2 ก.ย. 2020 เวลา 18:58 • ไลฟ์สไตล์
จากงานแบงค์ที่ทำมาเกือบ 8 ปี คืองานสุดท้ายก่อนที่ผมจะย้ายมาอยู่ที่อังกฤษ...การที่ผมเปลี่ยนทุกอย่างในชีวิตเพื่อมาเริ่มต้นใหม่ที่นี่ในวัย 39 ไม่ใช่เรื่องง่าย มันยากกว่าที่ผมคิดไว้เยอะ เคยจินตนาการนะครับว่า ถ้าไม่มีงานอะไรทำ ก็จะเปิดครัวที่บ้าน ทำอาหารกล่องขายให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย...หยุด! ตื่น! มันไม่ง่ายอย่างนั้น
ด่านแรกก่อนที่ผมจะสามารถหางานได้ ผมต้องขอ NI หรือ National Insurance Number โดยปกติถ้าเป็นคนBritish จะได้ NI โดยอัติโนมัติเมื่ออายุ16ปี แต่ถ้าเป็นชาวต่างชาติที่เป็น Non EU ต้องทำการขอ เพื่อที่จะเป็นหลักฐานในการทำงาน ครอบคลุมไปถึงเรื่องของการเสียภาษี ซึ่งสามารถโทรติดต่อกับทางเจ้าหน้าที่ได้โดยตรง และใช้เวลาดำเนินการประมาณ 1 สัปดาห์ และถ้าในอนาคตต้องการเปลี่ยนงาน หรือได้งานใหม่ คุณต้องกรอก NI Number ทุกครั้งในใบสมัคร
ภาษา....เป็นปัญใหญ่สำหรับผมอีกเช่นกัน จากที่ผมเคยใช้ภาษาอังกฤษ ในการสื่อสารตอนอยู่เมืองไทย ติดต่อประสานงาน ไม่มีปัญหา ผมมีความมั่นใจในระดับนึงเลยทีเดียว แต่เอาเข้าจริงๆ แล้วด้วย สำเนียงของชาวเอเชีย ที่ไม่คุ้นชิน ก็ทำให้สิ่งที่คิดไม่ง่ายเลย ตอนนั้นผมยังสูบบุหรี่อยู่ แต่ปัจจุบัเลิกมา2 ปีครับ ผมเดินไปซุปเปอร์ เพื่อจะซื้อบุหรี่ พนักงานไม่เจ้าใจที่ผมพูด แถมทำเสียงแข็งและท่าทางไม่พอใจใส่เราอีก ถามว่าอยู่มา5ปีเป็นยังไง ดีขึ้นครับเรื่องภาษา พอเอาตัวรอดได้
1
กว่า 2 เดือนที่ผมพยายามหางาน ทุกอย่างดูแปลกไปหมด จากคนที่เคยมีงานทำ ต้องมาอยู่บ้าน เพื่อนก็ไม่มี ออกไปข้างนอกก็สื่อสารกับเค้าไม่รู้เรื่อง ถามตัวเองนะครับว่า "กูมาทำอะไรที่นี่"...เหงาจับหัวใจครับ คิดถึงบ้าน นึกถึงเพื่อนและสังคมที่จากมา สิ่งที่ตามมาคือผมกลายเป็นคนขาดความมั่นใจในตัวเอง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยเป็นเลย...แค่สู้นะครับ มาถึงนี่แล้วถอยหลังไม่ได้
งานสุดท้ายก่อนมาอยู่อังกฤษ
งานแรกในอังกฤษ...เมืองผู้ดีที่หลายคนเคยได้ยินมา หลายคนอาจจินตนาการถึงความสวยหรู ผู้คนที่พูดจาไพเราะ มีมารยาทดีเหมือนคนชั้นสูงที่เราเคยเรียนมาในห้องเรียน...ความจริงก็คือไม่ว่าจะชนชาติไหน พูดภาษาอะไรก็ไม่ต่างกัน ยังมีความเป็น"คน" เหมือนกัน
ดีใจ แทบจะเลี้ยงฉลองกันเลยทีเดียวกับงานแรก ที่ร้าน Harvester ในตำแหน่งเด็กเคลียโต๊ะอาหาร ต้องขอขอบคุณ John เพื่อนของแฟนที่ทำงานอยู่ที่นั่นเป็นคนแนะนำไปให้สมัคร ตื่นเต้น เราจะมีงานทำแล้ว ถึงแม้จะเป็นตำแหน่งพนักงานเคลียโต๊ะอาหาร ผมก็ยังมีหวังว่าจะได้มีเงินเข้ามาบ้าง...กว่าสองเดือนแล้วที่ไม่มีรายรับเข้ามาเลย...
งานไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งอะไร งานอะไร ล้วนมีคุณค่าในตัวเอง ผมไม่เคยคิดว่าเราเคยทำอะไรตอนอยู่เมืองไทย ผมอยู่กับปัจจุบัน...แม้งานที่ได้จะต่างจากที่ผมคิด แต่ไม่เป็นไร นี่คือก้าวแรกที่ผมมาเริ่มต้นชีวิตในต่างแดน ผมได้สัญญาแบบ Zero Contact นั่นคือ อาทิตย์นึงเราไปทำงาน ถ้าร้านเงียบ ทางร้านสามารถส่งกลับได้เลย หลายครั้งที่ไปถึงที่ทำงานเสียค่ารถฟรี เพราะร้านเงียบ หรือบางครั้งทำงานสิบชั่วโมงยาวไม่ได้พัก เพราะร้านยุ่ง...ผมได้ค่าแรงขั้นต่ำตอนนั้นชั่วโมงละ £ 6.50
งานแรกเป็นเด็กเคลียโต๊ะอาหารที่ Harvester
....จำได้ว่าวันแรกทำงานเต็ม 8 ชั่วโมง เป็นวันที่ผมจะไม่มีวันลืม เป็นบทเรียนใหม่ที่ผมต้องเผชิญ และต้องผ่านไปให้ได้....ผมไม่รู้เลยว่าข้างหน้าจะพบเจอกับอะไร...บอกตามตรงนะครับว่า ผมนึกไม่ถึงว่าสิ่งที่เจอจะหนักขนาดนี้..... ช่วงที่ผมเริ่มงานเป็นช่วงซัมเมอร์ ร้านอยู่ติดทะเล ไม่ต้องบอกนะครับว่าคนจะเยอะขนาดไหน....ผู้จัดการที่สัมภาษณ์ผม และรับผมเข้าทำงานเป็นคนน่ารัก เค้าพาผมไปแนะนำตามแผนกต่างๆ ทั้งในครัว บาร์ และพนักงานเสริฟท์ พาดูรอบร้าน แผนที่โต๊ะ สิ่งที่ผมต้องรับผิดชอบมีอะไรบ้าง
ผมถูกรับน้องตั้งแต่เริ่มก้าวเท้าลงพื้นที่....ขอบอกก่อนนะครับว่าเรื่องที่ผมเจอเป็นเรื่องของคนร่วมงาน ไม่ใข่ตัวสถานที่หรือบริษัทแต่อย่างใด ร้านอาหารที่ผมทำค่อนข้างใหญ่พอสมควร มีโต๊ะด้านนอกร้านด้วยเกือย10 โต๊ะ ส่วนในร้านจะมีการแบ่งพื้นที่ในร้านออกเป็นส่วนๆประมาณ5ส่วน โดยมีพนักงานเสริฟท์ประจำในแต่ละโซน
ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าแต่ละโซน พนักงานที่รับผิดชอบพื้นที่ของตัวเอง จะได้Tip เพียงคนเดียว โดยไม่ต้องเอามารวมกันและแบ่งกันทั้งร้าน...ซึ่งตรงนี้แหละครับ งานหนักจะตกอยู่ที่พนักงานเคลียโต๊ะ ซึ่งมีผมทำอยู่คนเดียว.....เงินไม่เข้าใครออกใคร ผมเข้าใจได้ พนักงานทุกคนจึงต้องการเอาแขกมาลงโต๊ะตัวเองให้ได้มากที่สุด เพื่อจะได้รับทิป โดยที่ตัวผมเองไม่มีส่วนได้รับอะไรเลย พนักงานเคลียโต๊ะเป็นตำแหน่งเดียวในร้านที่ไม่ได้รับทิป....เกิดอะไรขึ้นล่ะครับ ทุกคนเดินมาบอกผมในเวลาเดียวกันให้ไปช่วยเคลียโต๊ะ ไม่ใช่เป็นการขอร้องนะครับ แต่เป็นคำสั่ง!!
1
ผมยืนงง 😫😫ยอมรับว่าสับสน เพราะไม่รู้จะเริ่มทำให้ใครก่อน เริ่มจากตรงไหนดี...ผมตัดสินใจเริ่มต้นจัดการโต๊ะอาหารที่ดูเละเทะที่สุด....ยังไม่ทันไร เพิ่งเริ่มต้นเคลียจานที่มีเศษอาหารกระจายอยู่เต็มโต๊ะและใต้เก้าอี้ ผมก็ได้ยินเสียงของพนักงานคนนึง ที่เราเพิ่งไปทักทายแนะนำตัว ท่าทางนางเป็นมิตรมาก ผมคิดในใจว่าคนนี้เป็นคนน่ารัก ..."นี่ชั้นบอกให้เธอไปเช็ดโต๊ะให้ชั้น...ชั้นพูดภษาอังกฤษนะฟังไม่เข้าใจหรือไง"....ผมยืนอึ้ง ไม่อยากเชื่อหูเลยว่าจะเจอคำพูดแบบนี้
1
"จะให้ชั้นต้องพูดอีกรอบนึงใช่มั้ย" เค้ามองเหมือนผมไปฆ่าใครมา น้ำเสียง ท่าทางที่แสดงออก บ่งบอกถึงการแบ่งแยกและดูถูกอย่างชัดเจน ผมเหมือนมีอะไรติดคอ พูดไม่ออก ตัวชา...ผมได้แต่ตอบกลับไปว่าขอทำโต๊ะนี้ให้เสร็จก่อน เดี๋ยวผมไปจัดการให้ พนักงานคนนั้นมองผมอย่างไม่สบอารมณ์ ผมก้มหน้าก้มตาจัดการกับโต๊ะแรก ซึ่งเป็นโต๊ะใหญ่กลม ขนาด 8 คนนั่ง ยังครับ ยังไม่จบ ! สักพัก พนักงานอีกคน ก็ตะโกนมาอีกฝากนึง"นี่..เธอหยุดตรงนั้น มาทำให้โต๊ะชั้นก่อน"
โต๊ะส่วนรอบร้าน จะมีสภาพแบบนี้เกือบทั้งหมด
วันแรกของผมยาวนาน...ทั้งยืน ทั้งยกจาน ตลอด8 ชั่วโมง ได้พักเบรกครึ่งชั่วโมง ก่อนจะต้องรีบกลับมาจัดการโต๊ะอีกเป็นสิบโต๊ะ.... แขนสองข้างอ่อนล้า เท้าปวดระบมจนแทบจะนอนไม่ได้...ยอมรับนะครับว่าคืนนั้นนอนแทบไม่ได้ ...."ต้องผ่านไปให้ได้" ผมบอกกับตัวเองในใจ....วันต่อไปของผมจะเป็นยังไง นี่เพียงแค่วันแรก เส้นทางการทำงานตลอด 5 ปี จนถึงวันนี้มีอะไรบ้าง ลองติดตามดูนะครับ
โฆษณา