2 ก.ย. 2020 เวลา 14:02 • ไลฟ์สไตล์
เทคนิคการจิบไวน์
หลังจากที่คุณได้อ่านหลายๆบทความก่อนหน้า มาถึงตอนนี้คุณคงทราบเป็นอย่างดีแล้วว่า ไวน์เป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอร์ที่ต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ในการดื่มด่ำ ดังนั้นก่อนที่คุณจะเริ่มดื่มไวน์สักแก้ว มีสิ่งที่คุณควรรู้เล็กๆน้อยๆ ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้เริ่มต้นดื่มไวน์ หรือเป็นนักดื่มไวน์มืออาชีพ การจิบไวน์ของคุณจะมีอรรถรสมากขึ้น หากคุณปฏิบัติตามแนวทางง่ายๆต่อไปนี้ คือ
“ดู ดม อม กลืน”
2
1.การดู
เริ่มต้นขั้นตอนแรกด้วยการดู ให้คุณเอียงแก้วไวน์เหนือพื้นผิวสีขาวไม่ว่าจะเป็นผ้าคลุมโต๊ะ ผ้าเช็ดปากหรือกระดาษทิชชู่ แล้วมองผ่านไวน์ลงไปบนพื้นผิวนั้นๆ เพื่อที่จะมองหาสิ่งต่างๆต่อไปนี้
- สี(color) คุณอาจจะประหลาดใจ ถ้าได้รู้ว่า สีของไวน์สามารถบอกอะไรได้มากกว่าแค่สีแดงคือไวน์แดง สีขาวคือไวน์ขาว ยกตัวอย่างเช่น
- ไวน์แดงที่มีสีเข้ม น่าจะทำมาจากองุ่นพันธุ์เปลือกหนา เนื่องจากสีแดงของไวน์แดง ได้มาจากสีของเปลือกองุ่นแดงหรือดำ ยิ่งมีเปลือกที่หนามาก สีก็ยิ่งออกมามากจึงทำให้ไวน์มีสีเข้ม
- องุ่นที่ปลูกในสภาพอากาศที่ร้อนกว่า จะสีเข้มกว่าองุ่นที่ปลูกในสภาพอากาศเย็น
- ไวน์แดงที่มีสีเริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มอิฐ(แดงซีด) เป็นสัญญาณของไวน์ที่เก็บมานาน
- ไวน์ขาวใหม่ๆจะใสเกือบไม่มีสี ยิ่งเก็บนาน สียิ่งเหลืองขึ้น เข้มขึ้น จากการสัมผัสและทำปฏิกริยากับอากาศ(oxidation)
- ความหนืด(viscosity) ดูจากน้ำตาไวน์หรือขาไวน์ กล่าวคือ หากขาไวน์ไหลช้าบ่งบอกถึงระดับแอลกอฮอล์ที่สูง อธิบายได้จาก Marangoni effect หรือมีน้ำตาลอยู่มากก็จะหนืดมาก
1
- ความขุ่นใส(clarity) ดูว่าไวน์มีตะกอนหรือไม่ ตะกอนอาจทำให้ไวน์ของคุณรสชาติแย่ลง
2.การดมกลิ่น
การดม สำคัญไม่น้อยกับรสชาติ เปรียบง่ายๆ หากคุณรับรสด้วยลิ้นเพียงอย่างเดียว คุณจะไม่สามารถแยกรสหวานที่เกิดขึ้นว่าเป็นวนิลา หรือคาราเมลได้ เนื่องจากต่อมรับรสของเราจะรับรู้แค่ว่าเป็นรสหวานเท่านั้น การดมไวน์นั้นเริ่มจาก
- ดมว่าไวน์เสียหรือไม่(wine faults) โดยไวน์เสียจะมีกลิ่นต่างๆที่แปลกไป เช่น กลิ่นกระดาษลังเปียก กลิ่นสุนัขเปียก กลิ่นชื้นๆ เป็นต้น
- จากนั้นให้คุณแกว่งแก้วไวน์เป็นวงกลม(swirl) ให้ไวน์หมุนอยู่ในแก้วของคุณเหมือนน้ำวน แล้วนำจมูกเข้าไปในแก้วไวน์ สูดแรงๆ(sniff) 2-3ครั้ง การแกว่งแก้วจะทำให้กลิ่นของไวน์ระเหยออกมามากขึ้น เนื่องจากแอลกอฮอล์ในไวน์ระเหยได้ง่าย ก็จะพากลิ่นต่างๆของไวน์ขึ้นมาด้วย หลังจากได้กลิ่น ให้คุณบรรยายกลิ่นที่ได้ออกมาว่าคล้ายกับอะไร เช่น กลิ่นผลไม้อะไร อย่าง lemon blackberry pineapple หรือ black currant กลิ่นพริกไทย กลิ่นสมุนไพร กลิ่นดอกไม้ กลิ่นชอคโกแลต กลิ่นวานิลา เป็นต้น
3.การอมไวน์
การอมไวน์ไว้ในปากช่วยทำให้ต่อมรับรสที่ลิ้นของคุณทำงานอย่างเต็มที่ เพราะทุกต่อมจะสัมผัสกับไวน์ เริ่มต้นโดยให้คุณจิบไวน์คำใหญ่ๆ อมไว้ 3-5 วินาที จึงค่อยกลืน และขณะที่อมอยู่ให้สูดอากาศเข้าทางปากเหมือนซดน้ำแกง จะทำให้คุณได้กลิ่นของไวน์จากทางหลังเพดานปากที่เชื่อมกับโพรงจมูกด้วย
4.การกลืน
การกลืน ให้คุณค่อยๆกลืนช้าๆ เพื่อทำให้รสชาติของไวน์ยังคงหลงเหลืออยู่ในปากนานที่สุด หลังจากกลืนแล้วคุณจะยังได้รสชาติที่หลงเหลืออยู่หลังกลืน เรียกว่า Aftertaste ซึ่งว่ากันว่า ไวน์ที่ดีจะมี Aftertaste หลงเหลืออยู่นานได้ถึงหลักนาที
หลังจากคุณได้จิบไวน์ตามขั้นตอนต่างๆเรียบร้อยแล้ว ให้คุณสรุปรวมการจิบไวน์ครั้งนี้ของคุณ ว่ารสชาติโดยรวมเป็นอย่างไร และให้คะแนนไวน์ด้วยตัวคุณเอง
หมั่นฝึกฝนการจิบไวน์ของคุณอย่างต่อเนื่อง และทำการ blind tasting หรือการจิบไวน์แบบไม่ดูขวด โดยการนำขวดมาห่อกระดาษไว้ แล้ว discuss รสชาติกับเพื่อนๆของคุณ จะช่วยให้คุณมีประสบการณ์และประสาทรับรสที่ดีขึ้น
เป็นอย่างไรกันบ้างครับ เรื่องของไวน์ยังมีอะไรที่สนุกอีกมากครับ หวังว่าคุณจะได้รับประโยชน์จากบทความนี้ไม่มากก็น้อย
โปรดติดตาม เกร็ดความรู้เรื่องไวน์ ไปกับ Wine story ในบทความหน้า
แล้วพบกันครับ
Wine story by Dr.Art
Reference
Marnie Old.  ‪Wine: A Tasting Course: Every Class in a Glass‬.  Philadelphia; 2014.
โฆษณา