31 ส.ค. 2020 เวลา 06:24 • นิยาย เรื่องสั้น
▪️โอวตี่ แซ่โค้ว▪️นักฆ่า หน้าหยก ตอนที่1
ซัวเถาในประเทศจีน เป็นเมืองใหญ่เช่นเดียวกับเมืองปักกิ่ง กวางเจา ทั้งอยู่ใกล้ติดทะล มีอ่าวลึกพอให้จอดเรือเดินสมุทรได้หลายร้อยลำ อีกทั้งมีปราการบังลมตามธรรมชาติ นักเดินเรือจึงนิยมมาจอดพักเรือที่ท่านี้เพื่อรวบรวมสินค้าตลอดจนการติดต่อซื้อขายกัน แต่เมืองซัวเถากับบริเวณใกล้เคียงมีข้อเสียอยู่อย่างคือ มักเกิดภัยธรรมชาติอยู่บ่อยครั้ง เดี๋ยวพายุมา เดี๋ยวน้ำท่วม จนถึงแมลงกดพื้นไร่ สร้างความเสียหายแก่ผลผลิตของเกษตรกร ความอดอยากและความยากจนจึงมีคู่กันมาในหมู่ชาวจีนที่ประสบเคราะห์กรรมอย่างแสนสาหัส จนแต่ละคนท้อแท้ หมดกำลังใจต่อสู่ชีวิต ทุกคนหวังทิ้งถิ่นมุ่งไปตายเอาดาบหน้า!
1
จนกระทั่งกิตติศัพท์ความอุดมสมบูรณ์ของเมืองไทยได้แพร่ข่าวไปถึง ทำให้ทุกคนตื่นเต้นกับดินแดนแห่งใหม่ที่พวกเขาขนานนามให้ว่า #เซียมหล่อกก ผู้คนจึงพากันอพยพหวังไปตายเอาดาบหน้าโดยมีเสื่อผื่นหมอนใบเป็นสมบัติติดตัว เพื่อเผชิญกับโชคชะตาที่อาจร้ายหรือดี คำตอบกำลังรออยู่ในอนาคต?
3
พาหนะที่ใช้ในการเดินทางสมัยนั้นยังไม่ทันสมัยเช่นยุคปัจจุบันมีแต่เรือสำเภาของจีนที่มีสภาพไม่สู้แข็งแรงพอ การเคลื่อนตัวจำเป็นต้องอาศัยดินฟ้าอากาศช่วยอำนวย ดังนั้นการเดินทางไปมาระหว่างเมืองจีนับเมืองไทยปี่หนึ่งมีแค่ ๒ ช่วงคือ เริ่มตั้งแต่เดือนกันยายนจนถึงเดือนพฤศจิกายนอันเป็นฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งมีลมตะวันออกเฉียงเหนือพัดสู่ทะเลใต้ ส่วนเรือสำเภาที่แล่นกลับจากเมืองไทยนั้น จะต้องเดินทางระหว่างเดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคมซึ่งเป็นฤดูร้อน มีลมตะวันออกพัดกลับมาประเทศจีน การเดินทางไปมาแต่ละครั้งต้องเสียเวลาเป็นแรมเดือน อย่างน้อยก็ครึ่งเดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพบลมดีหรือลมไม่ดี ธรรมชาติจึงเป็นตัวกำหนด หนึ่งในจำนวนชาวจีนที่อพยพมาอยู่เมืองไทยในยุคนั้น มีสามีภรรยาแห่งตระกูลโค้วคู่หนึ่งรวมอยู่ด้วย และได้มาปักหลักทำกินอยู่เมืองไทยจนกระทั่งกำเนิดบุตรชายคนหนึ่งนาม #โอวตี่_แซ่โค้ว
1
ธรรมเนียมคนจีนในยุคนั้น มีการติดต่อกับญาติพี่น้องที่อยู่เมืองจีนเพื่อถามสารทุกข์สุกดิบ อีกทั้งส่วเงินทองไปให้ใช้จ่าย การสื่อสารที่นิยมมาตลอดได้แก่ ‘การส่งโพย’ หรือเทียบได้กับธนาณัติในปัจจุบันต่างกันตรงที่ตัวแทนเป็นบุคคลที่ได้รับความเชื่อใจ มิใช่หน่วยงานของรัฐบาล ทางเมืองจีนในขณะนั้นเกิดเหตุการณ์วุ่นวายอยู่บ่อยครั้ง มีทั้งความขัดแย้งในกลุ่มผู้นำประเทศและการคุกคามจากประเทศมหาอำนาจแถบยุโรป ญาติผู้ใหญ่ของโอวตี่ที่เมืองจีนมีอาม่าแก่ๆ อยู่เพียงคนเดียว เมื่อพ่อแม่โอวตี่มีบุตรอีกคนเป็นหญิงจึงได้ส่งโอวตี่ไปอยู่เป็นเพื่อนอาม่า เป็นตัวแทนพ่อแม่ที่อยู่เมืองไทย
ขณะนั้นโอวตี่ยังมีอายุน้อยไม่เดียงสา ผู้เป็นอาม่ามีความรักความเอ็นดูสงสารที่ต้องห่างพ่อแม่มาตั้งแต่เด็ก รสชาติแห่งการพลัดพรากจากพ่อแม่ ผู้เป็นอาม่าย่อมทราบดีกว่าใครดังนั้นการขาดความรักจากพ่อแม่ โโอวตี่ยิ่งได้รับจากอาม่าเพิ่มเป็นทวีคูณ ไม่ว่าสิ่งใดที่โอวตี่ต้องการผู้เป็นอาม่าจะต้องพยายามหาให้ตามความประสงค์ เด็กชายโอวตี่จึงถูกตามใจมาตั้งแต่เด็ก แม้หาใช่เด็กที่ขาดความอบอุ่นโดยตรง แต่จะเป็นเด็กที่มีปัญหาตามประสาผู้ถูกพ่อแม่ทอดทิ้ง เช่น ความน้อยเนื้อต่ำใจ ทำไมพ่อแม่จึงไม่รัก ทีน้องทำไมอยู่กับพ่อแม่ได้ สิ่งเหล่านี้มีส่วนสร้างให้โอวตี่เป็นคนเจ้าอารมณ์ ยามต้องการอะไรได้ไม่ทันใจจะโกรธ สิ่งของใดได้มาไม่ถูกใจก็ขว้างทิ้งความเป็นเด็กเสียนิสัยเอาแต่ใจได้เสริมให้มีโทสะร้ายก้าวร้าว บางวันอาม่าออกจากบ้านไปตลาด โอวตี่ร้องไห้จะตามไปด้วยแต่ไม่ยอมเดิน ต้องขี่หลังไปผู้เป็นอาม่าก็ตามใจทุกครั้ง เวลาขออีแปะซื้อขนมหากไม่ได้อย่างใจก็ดุด่าทิ้งอาม่าตีอาม่า!
2
อาม่าได้แต่เอามือปัดป้องแล้วหัวเราะชอบใจ กลับเห็นเป็นความน่ารักของเด็ก โอวตี่พลัดพรากจากพ่อแม่ตั้งแต่เด็ก ไม่รู้ว่าพ่อแม่อยู่ที่ไหนเคยถามหากับอาม่า อาม่าฟังแล้วก็ดึงตัวหลานเข้ามากอดพร้อมกับตอบด้วยเสียงเศร้าซึมสีหน้าหมอง
“พ่อแม่ของหลานอยู่ที่เมืองไทย”
ปกติโอวตี่เป็นเด็กร่าเริง ชอบสนุกและซุกซน แต่เรื่องการเรียนหนังสือหาได้สนใจกลับชอบหนีโรงเรียนไปกับเพื่อนเกเร เที่ยวจับปลากับเล่นเชิดสิงห์โต เด็กรุ่นราวคราวเดียวกันส่วนมากพากันยกย่องให้โอวตี่เป็นผู้นำหรือเป็นหัวโจก เพราะความเป็นคนใจกว้างปนเกเรชอบทำหน้าใหญ่ใจโต เป็นเจ้ามือเลี้ยงเพื่อนอยู่เสมอบางครั้งแอบขนอาหารที่บ้านโดยไม่ให้อาม่ารู้ แล้วนำไปแจกเพื่อนๆ หากหมู่บ้านใดมีงานทิ้งกระจาด มีงิ้ว มักหนีอาม่าไปเที่ยวข้ามวันข้ามคืนทำให้อาม่าตกใจต้องวานผู้คนออกติดตามอยู่หลายวันกว่าจะพบ
2
ครอบครัวของโอวตี่ที่เมืองจีนมีแค่ ๒ คนคือ อาม่ากับโอวตี่ ธรรมเนียบจีนชาวจีนที่แซ่เดียวกันในตำบลนิยมร่วมแรงร่วมใจกันสร้างศาลต้นตระกูล เพื่อเซ่นไหว้แสดงความเคารพบรรพบุรุษซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดลูกหลาน ปีหนึ่งจะมีงานประจำปีที่ศาลโดยให้ลูกหลานในหมู่บ้านเดียวกันมากินเลี้ยงอย่างสนุกสนาน เชื่อมความสามัคคีเสมือนหนึ่งพี่น้องร่วมสายเลือดเดียวกัน พร้อมกับมีซองใส่เงินแจกพวเด็กๆ ในงานนี้เด็กชายโอวตี่จะได้รับรับเชิญให้เป็นตัวแทนของพ่อ เนื่องจากโองตี่กับอาม่ามีฐานะยากจน อยู่ด้วยกันแค่สองคนเท่านั้น พวกญาติๆ ในตำบลเดียวกันจึงนำสิ่งของและอาหารมาส่งให้อยู่เสมออีกทั้งพ่อแม่ที่อยู่ทางเมืองไทยยังส่งเงินมาให้ใช้อยู่ตลอดเวลาชีวิตความเป็นอยู่ของโอวตี่และอาม่าไม่สู้เดือดร้อนเท่าใดนัก
1
จนกระทั่งสงครามกลางเมืองได้อุบัติขึ้น ระหว่าง #เมาเซตุง หัวหน้าพรรคคอมมิวนิสต์ กับ #จอมพลเจียงไคเช็ค หัวหน้าพรรคก๊กมินตั๋ง ทั้งสองฝ่ายนำกำลังเข้าสู้รบกันเพื่อแย่งครองแผ่นดินใหญ่ ขณะเดียวกันควันสงครามโลกครั้งที่ ๒ เริ่มคุกรุ่นขึ้นทางแถบยุโรป โดยมี #อด๊อฟฮิตเลอร์ แห่งพรรคนาซี ประเทศเยอรมันเปิดเกมศึกหวังจะเป็นประเทศมหาอำนาจครอบครองดินแดนแถบยุโรปทั้งหมดไว้ในอำนาจ ส่วนประเทศญี่ปุ่นคิดจะเป็นประเทศมหาอำนาจครอบครองแถบเอเชียบูรพา โดยญี่ปุ่นเองก็เคยรบชนะจีนเมื่อคราวกรณีพิพาทที่ลูกเกาเฉียว หรือสะพานมาร์โคโปโล อันอยู่ถัดจากชานเมืองปักกิ่งออกไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ ๑๑ ไมล์ จนกลายเป็นศึกติดพัน กองทัพเรือกับกองทัพบกญี่ปุ่นยกพลเข้ายึดแผ่นดินจีนทำให้การคมนาคมติดต่อการค้าได้รับผลกระทบกระเทือนอย่างหนัก คนจีนบนแผ่นดินใหญ่ต่างได้รับความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส อาหารการกินขาดแคลน ทุกคนเพียงเอาตัวรอดได้ย่อมนับว่าโชคดี ไม่มีใครสามารถช่วยใครได้ราคาข้าวของเครื่องใช้พุ่งสูงขึ้นลิบลิ่ว
ทางด้านพ่อแม่โอวตี่ที่อยู่เมืองไทยไม่สามารถติดต่อหรือส่งเงินมาให้ใช้อย่างเคย โอวตี่กับอาม่าขาดเงินและอาหารถึงกับเอาเม็ดลิ้นจี่มาตำป่นเป็นแป้ง แล้วคลุกกับรำข้าวรับประทานเพื่อประทังชีวิตให้อยู่รอดไปวันๆ ทุกตำบลทุกหมู่บ้าน ยามประสบกับภัยสงคราม ความกันดารความแห้งแล้งมีอยู่ทั่วไป บางวันโอวตี่ต้องออกเดินทางจากหมู่บ้านไปไกลๆ เพื่อเที่ยวขออาหารตามบ้านนำมาเลี้ยงปากท้องตนกับอาม่า สำหรับอาม่ามีหน้าที่เฝ้าบ้านคอยหลานกลับ บางครั้งอาหารได้มาน้อย อาม่าถึงจะหิวแค่ไหนก็ไม่ยอมกินเสียสละให้หลานกินคนเดียวโดยอ้าง...
“อาม่าแก่แล้ว มีชีวิตอยู่ไม่ได้นานหรอก กินเสียของเปล่าๆ หลานกินเถิดจะได้โตเร็วๆ แล้วกลับไปหาพ่อแม่ที่เมืองไทย จะได้ไม่ลำบากเหมือนอยู่ที่นี่”
โอวตี่เป็นเด็กเกเรและซุกซน เคยแสดงอาการเกรี้ยวกราดกับอาม่าเสมอ แต่ในส่วนลึกของจิตใจกลับมีความเคารพและรักอาม่า
“ผมยังเด็ก มีร่างกายแข็งแรง พอทนได้ อาม่าซีแก่แล้ว คงอดอาหารไม่ได้ กินเถิด...ถ้าอาม่าเป็นอะไรไป ผมจะอยู่กับใครเล่า”
สมัยนั้นโอวตี่เป็นเด็กที่ผ่านเหตุกราณ์ร้ายๆ มาไม่น้อย พอเติบโตสู่วัยรุ่นจึงมีจิตใจที่แข็งกระด้าง เหี้ยมเกรียม ไม่เคยหลั่งน้ำตาให้กับใครในชีวิต นอกจากอาม่าคนเดียว
เมืองจีนในช่วงนั้นไม่แตกต่างับเมืองนรกเท่าใดนัก ผู้คนที่เดินตามถนนล้วนผอมโซหน้าซีดเพราะขาดอาหารสภาพร่างกายมีแต่หนังหุ้มกระดูก มีซี่โครงขึ้นเป็นรอยนูน หายใจทีเห็นผิวหนังพองยุบได้ชัดเจน ตลอดเวลาจึงมีคนล้มลงด้วยหมดกำลัง บางคนหิวจนหน้ามืดตาลายอยู่กลางถนน ตามถนนไม่มีหมาวิ่ง ในหมู่บ้านไม่มีสัตว์เลี้ยงเพราะพวกมันถูกฆ่าตายเพื่อนำไปเป็นอาหารเลี้ยงมนุษย์. เมื่อกองทัพแห่งองค์สมเด็จพระจักรพรรดิ์ญี่ปุ่นเคลื่อนกำลังเข้ายึดดินแดนต่างๆ ของจีน ทำให้ศึกกลางเมืองยุติชั่วคราว รวมตัวกันต่อสู่กับข้าศึกต่างชาติ ถึงกระนั้นยังไม่อาจต้านทานความเข้มแข็งของกองทัพญี่ปุ่นได้ ผลที่ได้รับคือ ถูกฆ่าตายเรียบพร้อมทั้งเผาหมู่บ้านทิ้ง ยามศึกสงครามแบบนี้ ไม่มีใครนึกถึงมนุษยธรรมและไม่มีใครพูดถึงเรื่องศีลธรรม
เมื่อชาวบ้านทุกคนขาดที่พึ่ง จึงหันมาอ้อนวอนและยึดเหนี่ยวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทุกแห่งหนมีการทรงเจ้าเข้าผี ถามเหตุการณ์ความเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้ามเพื่อเตรียมหนีเอาตัวรอด ในหมู่บ้านจึงเหลือแต่ผู้เป็นคนสำคัญ อันชาวบ้านนับถือ หมู่บ้านที่โอวตี่อาศัยอยู่ตั้งอยู่ที่ตำบลก๊วยจู๊เลี้ยว อำเภอโผ้วเล้ง เขตมณฑลกวางตุ้ง ใกล้กับเมืองซัวเถา เป็นสถานที่ไม่สู้สำคัญนักจึงไม่ถูกทหารญี่ปุ่นบุกเข้ายึดทันที แต่ในไม่ช้าคงบุกเขามาแน่ ผู้นำหมู่บ้านได้เรียกร้องให้ชาวบ้านมาประชุมกันที่ศาลบรรพบุรุษตระกูลโค้ว ซึ่งเคยใช้เป็นสถานประกอบพิธีและโรงเรียนประจำหมู่บ้าน เมื่อพวกผู้ใหญ่มาครบทุกคน ผู้เป็นประธานได้เข้าไปจุดธูปเทียนและคุกเข่าลงกราบบรรพบุรุษขอให้ช่วยปกป้องคุ้มครองให้หมู่บ้านพ้นจานภยันตราย ต่อจากนั้นได้ประชุมกันเกี่ยวกับทหารญี่ปุ่นจะบุกมาถึงหมู่บ้าน ควรหาวิธีหลีกเลี่ยงอย่างไรถึงจะปลอดภัยจากความโหดร้ายของทหารลูกพระอาทิตย์
ถ้าสู้ ชาวบ้านไม่มีอาวุธทันสมัย การนำจอบเสียบพลั่วพลองไปต่อสู้ เท่ากับเอาไข่ไปกระทบหิน ชะตากรรมคงลงเอยแบบเดียวกับหมู่บ้านอื่นๆ พอพิจารณาถึงข้อดีและข้อเสียแล้วทุกคนหันมาลงความเห็น เมื่อรู้ตัวสู้ไม่ได้ควรยอมแพ้ โดยทำการอ่อนน้อมต้อนรับทหารญี่ปุ่น คราวนี้ปัญหาอยู่ที่ใครจะเป็นผู้อาสาไปติดต่อยืนต้อนรับทหารญี่ปุ่น เรื่องนี้ไม่ผิดจากนิทานสอนเด็ก เรื่องหนูเอาลูกกระพรวนไปผูกคอแมว กิตติศัพท์ความทารุณโหดร้ายของทหารญี่ปุ่นที่มีต่อคนจีน ใครอาสารับหน้าที่เท่ากับขุดหลุมฝังตัวเอง ทำให้ทุกคนพากันนิ่งเฉย.......
1
เปี๊ยก จักรวรรดิ์
โฆษณา