หาตัววีรบุรุษ!
พอหาผู้ใหญ่ไม่ได้ จึงมองหาเด็ก โอวตี่เคยเป็นเด็กหัวโจก ทำอะไรชอบเป็นผู้นำในหมู่เด็กเสมอ คงเป็นประโยชน์ในงานครั้งนี้ได้บ้าง อีกทั้งโอวตี่มีญาติผู้ใหญ่อยู่แค่คนเดียว ไม่ต้องพะวักพะวงกับใครๆ พวกผู้ใหญ่ทุกคนเห็นดีด้วย พากันไปขออนุญาตอาม่าของโอวตี่ เพื่อให้หลานชายเป็นผู้ออกหน้าต้อนรับทหารญี่ปุ่นที่จะผ่านเข้ามา คมดาบซามูไรกับปากกระบอกปืนพวกญี่ปุ่น จึงเกรงถูกฆ่าตายเสียก่อนที่จะรู้เรื่อง นางจำใจตอบปฏืเสธแม้พวกผู้ใหญ่พยายามอ้อนวอน
ในที่สุด..ทุกคนหันมาพูดจาหว่านล้อมโอวตี่ เน้นให้เห็นถึงความสำคัญของหน้าที่นี้ เพราะเท่ากับช่วยคนทั้งหมู่บ้าน ขณะนี้ความอยู่รอดของทุกคนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเด็กน้อยผู้เดียว ถ้าไม่ไปต้องตายกันหมด หากไปยังพอมีทางรอดบ้าง โองตี่เป็นเด็กกล้าหาญ ได้ตอบตกลง อีกทั้งอ้อนวอนให้อาม่าอนุญาต พวกผู้ใหญ่ได้พยายามเกลี้ยกล่อมอีกครั้ง พูดจาหว่านล้อมให้เห็นความจำเป็น ถึงเวลาแล้วที่ควรแสดงการเสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ถ้าช้าไปไม่ทันการณ์แน่ ผู้คนจะตายกันทั้งหมู่บ้านเพราะไม่มีเวลาคิดอย่างอื่นและหมดหนทางแล้ว พวกทหารญี่ปุ่นนั้นหากชาวบ้านไม่ไปต่อต้านเขาก่อน เขาคงไม่ทำอันตราย อาม่าได้ฟังเหตุผลหลายฝ่ายก็คล้อยตามโดยเล็งเห็นประโยชน์ส่วนรวมเป็นใหญ่ จึงตัดสินใจอนุญาตให้หลานชายไปดำเนินการตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ เพราะใกล้เวลาทหารญี่ปุ่นเข้ามาถึงหมู่บ้านแล้ว
หลังจากนั้นเด็กชายโอวตี่ถูกจับแต่งตัวให้เรียบร้อยมือถือธงพื้นขาว มีวงกลมสีแดงอยู่ตรงกลางซึ่งเป็นธงพระอาทิตย์ของชาติญี่ปุ่นไปรออยุ๋ตรงปากทางเข้าหมู่บ้านเพื่อคอยต้อนรับทหารญี่ปุ่นด้วยจิตใจที่หวาดผวาระคนตื่นเต้น ด้วยไม่รู้เหตุการณ์ข้างหน้าจะมีอะไรเกิดขึ้น เมื่อกองทหารญี่ปุ่นเคลื่อนเข้าใกล้จนมองเห็นชัดเจน สามารถนับจำนวนได้ประมาณ ๕๐๐-๖๐๐ คน หัวใจของโอวตี่เต้นไม่เป็นจังหวะอดหันกลับไปมองพวกผู้ใหญ่ที่คุมเชิงอยู่ด้านหลังไม่ได้ แต่ไม่เห็นแม้เงาของใครสักคนทุกคนหลบหายไปจากที่นั่นหมดสิ้น ทำให้ความกล้าของโอวตี่แทบกระเจิง
พอนึกถึงภาระแสนยิ่งใหญ่ที่รับมอบหมายมา ไม่สมควรพังด้วยน้ำมือตน จึงแข็งใจยืนโบกธงให้ทหารญี่ปุ่นเห็น ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่โอวตี่ยืนเผชิญกับคมดาบและปลายกระบอกปืน อันอนาคตไม่มีใครรู้ล่วงหน้า เมื่อโอวตี่เติมใหญ่จะคลุกคลีอยู่กับอาวุธ เป็นจอมอาชญากรของประเทศไทยคนหนึ่ง พวกทหารญี่ปุ่นมองเห็นเด็กตัวเล็กอายุไม่เกิน ๑๐ ขวบ ยืนโบกธงชาติของตนด้วยท่าทางทะมัดมะแมง ใบหน้าที่บึ้งตึงก่อนหน้านั้นมลายไปสิ้น เปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มแจ่มใสแสดงความเป็นมิตรทหารญี่ปุ่นบางคนวิ่งเข้ามาอุ้มยกร่างโอวตี่ชูขึ้นสูง ส่วนพวกที่เหลือหันไปโบกมือกับเพื่อนๆ แสดงให้รู้ว่าหมู่บ้านนี้ไม่มีพิษภัย
ชาวบ้านที่แอบซุ่มดูสถานการณ์อยู่ห่างๆ ถอนใจด้วยความโล่งอกที่แผนการณ์ของพวกเขาสำเร็จสมเจตนารมณ์ ทุกคนพากันดีอกดีใจออกมาโค้งคำนับทหารญี่ปุ่นอย่างนอบน้อม เชื้อเชิญให้กองทหารญี่ปุ่นเข้าไปพักในหมู่บ้าน จัดการเลี้ยงดูให้ความสะดวกทุกประการ ด้านทหารญี่ปุ่นตั้งแต่ยกพลบุกเข้าแผ่นดินจีน ทุกแห่งมีแต่ต่อต้าน มีทั้งสู้รบกับลอบทำร้าย เมื่อมาพบกลุ่มที่เป็นมิตรด้วยต่างแสดงกิริยาเป็นกันเองเพื่อเอาใจคนจีน วานคนจีนช่วยแก้ข่าวที่ว่าทหารญี่ปุ่นดุร้ายนั้นไม่เป็นความจริง นอกจากนั้นยังร้องขอให้เด็กชายโอวตี่ถือธงญี่ปุ่นไปยังตำบลใกล้เคียง เพื่อเป็นตัวอย่างการแสดงความเป็นมิตรกับทหาร แล้วทุกคนจะได้อยู่กันอย่างเป็นปกติสุข ถ้าใครต่อต้าน ชีวิตกับบ้านช่องจะถูกเผาทำลายพินาศ เมื่อเห็นสู่รบไม่ได้แล้ว สู้รักษาเอาตัวรอดไม่ดีกว่าหรือ?
พรากตัววีรบุรุษ!
สำหรับเด็กชายโอวตี่เขาจดจำเหตุการณ์ครั้งนั้นเอาไว้ตลอดชีวิต แม้ตนมิได้ทำงานช่วยชาติโดยตรงแต่ยังสามรถรักษาชีวิตชาวบ้านทั้งตำบล พร้อมบ้านเรือนให้รอดพ้นเงื้อมมือศัตรูเผาผลาญจนเป็นเถ้าถ่าน ความภาคภูใจครั้งนี้ฝังอยู่ในจิตสำนึกของโอวตี่ ซึ่งมีผลทำให้เขาคิดอยู่เสมอว่าตนคือ #วีรบุรุษ โอวตี่จึงเกิดจิตอหังการไม่ยอมให้ใครมาแสดงอำนาจเหนือตน กระทั่งกล้าก่ออาชญากรรมขึ้นหลายครั้งหลายหนในเวลาต่อมา
ในเช้าวันที่ ๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ เครื่องบิน บี.๒๙ เอโนลาเกของกองทัพอาการสหรัฐอเมริกา จากฐานทัพทิเนียบ บรรทุกระเบิดปรมาณู บินด้วยความเร็วสูง ๙,๖๐๐ เมตร ไปทิ้งใจกลางเมืองฮิโรชิมา อาคารบ้านเรือนกว่า ๕๐,๐๐๐ หลังคาเรือนพังพินาศในพริบตามีผู้เสียชีวิตกว่า ๑๑๘,๐๐๐ คน
ในวันที่ ๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ ระเบิดปรมาณูลูกที่ ๒ ของสหรัฐอเมริกาได้ถูกนำไปทิ้งถล่มเมืองนางาซากิจนราบเป็นหน้ากลอง ผู้คนล้มตายจำนวนนับไม่ถ้วน อำนาจระเบิดปรมาณูทั้ง ๒ ลูก จึงช่วยยุติสงครามโลกได้อย่างรวดเร็ว
ในวันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ เวบาเที่ยงตรง (ตามเวลาท้องถิ่นญี่ปุ่น) สถานีวิทยุแห่งโตเกียวได้ออกประกาศพระบรมราชโองการของสมเด็จพระจักรพรรดิ์แห่งญี่ปุ่น ให้ทหารญี่ปุ่นยอมจำนนแก่ฝ่ายสัมพันธมิตร โดยปราศจากเงื่อนไข ทั้งให้วางอาวุธยอมแพ้ ดังนั่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส สหภาพโซเวียต และจีน ได้เป็นประเทศมหาอำนาจในครั้งนั้น
แม้สงครามโลกครั้งที่ ๒ สิ้นสุดลง แต่ภายในประเทศจีนยังคงแตกแยกกันเหมือนเดิม จอมพลเจียงไคเซ็ค นำพรรคก๊กมินตั๋ง ที่เรียก “จีนขาว” ต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์ ภายใต้การนำของเมาเซตุง และ จูเอนไล ซึ่งเรียกฝ่ายตนเองว่า “จีนแดง” เนื่องจากทั้งสองฝ่ายมีความเห็นขัดแย้งเกี่ยวกับการปกครอง คอมมิวนิสต์เรียกร้องให้รวมจีนเป็นสหภาพ ทั้งให้มีส่วนในการปกครองร่วมกับรัฐบาลกลาง มีอำนาจควบคุมมณฑลภาคเหนือที่ตนตีได้ แต่รัฐบาลก๊กมินตั๋งไม่ยอม สงครามกลางเมืองครั้งใหม่จึงอุบัติขึ้น จนฝ่ายคอมมิวนิสต์ได้ครองแผ่นดินใหญ่ ฝ่ายจอมพลเจียงไคเซ็คต้องถอยไปตั้งป้อมอยู่ที่เกาะไต้หวันตั้งแต่บัดนั้น
หลังจากสงครามโลกครั้งที่ ๒ สงบ การคมนาคมในประเทศจีนกับโลกภายนอกเริ่มสะดวกขึ้น พ่อแม่ของโอวตี่ที่อยู่เมืองไทยมีโอกาสได้ส่งเงินทองมาให้ใช้จ่ายดังเดิม แต่พอทราบข่าวเกี่ยวกับโอวตี่เป็นตัวแทนชาวบ้านเดินถือธงไปต้อนรับทหารญี่ปุ่น พลอยเกรงลูกชายจะได้รับอันตรายจากทางการจึงส่งคนรู้จักให้ไปรับตัวโอวตี่มาอยู่ที่เมืองไทย ยามนั้นโอวตี่มีความรักเมืองจีนเป็นชีวิตจิตใจ อีกทั้งอาม่าที่ตนรักสุดชีวิต พวกชาวบ้านล้วนรักและเอ็นดูเขายิ่งขึ้น จึงไม่ยอมกลับไปอยู่กับพ่อแม่ที่เมืองไทย เจตนานั่นกลับส่งผลให้โอวตี่เรียนรู้การหลบหนีครั้งแรกในชีวิต โดยซุกซ่อนตัวตามศาลเจ้า ยามที่มีผู้มารับตัวไปเมืองไทย แต่การหลบหนีไม่ต่างกว่าที่ชอบเล่นซ่อนหาของเด็ก มิอาจรอดพ้นจาการออกติดตามค้นหาของญาติๆ จึงถูกจับได้โดยถึงกับฉุดกระชากถูไปจากอกอาม่า ผู้เป็นอาม่าเองก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ เมื่อเป็นความประสงค์ของพ่อแม่โอวตี่ต้องการเอาตัวลูกกลับไปอยู่เมืองไทย
ผู้เป็นอาม่าสวมกอดหลานด้วยความสงสาร ร้องไห้คร่ำครวญคล้ายเกิดสังหรณ์
“จากกันครั้บนี้ ชาตินี้คงไม่มีโอกาสได้พบกันอีก”
โอวตี่ไม่เคยพบหน้าพ่อแม่มาก่อนตั้งแต่จำความได้ จึงไม่ยอมรับรู้ กลับเพิ่มความโกธรแค้นและชิงซังพ่อแม่มากขึ้น แม้ผู้มาพบตัวพยายามอธิบายอย่างไร ก็หาได้คลายพยศไม่ ความสงสัยต่างๆ เริ่มผุดขึ้นในสมองจนต้องถามตัวเอง ตอนเด็ก...ทำไมพ่อแม่เลี้ยงน้องได้แต่กลับปล่อยให้จนมาอยู่เมืองจีน? ตอนโต...เวลาอยากอยู่กับย่าที่เมืองจีน ทำไมพ่อแม่จึงให้กลับเมืองไทย? ผู้เป็นอาม่าปลอบใจหลานชายด้วยน้ำตาที่โอวตี่มิรู้ว่าจะได้เห็นเป็นครั้งสุดท้าย
“หลานไปอยู่กับพ่อแม่ที่เมืองไทยดีกว่าอยู่กับอาม่า เพราะจะได้มีความสุขสบาย ขืนอยู่กับอาม่าก็ไม่มีอะไรดีขึ้น อย่าห่วงอาม่าเลยอาม่าอยู่คนเดียวได้ ไปอยู่กับพ่อแม่ของหลานเถิด”
โอวตี่ถูกฉุดออกจากตำบลที่อยู่ เดินทางถึงเมืองซัวเถา แล้วขึ้นเรือกลไฟลำใหญ่ที่แน่นขนัดด้วยผู้โดยสาร ซึ่งแต่ละคนต้องหาที่นั่งที่นอนกันเอาเองตามพื้นเรือ โดยปูเสื่อจำกัดเฉพาะที่นอน ทุกคนต้องช่วยเหลือตัวเอง หรือไม่ก็ทำความรู้จักกับผู้โดยสารข้างเคียงไว้พึ่งพิงอาศัยกัน จวบเรือใหญ่ถอนสมอเปิดหวูดเสียงดัง เครื่องจักรเรือเริ่มทำงานเคลื่อนตัวเรือออกจากท่าซัวเถาอย่างช้าๆ มุ่งหน้าออกสู่ทะเลใหญ่ รอนแรมอยู่กลางทะเลข้ามวันข้ามคืน กระทั่งเสียงผู้โดยสารทั้งเด็กและผู้ใหญ่ส่งเสียงสำแดงอาการปิติยินดีเมื่อเห็นองค์เจดีย์สีขาวตั้งเด่นตระหง่านอยู่กลางน้ำอันเป็นเครื่องหมายบอก พอเรือผ่านปากแม่น้ำ ปรากฏเจ้าพนักงานภาษีและกรมตรวจคนเข้าเมืองขึ้นมาค้นในลำเรือไปตลอด จนเรือแล่นเข้าเทียบท่ากรุงเทพฯ ซึ่งติดกับวัดยานนาวา หรือบริษัทไทยเดินเรือทะเล
แม่ของโอวตี่เป็นคนจีนหัวโบราณ และยึดถือขนบธรรมเนียมแบบเก่าๆ อยู่ วันแรกที่โอวตี่มาถึง เขามิได้ถูกพาไปบ้านกลับพาไปพักอยู่ที่โรงแรมแห่งหนึ่งใกล้ๆ กับวัดสามจีน (วัดไตรมิตรฯ) รุ่งเช้ามีหญิงจีนคนหนึ่งเข้ามาหาโอวตี่ในโรงแรม แนะนำตัวเองเป็นญาติคนหนึ่งของเขา ที่มาวันนี้เธอจะพาเขาไปพบกับแม่บังเกิดเกล้า ซึ่งโอวตี่ยังไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย ครั้งมาถึงบ้านหลังหนึ่งหลังวัดหัวลำโพง เขาถูกนำเข้าไปในห้องที่มีหญิงวัยกลางคนนั่งคอยอยู่ก่อน และได้รีบคำแนะนำให้รู้จักหญิงวัยกลางคนนางนี้ แท้ที่จริงเป็น “แม่ผู้ให้กำเนิดโอวตี่” นั่นเอง
โอวตี่ไม่รู้ธรรมเนียมไทยจึงคุกเข่าทำความเคารพแบบจีน การได้พบแม่ในความหวังของโอวตี่คิดว่าเขาคงจะได้รับความรักอบอุ่นกว่าอยู่กับอาม่า กลับต้องผิดหวัง โอวตี่ถูกอาม่าตามใจจนเคยตัว มีนิสัยเกเรเสียเด็ก จึงถูกแม่กำหราบอยู่เสมอจนต้องกล่าวด้วยความรันทด
“ในสายตาของแม่ คอยแต่จะหาทางว่ากล่าวดุด่า บางครั้งถึงกับลงมือเฆี่ยนตี ผมหาความสุขไม่ได้ เมื่อครั้งผมอยู่กับอาม่าไม่เคยได้รับความทรมานใจ ถูกด่าถูกตีอย่างนี้ ในบ้านเรามีเพียง ๓ คน คือ แม่ น้องสาวของผม และตัวผม”
สำหรับเตี่ยของโอวตี่ไปทำการค้าอยู่ที่จังหวัดราชบุรี ต่อมาไม่นานโอวตี่จึงได้พบเตี่ยเป็นครั้งแรก ความรู้สึกประทับใจที่พบพ่อโอวตี่กล่าวท่ท่าปิติ
“เตี่ยเห็นผมเข้าก็ดีใจ ผมเข้าไปคุกเข่าเคารพ เตี่ยเป็นคนใจดี เมื่อผมเห็นหน้าเตี่ยทำให้จิตใจเกิดความอบอุ่นขึ้น นัยน์ตาที่เตี่ยมองผมเต็มไปด้วยความเมตตาปรานี เตี่ยลุกขึ้นมากอดผมไว้ ผมรู้สึกมีความอบอุ่น ผมกอดเตี่ยด้วยความรักและเคารพ ผิดกับแม่ แม่ไม่เคยให้ความใกล้ชิดอย่างแม่กับลูกทั่วไป ทั้งไม่เคยยิ้มแย้มกับผมเลยตลอดเวลาที่ผมมาอยู่ แต่โชคดีถึงแม่ไม่รัก ก็ยังมีเตี่ยรัก ให้ความอบอุ่นแก่ตัวผมไม่น้อย”
หากวันไหนโอวตี่ถูกแม่ทุบตี เตี่ยรู้เข้าจะต้องต่อว่าแม่ ห้ามไม่ให้ตีบางครั้งแม่กับเตี่ยต้องมีปากเสียงกันเพราะเขาเป็นต้นเหตุ โอวตี่มาอยู่กรุงเทพฯ ได้ไม่นานเกิดป่วยเป็นโรคปวดกระดูกที่ขา เขาถูกพาไปรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลศิริราช ทำการผ่าตัดโดยหมอเฟือง ภายหลังที่หายป่วย โอวตี่มีหน้าที่ประจำต้องทำทุกวันโดยก่อนไปโรงเรียน เขาจะออกไปรับน้ำแข็งที่ซอยทรัพย์ (ถนนทรัพย์ปัจจุบัน) เสร็จกิจจึงไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนวัดหัวลำโพง เกี่ยวกับการเรียนโอวตี่ไม่เคยสนใจหรือเอาใจใส่อันเป็นนิสัยติดตัวมาจากเมืองจีน ฝ่ายแม่พอเห็นเขาไม่สนใจการเรียน ได้บอกให้ลาออกไปหัดงานช่างไม้กับญาติที่เชิงสะพานหัวลำโพง แต่อยู่ไม่ได้นานต้องหนีงานโดยอ้างไม่ชอบงานจุกจิก ถ้ามีใครบังคับจะรู้สึกเบื่อ เขาชอบความอิสระมากกว่า
การหลบหนีครั้งที่สองของโอวตี่เกิดขึ้น คราวนี้เป็นการหลบหนีหน้าจากเถ้าแก่ แต่ละครั้งที่หนีไป มักถูกติดตามตัวกลับมาได้เนื่องจากเขาไม่รู้จักใคร และไม่ชำนาญทาง สถานที่ทำงานแห่งที่สองที่พ่อแม่ไปฝากคือโรงปูน อยู่ติดกับวัดอินทาราม (วัดใต้) ตลาดพลู ฝั่งธนบุรี โดยมีหน้าที่ขนอิฐขนทรายและทำกระเบื้องมุงหลังคา แต่อยู่ไม่ได้นานอีกเพราะถูกตามใจจนเคยตัว ไม่ชอบมีคนมาบังคับ หนักเข้าญาติเห็นจะเอาไม่อยู่ จึงส่งข่าวให้แม่โอวตี่ทราบเพื่อนำตัวกลับบ้าน
เปี๊ยก จักรวรรดิ์