่สามหนุ่มคะนองให้ระบุชื่อผู้ร่วมกระทำผิด แต่ก็ไม่มีใครให้ความร่วมมือ คำตอบที่ตระเตรียมกันไว้เป็นสูตรสำเร็จก็คือ "ไม่รู้จัก เห็นหน้าจำได้"
ทว่า เมื่อโปลิสพานั่งรถตระเวนไปตามแหล่งมั่วสุมของเหล่าวัยรุ่นที่อยู่ในข่ายสงสัย พวกเขาก็ไม่เคยชี้ตัวใครให้ตำควยจับ แม้จะพบเห็นตำตาหลายต่อหลายคนก็เมินเฉย ทำเป็นไม่รู้จักเสียงั้นแหละ! กฎเกณฑ์ข้อปฏิบัติที่จะไม่ซัดทอดไม่ว่ามิตรหรือศัตรู ยังถูกยึดถืออย่างมั่นคง! ระหว่างที่ถูกคุมขัง ทางบ้านหลายฝ่ายก็ช่วยกันวิ่งเต้นเข้าหาผู้หลักผู้ใหญ่ ขอความกรุณาให้ช่วยเหลือผ่อนปรน เมื่อเห็นแก่อนาคตของเด็กหนุ่มชุดนี้
ที่สุด ทั้งสามก็ได้รับอนุญาตให้ประกันตัวออกมาสู่อิสรภาพ ข้อหาก็เบาลงกลายเป็นพกพาอาวุธไปในทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุอันควร ซึ่งวางโทษไว้ไม่ถึงติดคุก ศึกร็อคละเลงเลือดที่โรงภาพยนต์กรุงเกษม ผ่านไปไม่นานเกินสองอาทิตย์ วัยรุ่นอันตรายซึ่งแหล่งมั่วสุมย่านหลังวังกลุ่มหนึ่ง ก็ร่วมกันก่อคดีสะเทือนขวัญ ข่มขืนฆ่าเด็กสาวเจ้าของชื่อเตือนใจในซอยปุณรวิถี เป็นข่าวครึกโครมไปทั่วประเทศ และแล้วก็ถูกตำรวจกวาดจับเข้าคุก ชดใช้กรรมกันเป็นระนาว ขบวนการจิ๊กโก๋หลังวัง จึงแตกกระสานซ่านเซ็นและสลายตัวไปโดยอัตโนมัติ
ยุทธจักรหลังวังล่มไปแล้ว แต่ไอ้รุ่นดังๆ ที่ทั้งแสบซ่า เป็นตัวเดินเกมและมีบทบาทสำคัญยังอยู่กันครบ! ปุ๊ กรุงเกษม ก็ยังคงป้วนเปี้ยนอยู่แถววงเวียนเล็กและเชิงสะพานพุทธฯ เหมือนเคย วันหนึ่ง #พจน์เจริญพาสน์ และ #ปื๊ดเจริญพาสน์ สองขาใหญ่ย่านฝั่งธนฯ ซึ่งอาวุธโสกว่าและเป็นที่เคารพยำเกรงของบรรดาน้องนุ่งก็ส่งลิ่วล้อมาตามไปพบ ซึ่งแน่ละ เมื่อตั้วเฮียเรียกหา เขาย่อมไม่ข้องขัด พอไปถึงร้านกาแฟในตรอกวัดสังข์กระจาย ปุ๊ กรุงเกษม ก็แทบจะถอยกลับ เพราะที่รายล้อมโต๊ะเสนอหน้าอยู่กับรุ่นใหญ่ทั้งสองคนในร้าน ใช่จะมีแต่ #เปี๊ยกเจริญพาสน์น้องชายเฮียปื๊ดเท่านั้น #แดงไบร์เลย์ คู่อริที่เคยห้ำหั่นกันในศึกสิบสามห้างก็นั่งร่วมอยู่ด้วย!
กระทิงหนุ่มแห่งตรอกไบร์เลย์ มักสิงสู่ประจำอยู่ในย่านบางลำภูก็จริง แต่นอกจากปุ๊ ระเบิดขวดคู่ซี้ที่เคยเดินเคียงไหล่ เขายังคบหาสนิทสนมกับเปี๊ยก เจริญพาสน์ ซึ่งเป็นนักเรียนวัดบวรฯ อีกต่างหาก และมักข้ามฝั่งไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอันใดหากจะเห็นแดง ไบร์เลย์ ปรากฎตัวแถวนี้ ปุ๊ กรุงเกษม เพียงแต่งุนงงไม่เข้าใจตรงที่เขาถูกเรียกมาเผชิญหน้าดาวดังบางลำภูว่ามันเพื่ออะไรกันแน่? ทั้งๆที่ยังงงงวย เขาก็ยกมือวันทารุ่นพี่ตามมารยาม แล้วเดินเข้าไปทรุดนั่งเก้าอี้ว่างโดยไม่มองหน้าคู่แค้น และพอโอเลี้ยงถูกสั่งมาตั้งไว้ให้ เด็กหนุ่มก็ก้มลงดูดโดยไม่พูดไม่จา บรรยากาศในโต๊ะ มีแต่ความเงียบงันชวนอึดอัด
เป็นครู่ พจน์ พจน์ เจริญพาสน์ ถึงกระแอมเบาๆก่อนเอ่ยเสียงขรึม
"ปุ๊ เอ็งเคยมีเรื่องกะแดงใช่มั้ย?"
คนถูกถามพยักหน้าตอบรับโดยไม่อิดเอื้อนอ้อมค้อม
"ครับ !"
"ที่ให้คนไปตามตัวมาก็เพราะเหตุนี้แหละ"
"พี่จะตำหนิผม...?
"เปล่า"
"เอ๊ะ?"
พจน์ เจริญพาสน์ นิ่งอั้นเหมือนจะสรรหาถ้อยคำอยู่ชั่วขณะก็ทอดเสียงเนิบนาบ
"คืองี้....เปี๊ยกเป็นน้องปื๊ด เอ็งก็เด็กฝั่งธนฯ คนบางเดียวกัน"
"กะเปี๊ยกผมไม่มีอะไร"
"พี่รู้...ปื๊ดก็รู้ ที่เราพูดกันมันเรื่องระหว่างแดงกะเอ็งตะหากล่ะ"
"ยังไงล่ะครับ?"
"เปี๊ยกกะเองไม่มีอะไรกัน ส่วนแดงเป็นเพื่อนเปี๊ยกอีกทีนึง พี่อยากให้ทั้งสองฝ่ายลืมเรื่องบาดหมางเก่าๆซะ"
"หมายความว่า....."
"หันหน้าเข้าหากัน คบหาไว้เป็นพวกพ้องเพื่อนฝูงดีกว่า ยังได้พึ่งพาอาศัยเผื่อเกิดมีอะไรหนักหนาเกินแรง"
ปุ๊ กรุงเกษม ก้มลงดูดโอเลี้ยงเต็มอึก ก่อนเอ่ยอย่างไว้เหลี่ยม
"มันก็ต้องแล้วแต่ทางแดงเขาด้วย"
"พี่พูดคุยกันไว้ก่อนแล้ว ....." รุ่นใหญ่ว่า "....ทางเขาไม่มีปัญหา"
หัวโจกวัยรุ่นฝังธนฯ หันไปมองหน้าแดง ไบร์เลย์ เต็มตาเป็นหนแรก ซึ่งฝ่ายหลังก็แย้มยิ้มที่มุมปากอย่างพร้อมที่จะรับไม่ตรี ปุ๊ พยักหน้าหงึก ยื่นมือขวาออกไปพร้อมกับเน้นเสียงหนักแน่นจริงจัง
"ตกลงเราจะเป็นเพื่อนกัน"
แดง ไบร์เล่ย์ แยกเขี้ยวยิ้มกว้างยื่นมือออกมาบีบกันแน่นกระชับ และนั่นคือสัญญาแห่งพันธมิตรระหว่างคู่ศึกสิบสามห้าง ซึ่งเคยยกพลเข้าห้ำหั่นพันตูกันแทบล้มประดาตาย
แดง ไบร์เล่ย์กับปุ๊ กรุงเกษม ไม่เพียงแต่จะปรับเปลี่ยนท่าทีจากศัตรูคู่แค้น สลัดเรื่องเคืองขุ่นบาดหมางทิ้งไปและหันหน้าเข้าหากันเป็นพันธมิตร ตามที่รุ่นใหญ่ยื่นมือเข้ามาไกล่เกลี่ยรอมชอมเท่านั้น วันต่อๆ มา สองหนุ่มยังเดินร่วมทางเคียงบ่าเคียงไหล่เที่ยวเตร่เฮฮาประสาวัยรุ่นด้วยกันอีกต่างหาก และก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกันในที่สุด มันเนื่องจากทั้งคู่ต่างก็มีรสนิยมต้องตรงกันหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแต่งตัว ดาราที่โปรดปราน การฟังเพลงหรือสถานที่ๆ จะไปนั่งพักผ่อนหย่อนอารมณ์ กระทั่งการพูดคุยสนทนาปราศรัยก็ยังเข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย จึงไม่แปลกอันใดที่กระทิงหนุ่มจากตรอกไบร์เลย์ มักหาโอกาสชิ่งจากคู่ซี้ ปุ๊ ระเบิดขวด หันมาเสวนากับไอ้รุ่นซ่าแห่งย่านวงเวียนเล็กเป็นประจำ
แต่ยามที่ขาด แดง ไบร์เลย์ เคียงข้าง วัยรุ่นอันตรายเจ้าของฉายาระเบิดขวดก็ไม่ถึงกับโดดเดี่ยวด้วยว่ายังมีเสือร้ายสะพานขาว หล่อ ปังตอ คลุกคลีใกล้ชิดอยู่ไม่ห่าง หนุ่มหนัาจืดผู้มีเลือดเข้มเต็มหัวใจ มักจะไปกินนอนขลุกขลุ่ยที่บ้านของปุ๊ในตรอกสาเก เหมือนเป็นบ้านที่สอง ดังนั้น เมื่อประสบปัญหายุ่งยากเกินกำลัง เขาก็ยังมีหล่อเป็นคู่คิดอ่านหาทางคลี่คลายแก้ไข
คราวนี้ก็เช่นกัน! มันเป็นวันที่หล่อ ปังตอโดดร่มหนีเรียนตามปกติ หลังจากแวะเที่ยวเล่นดูโน่นดูนี่จนหายอยากและกลับมาถึงห้องพักในตอนบ่ายจัดเกือบเย็น เขาก็ได้พบว่าปุ๊ ระเบิดขวด ทำหน้าเหมือนแบกโลกทั้งใบรออยู่ก่อนแล้ว
"หนักใจว่ะ ข้าไม่รู้จะทำยังไงดี"
เจ้าบ้านระบายความอึดอัดกลัดกลุ้มออกมาทันทีที่เห็นหน้าเพื่อนทำเอาอีกฝ่ายต้องกระตุกหัวคิ้วขมวดยุ่น
"เรื่องอะไรอีกล่ะ?"
"วันนี้ข้าไปเจอคนที่เคยติดค้างบุญคุณเขาไว้เขาขอให้ช่วยทำงานชิ้นนึง"
"สุจริตรึว่า......?"
"ผิดกฏหมาย !”
"อึมม์......หวังว่าคงไม่ถึงกับต้องไปปล้นจี้หรือฆ่าคนนะ"
"ก็ไม่ถึงขนาดนั้น แค่ทำร้ายร่างกาย"
"เรื่องเล็กน่าหว่า"
"ช่วย....แต่เป้าหมายเป็นผู้หญิง"
"ว้า ! ไม่เข้าท่าเลยแฮะ"
หล่อ ปังตอ ร้องเบาๆ ด้วยความรู้สึกระอิดระอา ก่อนทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิกับพื้นห้องตรงข้ามกัน ปุ๊ ระเบิดขวด จุดบุหรี่สูบอัดควันลึกๆ แล้วว่าเสียงขรึม
“มันแย่เอามากๆ ด้วยซ้ำ พวกเราน่ะถึงจะเกเรเกตุงแค่ไหนก็ไม่เคยข่มเหงรักแกเพศตรงข้ามเพศแม่ซึ่งอ่อนแอกว่าอย่างเก่งก็แค่ตะโกนแซวสาวๆเวลาคันปาก”
"นั่นนะสิ ข้าเองก็ไม่ชอบเลยซักนิด ว่าแต่ที่ผู้หญิงถูกมุ่งร้ายหมายขวัญ มันเพราะอะไร?"
เจ้าบ้านอัดบุหรี่อีกพรืดพลางส่ายหน้า
"ข้าไม่ได้ถามถึงสาเหตุเบื้องหลัง แต่คาดว่าน่าจะมาจากเรื่องชู้สาว เพราะเป้าหมายเป็นคนสวย"
"เรอะ แล้วที่ว่าทำร้ายร่างกายน่ะ คนสั่งเขาต้องการระดับไหนวะ?"
"เอาให้เสียโฉม"
"กรีดหน้า งั้นซี?"
"ไม่ สาดด้วยน้ำกรด"
หล่อ ปังตอ สะดุ้งเฮือก ตาเบิกโพลง
"เฮ้ย...!!" เขาร้องลั่น ".....ไหงโหดขนาดนั้น น้ำกรดสาดหน้ามีสิทธิ์ถึงตาบอดนะเว้ย !"
ดาวดังตรอกสาเกถอนใจลึกๆ
"มันยิ่งกว่าโหด ข้อสำคัญ...ผู้หญิงคนที่ว่าได้ยินชื่อแล้วเอ็งจะหนาว"
"คงลูกเจ้าใหญ่นายโต...."
"เปล่า สามัญชนคนธรรมดานี่แหละ"
"ใครล่ะ?"
ปุ๊ ระเบิดขวด จ้องนิ่งเข้าไปในดวงตาคู่สนทนา พลางเน้นเสียงบอกชัดคำ
"อาจารย์ พเยาว์"
"เฮ้ย...!!”
หล่อ ปังตอ ระเบิดทุทานเอ็ดอึงพร้อมทั้งสะดุ้งขึ้นสุดตัวเป็นคำรบสอง เมื่อได้ยินชื่อเหยื่อน้ำกรดที่หลุดออกมาจากปากนักบู๊ตรอกสาเก เพราะอาจารย์พเยาว์ที่เขารู้จักมีเพียงหนึ่งเดียว เธอเป็นครูสาวคนสวยของโรงเรียนศิริศาสตร์ ที่เขาโดดร่มหนีเรียนแทบทุกวันนั่นเอง ยิ่งไปกว่านั้น เธอยังเป็นอาจารย์ประจำห้องของเขา ห้องเดียวกับปุ๊ ระเบิดชวดซึ่งสิ้นสภาพนักเรียนไปแล้ว ไอ้รุ่นผู้นิยมใช้มีดสับเป็นอาวุธ อ้าปากค้างตะลึงเซ่ออยู่ร่วมอึดใจถึงได้หลุดเสียงครางตื่นๆ
"ปุ๊ อาจารย์พเยาว์ที่เอ็งว่า...ครูเรารึเปล่า....?"
หนุ่มเจ้าบ้านพงกศรีษะ
"ใช่"
"เอ็งทำได้เรอะ?"
ปุ๊เกือบจะค้อนให้
"ข้ายังมีความเป็นคน ไม่ใช่หมา จะได้กัดไม่เลือกกระทั่งครูบาอาจารย์"
"ถึงว่าสิ"
"ข้าออกมาแล้วก็จริง แต่จะยังไงก็เคยเป็นลูกศิษย์ที่ท่านอุตส่าห์ปลูกฝังสั่งสอน"
"แปลว่าเอ็งทำไม่ได้"
"แน่นอน !"
"งั้นก็ปฏิเสธไปซี จะยากอะไร"
ปุ๊ ระเบิดขวด ถอนใจระทดท้อ
"ถ้าปฏิเสธได้ ข้าจะมัวมานั่งกลุ้มให้เสียเวลาทำไมเล่า บุญคุณมันคาอยู่ พูดอะไรไม่ออก"
"เวรกรรม !”
"เอ็งช่วยคิดหน่อยเถอะเพื่อน มันพอจะมีวิธีไหนแก้ปัญหาได้มั่ง?"
หล่อ ปังตอ ตั้งศอกท้าวกับหัวเข่าทั้งสองข้างยกมือกุมขมับก้มหน้านิ่ง ครู่ใหญ่ก็เงยขึ้นเอ่ยถาม
"ไปต่อร้องกะเจ้าบุญนายคุณของเอ็งได้มั้ย? ให้เขาลดความรุนแรงลงมาหน่อย"
นักบู๊ตรอกสาเกขมวดคิ้ว
"ลดยังไง?"
"เปลี่ยนจากสาดด้วยน้ำกรด เป็นใช้อีดาบฟันหน้า"
"เฮะ ! ฟันหน้าด้วยอีดาบก็ทำให้อาจารย์เลือดตกยางออกนะเพื่อน เสียโฉมด้วย"
"ก็ใช่"
"ไม่นะ ถึงไงข้าก็ทำไม่ลง"
"เอ็งต่อรองได้หรือเปล่าล่ะ?"
"ไอ้ต่อน่ะมันต่อได้ แต่ว่า....."
เสือร้ายสะพานขาวโบกมือขัด
"เถอะน่า ไปพูดขอลดหย่อนกะเขาก็แล้วกัน ต่อจากนั้น.......ข้าจัดการเอง !"
"หนุ่มเจ้าบ้านกระพริบตาคลางแคลง
“หมายความว่า....เอ็งจะเป็นคนฟัน....?"
"เออซี"
"ครูนะโว้ยไอ้หล่อ ครู !”
"รู้แล้วน่า เอ็งอย่าตื่นเต้นให้มากนักเลย รีบไปทำตามที่ข้าบอกเป็นใช้ได้ ไม่ต้องห่วงอย่าง อื่น"
"เดี๋ยวนี้เลยเรอะ?"
"ก็งั้น ถ้าเอ็งอยากให้เรื่องมันจบเร็ว"
ปุ๊ ระเบิดขวด อัดควันเข้าปอดหน่วงหนักทิ่มก้นบุหรี่ขยี้กับจานสังกะสีใบเล็กเขรอะคราบไคลมอมแมม ยันตัวลุกขึ้นสาวเท้าออกประตูทั้งๆที่ยังกังวลวิตกอยู่ไม่วาย!!
เย็นย่ำ หล่อ ปังตอ ซึ่งถอดเครื่องแบบนักเรียนเปลี่ยนเป็นชุดเที่ยวเรียบร้อยแล้ว ยังนอนเขลงอยู่ในห้องพัก รอฟังผลการเจรจาระหว่างดาวดังแห่งตรอกสาเกกับศัตรูมืดของอาจารย์พเยาว์ เขาคาดว่าฝ่ายนั้นน่าจะยอมรับเงื่อนไขที่เสนอไป เพราะการฟันหน้าเป็นแผลเหวอะ แม้จะไม่รุนแรงสร้างความเจ็บปวดทรมานเท่ากับสาดด้วยน้ำกรด มันก็ทำให้โฉมเสียสวยได้เช่นกัน เด็กหนุ่มนอนรอพลางคิดอะไรต่อมิอะไรเรื่อยเปื่อยไปจนจวนจะเคลิ้มหลับ ประสาทหูก็สัมผัสเสียงฝีเท้าหนักๆ ย้ำขึ้นบันได เขาผงกตัวลุกนั่งเหยียดขา เกือบจะพร้อมกับที่หนุ่มเจ้าของห้องสาวเท้ามาชะงักหยุดนอกประตูที่เปิดกว้าง
แสงไฟในห้องที่เปิดทิ้งไว้ สาดส่องให้เห็นได้ชัดว่าสีหน้าของผู้มาใหม่เต็มไปด้วยวี่แววเครียดเคร่ง และมันทำเอาไอ้รุ่นแสบแห่งย่านสะพานขาวกระตุกหัวคิ้วเข้ากันอย่างกังขา
"ทางโน้นยืนยันจะสาดด้วยน้ำกรดรึไง?"
อีกฝ่ายสั่นศรีษะ
"ไม่"
"อ้าว...!”
"ข้าชี้แจงว่าน้ำกรดสาดหน้ามันทารุรเกินเหตุ เราทำไม่ลง ขอต่อรองเป็นใช้มีดฟันพอให้เสียโฉมเขาก็โอเค"
"ก็ถือว่าการเจรจาเป็นผลสำเร็จนี่หว่าไหงเอ็งทำหน้าไม่เสบยหยั่งงี้ล่ะ?"
ปุ๊ ระเบิดขวด ถอนใจลึกๆก่อนเอ่ยเสียงหม่น
"แม้จะเปลี่ยนวิธีการและของที่ใช้ เราก็ยังเป็นไอ้ศิษย์เนรคุณ"
หล่อ ปังตอ ยักไหล่ยิ้มๆ
"อาจารย์ไม่ตาบอดหน้าเละก็ดีแล้วน่า แผลเป็นมันยังมีทางรักษาให้หายได้"
"ถึงไงเราก็บาป"
"เฮ้ย ! รับรองไม่บาป ข้าจะฟันด้วยความกตัญญู"
"ฟันแบบไหนวะ รึใช้สัน....?"
"ต้องใช้คมซีเพื่อน มันถึงจะมีแผล"
"นักบู๊ตรอกสาเกหดคอห่อไหล่อย่างแหยงๆ
"นี่เอ็งจะเอาจริง....?"
หล่อทำหน้านิ่ว
"ถามพิลึกไม่จริงได้ไงในเมื่อรับงานเขามาแล้ว"
"อีตอนฟัน ข้าไม่เข้าไปกะเอ็งนะ"
"ทำไมล่ะ?"
"ไม่อยากเห็นว่ะ ไม่อยากได้ยินเสียงร้องด้วย"
"ก็ตามใจ ว่าแต่เอ็งรู้จักบ้านพักของอาจารย์พเยาว์ไม่ใช่รึ?"
"ทำไมจะไม่ไม่รู้จักล่ะ โดนลงโทษทีไรก็ไปกราบไหว้ขอให้แกช่วยทีนั้น"
เสือร้ายสะพานขาวยันตัวลุกขึ้น
"งั้น.........พาข้าไปที เดี๋ยวนี้แหละ"
"ไฮ้ เอ็งจะลงมือเลยเรอะ?"
"จะมัวรออะไรอยู่อีกล่ะ?
เจ้าของฉายาระเบิดขวด กวาดสายตามองสำรวจไปทั่วร่างเพื่อนคู่หู แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงคลางแคลง
"ข้าไม่เห็นเองพกดาบ"
"จะต้องพกทำไมให้เกะกะ สดุดตาตำรวจด้วยไปหาเอาข้างหน้าดีกว่า ข้าคว้าที่ไหนก็ได้"
"แน่ใจนะว่าเอ็งพร้อม.....?"
หล่อ ปังตอ พยักหน้ามั่งคง ตอบคำด้วยเสียงเย็นยะเยียบ
"ยิ่งกว่าแน่ พรุ่งนี้เช้า อาจารย์พเยาว์จะต้องมีแผลไปโรงเรียน !!"
ภาพที่ปรากฏต่อสาธารณชนหลังจากนั้นเป็นไปตามที่ไอ้รุ่นแสบแห่งย่านสะพานขาวลั่นปากไว้ เช้าวันต่อมา อาจารย์พเยาว์ครูสาวสวยของโรงเรียนศิริศาสตร์ ก็ยังคงไปสอนศิษย์ตามภารกิจปกติ แต่ที่ไม่ปกติก็คือ แขนซ้ายของเธอทั้งท่อนถูกพันผ้าก็อซห่อสำลีหนาเตอะ ซึ่งเปรอะไปด้วยสีแดงของยาใส่แผลสด และงอพักข้อสอกขึ้นคล้องแถบผ้าโยงไว้กับต้นคอ สภาพนั้น ย่อมไม่อาจมองเห็นเป็นอื่นไปได้ เธอบาดเจ็บแน่นอนใบหน้าสวยคมแม้จะปราศจากริ้วรอยของบาดแผล ก็แลดูหม่นสร้อยอมทุกข์ แว่นดำที่คาดไว้เหนือดั้งจมูก ก็คล้ายจะปิดบังวี่แววสลดรันทดในดวงตา ทันทีที่ก้าวหลุดเข้าไปในห้องพักอาจารย์เพื่อนครูก็มะรุมมะตุ้มซักถามกันให้วุ่นจนตอบไม่ทัน และพอหนึ่งในจำนวนนั้นปราดเข้ามาจับดูแขนด้วยความอยากรู้ประสาหญิง ครูคนสวยก็ผงะถอยกรู ปากก็ระล่ำระลักร้องห้าม
"โอ๊ย ! อย่าค่ะ ! อย่า ! ฉันเจ็บ อูยย์......!”
คนอยากรู้รีบหดมือหนี และตวัดเสียงถาม ตื่นๆ
"เยาว์ เธอไปโดนอะไรมา ตกกะไดรึว่ารถชน?"
อาจารย์สาวส่ายหน้า
"ไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง"
"เอ๊ะ? งั้น..."
"ฉันถูกฟัน !”
"ว้าย...!!!”
"เมื่อตอนหัวค่ำวานนี้เองฉันตกใจแทบช็อคนึกว่าตายแน่แล้ว"
เพื่อนครูช่างซักยกมือทาบอก สีหน้าบอกความตื่นตระหนกอย่างแท้จริง
"คุณพระช่วย !ใครเป็นคนฟันเธอ?
ครูสาวเจ้าของชื่อพเยาว์สั่นศรีษะ
"ไม่รู้ใคร มันมืดมองไม่เห็นถนัด รู้แต่ว่าเป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นอายุไม่เกินยี่สิบ"
"หมอนั่นใช้มีดรึว่า.....?"
"ดาบ !"
"ไอ้หยา......!!"
"เขากะฟันหน้าด้วยซ้ำ ฉันก็หลับหูหลับตายกแขนปิดป้องไปตามมีตามเกิด เลยโดนเข้าสองแผล"
"ฟันตั้งสองทีเชียวรึคะ?"
"ค่ะ เลือดงี้โชกไปหมด"
คู่สนทนาห่อไหล่ทำหัวสั่น
"อื่ยย์....คงเข้าลึกไม่ใช่เล่น"
"ยาวด้วยละ เย็บทั้งสองแผลรวมกันตั้งสิบห้าเข็ม"
"โอโฮ เรื่องมันเกิดที่ไหนคะ?"
"หน้าบ้านฉันเลยละ"
"อุกอาจเหลือเกิน ทำยังกะบ้านเมืองไม่มีขื่อมีแป นี่เธอแจ้งความรึยัง?"
คนสวยโคลงศีรษะอ่อนอก
"ฉันไม่รู้ว่าจะแจ้งไปทำไม"
"อ้าว.....!”
"เราไม่รู้ตัวคนร้าย สาเหตุบาดหมางกับใครก็ไม่เคยมีมาก่อน มันไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมาเลยถ้าจะแจ้งความ รังแต่จะเอาคดีไปรกโรงพักเสียเวลาทำงานของตำรวจเปล่าๆ"
"ไม่แน่นะคะ ตำรวจอาจจะสืบจับได้"
"คงยาก ก็ไม่มีเบาะแสอะไรซักอย่าง"
"เป็นอันว่าเธอจะปล่อยเลยตามเลย"
"ค่ะ ถือซะว่าเคราะห์ร้าย เอาละ......ฉันขอตัวอยู่ตามลำพังซักครู่"
เธอเอ่ยตัดบทนิ่มนวล ก่อนปลีกตัวผละจากกลุ่มเพื่อนครูร่วมสถาบัน และเมื่อเข้าสอนในครึ่งชั่วโมงต่อจากนั้นอาจารย์พเยาว์ก็ ได้พบว่านักเรียนห้องเธอขาดไปหนึ่งคน หล่อ ปังตอ !!
ไอ้รุ่นมือปังตอ หายหน้าหายตาไม่ให้อาจารย์ประจำชั้นได้พบปะเพียงวันเดียว รุ่งขึ้น เขาก็ไปเรียนแบบสมัครเล่นตามปกติ! พอเจอเพื่อนๆ แต่ละคนก็ชิงบอกข่าวเรื่องอาจารย์ถูกฟันจนฟังแทบไม่ทัน ซึ่งเขาก็เออออห่อหมกพยักหน้ารับรู้ โดยไม่แสดงอาการตื่นเต้น ก็ไม่รู้จะตื่นเต้นไปทำไม ในเมื่อตัวเองรู้ทุกอย่างเต็มอก รู้ลึกว่าพวกที่คุยให้ฟังซะอีก! หมดชั่วโมงสุดท้ายภาคเช้า เด็กหนุ่มเลี่ยงเข้าห้องพักครูซึ่งกำลังปลอดว่าง เนื่องจากบรรดาคณาจารย์ส่วนใหญ่ไปรับประทานอาหารกลางวันกันเกือบหมด
ทั้งห้องมีเพียงอาจารย์พเยาว์ซึ่งยังสวมแว่นดำคาดบังดวงตา นั่งเงียบอยู่คนเดียว แขนซ้ายของเธอก็ยังพันผ้าก็อชโยงคล้องคอไว้ในลักษณะเดิม
เขาเดินสำรวมเข้าไปชะงักอยู่ตรงหน้าโต๊ะค้อมศรีษะคำนับก่อนที่ครูสาวจะเอ่ยเสียงเรียบ
"นั่งซีหล่อ ตามสบาย"
"ขอบคุณครับ"
หล่อพึมพำเบาๆ ทรุดตัวลงบนเก้าอี้ว่างตรงข้ามกับฝ่ายหญิงแล้วเอ่ยนอบน้อม
"ทุกอย่างเรียบร้อยครับอาจารย์ เมื่อวานสายของทางโน้นรายงานไปตามที่เห็นและเป็นข่าวปรากฏว่าเขาพอใจ"
"อาจารย์สาวขมวดคิ้ว"
"ทั้งที่ครูไม่ได้ถูกฟันหน้าให้เสียโฉมตามที่เขาต้องการ?"
"ครับ เพราะสภาพของอาจารย์มันยืนยันว่าปุ๊ได้ทำงานให้เขาจริงที่ไม่สมเจตนาร้อยเปอร์เซ็นต์เนื่องจากเหยื่อปิดป้องไว้ทัน แต่ก็เจ็บตัวไม่น้อย"
"เป็นอันว่านายปุ๊ไม่ผิดสัญญา"
"ครับ อาจารย์ก็ไม่เสียโฉม"
"ครูไม่รู้จะขอบใจยังไงดี ที่เธอกะนายปุ๊ร่วมกันปกป้องช่วยเหลือไว้"
"อย่าไปคิดอะไรเลยครับ มันเป็นหน้าที่ของศิษย์ ที่จะต้องตอบแทนพระคุณครูบาอาจารย์"
"ครูจะแกะผ้าพันแผลนี่ออกได้เมื่อไหร่?"
คำถามนั้น ทำให้เด็กหนุ่มฉวัดสายตามองแขนซ้ายของคูสนทนาอย่างไม่ตั้งใจ เขารู้ดีว่าที่จริงมันไม่มีบาดแผลแม้สักเท่ารอยแมวข่วน เพราะที่เขาใช้ฟันครู คือดาบสมมุติไร้ตัวตน! "ดาบกตัญญู"
ผ้าพันแผลรวมทั้งสำลีเลอะยาแดง เป็นเพียงองค์ประกอบที่ช่วยให้เรื่องครูถูกฟันบาดเจ็บดูสมจริงสมจังเท่านั้นเอง ทั้งหมดเป็นแผนการที่หล่อ ปังตอ กำหนดขึ้น โดยอุบไต๋เงียบไว้เพื่อให้เดินเกมส์ทุกขั้นตอนได้สนิทแนบเนียนไร้ข้อบกพร่องช่องโหว่ ปุ๊ ระเบิดขวด ต่อรองกับเจ้าบุญนายคุณผู้บงการมาเรียบร้อยแล้ว ถึงได้มีโอกาสรับรู้รายละเอียดและขั้นตอนสุดท้าย ก่อนเข้าพบอาจารย์พเยาว์ที่บ้านพักตอนหัวค่ำวานซืน ซึ่งเธอก็ทำตามที่สองศิษย์เกเรนัดแนะชี้นำทุกประการ
"ไงล่ะ......?"
ครูสาวเอ่ยเตือนเมื่อเห็นฝ่ายตรงข้ามเงียบไป
".....เธอยังไม่ได้ตอบคำถามครูเลยนะ"
เด็กหนุ่มขยับตัว
"อ๋อ....เรื่องผ้าพันแผล"
"ใช่....."
"ผมว่าปล่อยไว้หยั่งงี้ไปก่อนดีกว่าครับ"
"แต่ครูรำคาญ"
"มันจำเป็นนะครับ ถ้ารีบร้อนแกะผ้าพันแผลออก ใครต่อใครต้องรู้เห็นทั่วว่าที่จริงอาจารย์ไม่ได้ถูกฟัน ปุ๊ก็เสียคนแต่เหตุผลที่สำคัญกว่านี้ยังมี"
"อะไรล่ะจ๊ะ?"
"มันเกี่ยวกับสวัสดิภาพและความปลอดภัยของอาจารย์เอง"
"เธอหมายความว่า....."
ไอ้รุ่นหน้าจืดจ้องนิ่งเข้าไปในดวงตาหลังแว่นดำ พลางเน้นเสียงหนักแน่น
"คราวนี้เขาจะไม่ใช้ปุ๊หรือผม และอาจเอาถึงตาย!”
อาจารย์สาวแห่งโรงเรียนศิริศาสตร์ สะดุ้งขึ้นเล็กน้อยแล้วตะลึงขึงตรึงตัวแข็งทื่อ วงหน้าสวยคมซีดเผือด เธอจ้องมองคู่สนทนาด้วยสายตาตื่นพรั่นนิ่งอั้นอยู่ชั่วขณะก็ครางออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง
"ถึงกับจะฆ่าแกงกันเชียวรึ?"
"ผมเพียงแต่คาดคะเนไปตามรูปเรื่อง......."
เด็กหนุ่มแบ่งรับแบ่งสู้
"ไม่อาจยืนยันได้แน่นอนแต่มันก็น่ากลัว"
"คนที่ใช้สอยไหว้วานพวกเธอมาทำร้ายครูเป็นใคร?"
"ผมไม่ทราบครับ"
"อ้าว.....!"
"ปุ๊ไม่เคยบอก ผมก็ไม่อยากละลาบละล้วงซักไซ้ไล่เรียง อาจารย์ถามทำไมรึครับ?" คุณครูคนสวยขบริมฝีปากนิ่งอึ้งไปชั่วครูก็อ้อมแอ้มตอบคำ
"ครูอยากจะ....อยากจะแจ้งความ"
หล่อปังตอ ส่ายหน้าช้าๆ
"อย่าเลยครับ เหตุผลก็อย่างที่ผมเคยชี้แจงและห้ามอาจารย์ไว้ครั้งก่อนนั้นแหละ เรื่องจะบานปลายใหญ่โตไปเปล่าๆ ให้มันจบกันแค่นี้ดีกว่า"
"จบยังไง ?ในเมื่อครูยังต้องพอกแขนด้วยผ้าพันแผลอยู่หยั่งี้"
"อาจารย์คงต้องทนรำคาญไปซักระยะหนึ่งแต่พูดก็พูดเถอะ คือ...ผมมีบางอย่างที่ใคร่ขอเรียนแนะนำ"
"ลองว่ามาสิ"
"ถ้ายังสอนอยู่ที่นี่ต่อไป ผมเกรงว่าอาจารย์จะไม่ปลอดภัย จะต้องมีอันตรายเข้าซักวัน"
ฝ่ายหญิงขมวดคิ้วกัง
"ไหนเธอว่าเรื่องมันจบ......?"
ไอ้รุ่นค้อมศรีษะ
"ครั้งนี้น่ะใช่ครับ แต่ผมก็รับประกันไม่ได้ว่าครั้งที่สองหรือที่สามจะไม่เกิดขึ้นอีก ซึ่งหากผมกะปุ๊ไม่มีส่วนรับรู้ เราก็หมดสิทธิ์ที่จะปกป้องช่วยเหลือ"
"เธอจะให้ครูทำไง?"
"มีวิธีเดียว ลาออกจากที่นี่ซะ"
คุณครูทำตาโตอยู่หลังแว่นดำพลางร้องทวนคำตื่นๆ
"ลาออก.......?"
"ครับ ครูแท้ๆ อย่างอาจารย์ โรงเรียนดีๆ ที่พร้อมจะอ้าแขนรับมีถมไป"
"แต่ว่า........"
"เชื่อผมเถอะครับ อย่ามัวเสี่ยงกับภัยมืดที่มองไม่เห็นอยู่เลย ไม่คุ้มค่าหรอก"
แม่พิมพ์ผู้มีความสวยเป็นทุกขลาภ นิ่งใคร่ครวญอยู่ครู่ใหญ่ๆ ก็พยักหน้าเนิบช้า
"ขอบใจที่เตือนและชี้ทางออกให้ ครูจะทำตามคำแนะนำของเธอ"
"หมายความว่า...."
"ครูจะลาออก"
เด็กหนุ่มถอนใจพรู ยันตัวลุกขึ้นแย้มขึ้นปลอดโปร่งพลางเอ่ยเสียงใส
"โล่งอกไปที อาจารย์ย้ายไปสอนที่ไหนกรุณาส่งข่าวให้ผมทราบบ้างนะครับ"
"จ๊ะ ครูผากขอบใจนายปุ๊ด้วยนะ"
"ครับเดี๋ยวผมจะไปบอกมัน"
คุณครูถอดแว่นทำตาเขียว
"แน่ะ โดดเรียนอีกซีท่า.....?"
หล่อปังตอ หัวเราะเก้อๆ ด้วยเพิ่งนึกได้ว่าเผลอหลุดปากไปเต็มคำ
"ก็...แฮ่ะ ชั่วโมงเรียนภาคบ่ายอาจารย์ไม่ได้เข้าสอนนี่ครับ ผมลา"
เขาสรุปรวบรัดเอาดื้อๆ ค้อมศรีษะทำความเคารพแล้วหมุนตัวก้าวผละออกจากห้อง อาจารย์พเยาว์เอนหลังทาบพนักเก้าอี้ มองตามหลังลูกศิษย์จนลับตาก่อนระบายลมหายใจลึกๆ เธอเชื่อมั่นว่าแม้จะเกเรเกตุงไม่ใส่ใจการเรียน เด็กพวกนี้ก็ไม่ถึงกับชั่วช้าเลยทราม อย่างน้อยที่สุด พวกเขาก็ยังมีสำนึกที่ดีงาม รู้จักบุญคุณและพร้อมที่จะทดแทน สองวันให้หลัง คุณครูคนสวยก็ยื่นใบลาออกจากโรงเรียนศิริศาสตร์ตามคำแนะนำของศิษย์เกเร และไม่เคยติดต่อกลับมาอีกเลย!
แดง ไบร์เลย์ ไม่ได้ห่างเหินปุ๊ ระเบิดขวดไปเสียทีเดียว ยามใดที่คร้านจะข้ามสะพานพุทธฯ ไปหาปุ๊ กรุงเกาม หรือเปี๊ยก เจริญพาสน์ เขาก็เตร็ดเตร่อยู่ในละแวกฝั่งกรุงเทพฯ เคียงข้างคู่ซี้เจ้าเก่าที่คบหากันมาเนิ่นนาน ยุคนั้น นอกจากสิบสามห้างบางลำภู วังบูรพาและพาหุรัด ตลาดมิ่งเมืองซึ่งอยู่ในโซนใกล้เคียงกันก็เป้นอีกย่านหนึ่ง ที่ชาวกรุงนิยมไปเดินเล่นและจับจ่ายซื้อหาข้าวของที่ต้องการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เสื้อผ้าแพรพรรณเครื่องนุ่งห่มประดามี ในสมัยที่เสื้อผ้าสำเร็จรูปของสุภาพสตรียังไม่มีวางขายเกลื่อนกลาดดาดดื่นตามร้านค้าประเภทบูติค หรือแบกะดินให้เลือกซื้อกันได้สารพัดแบบเช่นปัจจุบัน หากต้องการชุดสวยๆ สไตล์ใดในแคตตาล็อค บรรดาสาวๆ ที่ชอบวิ่งตามแฟชั่นจะต้องนึกถึงตลาดมิ่งเมืองอันดับแรก เพราะที่นั่น สะพรั่งพรึบไปด้วยร้านรับจ้างตัดเย็บฝีมือดี แถมยังรวดเร็วทันใจอีกต่างหาก อยากได้ชุดสวยเลิศหรูวิลิศมาหราปานใด! ก็กางแคตตาล็อคชี้แบบวัดตัวกันเดี๋ยวนั้นแหละ! เลือกแบบเลือกผ้าตกลงราคาเสร็จ แม้เจ้าประคุณรุนช่องจะไปเดินช็อปปิ้งที่ไหนต่อก็ตามสะดวก จะนั่งรอตรงนั้นก็ไม่มีใครว่า ไม่เกินสองชั่วโมงก็รับชุดสวยสะใจไปได้เลย!
ตลาดมิ่งเมือง จึงคึกคักคับคั่งไปด้วยผู้คนทุกเพศทุกวัยตั้งแต่เช้ายันค่ำ ตะวันเพิ่งคล้อยบ่าย คณะที่ปุ๊ ระเบิดขวดกับกระทิงหนุ่ม จากตรอกไบร์เลย์ เดินเคียงกันเข้าร้านกาแฟในตลาดมิ่งเมือง ทั้งคู่เลือกโต๊ะว่างยอบนั่งลง สั่งโอเลี้ยงคนละแก้วโดยไม่มีบุหรี่ เพราะตามปกติ แดง ไบร์เลย์ ไม่ใช่นักนิยมควันที่สูบบุหรี่จนเป็นนิสัย ปุ๊ก็เช่นกัน! นานๆ ครั้งเขาจึงจะสูบซักหนเมื่อนึกครึ้มหรือไม่ก็เคร่งเครียดกับปัญหาที่ต้องขบคิด ดูดกาแฟดำเย้นได้คนละอึก นักบู๊ตรอกสาเกก็ยันตัวทะลึ่งลุกพรวดยืดคอชะเงื้อชะแง้ไปทางร้านตัดเสื้อผ้าซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนัก ปากก็เอะอะด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นยินดี
"เฮะ ! นั่นแอ๊วนี่หว่า"
แดงเงยหน้าขึ้นเลิกคิ้ว
"ใครวะ?"
"หญิง !"
ปุ๊ระเบิดขวดตอบสั้นๆ ไหวตัวก้าวปราดออกจากร้านกาแฟอย่างไม่โอ้เอ้ เขาสืบเท้าหลบหลีกผู้คนที่เดินสวนกันขวักไขว่ ไปชะงักหยุดเบื้องหลังหญิงสาวแต่งกายทันสมัย ซึ่งกำลังยืนคลี่พับผ้าพิจารราดูเนื้ออยู่หน้าร้านรับจ้างตัดเย็บ กระแอมให้เสียงเบาๆก่อนเลยเรียก
"แอ๊ว.....!"
ฝ่ายหญิงหันขวับมาทันควัน! ปรากฏว่าโฉมยงเป็นสาวรุ่นวัยไม่เกินสิบเก้าใบหน้าสวยคมสะดุดทั้งสายตาและความรู้สึก และพอเห็นหน้าคนเรียก เธอก็เบิกตาวาว!
“อ้าว...ปุ๊...” สาวเจ้ารัองทักอย่างคุ้นเคย “...ไปไงมาไงล่ะเนี่ย?”
“มาเดินเล่น เธอล่ะ?”
“ผู้หญิงมาตลาดมิ่งเมืองจะมีอะไร นอกจากหาซื้อผ้าหรือไม่ก็ตัดชุดสวยๆ”
“ยังร้องเพลงที่เดิมรึเปล่า?”
“ก็ที่เก่าน่ะแหละ ไม่เห็นนายแวะไปมั่งเลย”
“มันยังไม่สบโอกาสน่ะ นี่เลือกผ้าอยู่ใช่มั้ย?”
“ใช่”
“เดี๋ยวค่อยกลับมาดูใหม่ละกัน ขอเวลานิด”
“ทำไมล่ะ?”
“จะแนะนำห้รู้จักเพื่อนคนนึง นิสัยดี น่าคบมาทางนี้สิ”
นักบู๊ตรอกสาเกเอ่ยพร้อมกับพยักหน้าในวรรคท้าย ก่อนหมุนตัวเดินกลับไปยังร้านกาแฟโดยมีสาวรุ่นคนสวยก้าวตามติด
โฆษณา