3 ก.ย. 2020 เวลา 06:34 • การศึกษา
ภูมิของพระสกทาคามี
การได้พบพระแท้ภายใน คือ พระรัตนตรัย นับว่า ได้พบกับสิ่งที่ประเสริฐที่สุด ถือเป็นทัสนานุตริยะ คือ การได้เห็นอันประเสริฐ พระแท้ภายในที่เราได้เข้าถึงนี้ สามารถปิดประตูอบายภูมิให้กับตัวเราได้ ใจของเราจะสูงส่งอยู่เสมอ และจะเป็นพลวปัจจัยให้เรามีสุคติภูมิเป็นที่ไปอย่างเดียว หากว่าปรารถนาอยากพบพระแท้ภายในซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นอุดมมงคล ต้องทำใจให้หยุดนิ่ง หมั่นฝึกฝนอบรมใจให้สะอาดบริสุทธิ์อยู่เสมอ หยุดใจเป็นก็จะเห็นพระแท้ภายในที่เรียกว่า สมณานญฺจ ทสฺสนํ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ การได้เห็นสมณะผู้สงบเป็นมงคลอันสูงสุด
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน จุลลสีหนาทสูตร ว่า
 
     " กตโม จ ภิกฺขเว ทุติโย สมโณ อิธ ภิกฺขเว ภิกฺขุ ติณฺณํ สญฺโญชนานํ ปริกฺขยา ราคโทสโมหานํ ตนุตฺตา สกิทาคามี โหติ สกิเทว อิมํ โลกํ อาคนฺตฺวา ทุกฺขสฺสนฺตํ กโรติ อยํ ภิกฺขเว ทุติโย สมโณ
 
     ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณะที่ ๒ เป็นไฉน ภิกษุในศาสนานี้เป็นสกิทาคามีเพราะสังโยชน์ ๓ สิ้นไป เพราะความที่ราคะ โทสะ และโมหะเบาบาง จะกลับมาสู่โลกนี้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ก็จะทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้คือสมณะที่ ๒ ในพระศาสนา "
ความเป็นสมณะ หรือเป็นพระแท้ในทางพระพุทธศาสนา พระพุทธองค์ทรงสอนให้วัดกันที่ความสูงส่งของภูมิธรรม คือ วัดกันที่ว่าใครจะสามารถขจัดกิเลสอาสวะให้หลุดล่อนออกจากใจได้มากที่สุด ถ้าหากทำสังโยชน์ ๓ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาสให้หมดสิ้นออกจากใจได้ และเข้าถึงธรรมกายพระโสดาบัน หน้าตัก ๕ วา สูง ๕ วา ปรากฏชัดใสแจ่มอยู่ภายในตลอดเวลา ท่านเรียกว่า เป็นพระโสดาบันบุคคล  ถ้าหากฟอกจิตให้ละเอียดหนักเข้า นอกจากสังโยชน์ ๓ จะหมดสิ้นไปแล้ว ยังเข้าถึงและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมกายพระสกิทาคามี หน้าตัก ๑๐ วา สูง ๑๐ วา สว่างไสวอยู่ภายในตลอดเวลา ส่งผลให้เป็นผู้มีราคะ โทสะ และโมหะเบาบางลงไป และจะกลับมาเกิดอีกเพียงชาติเดียวเท่านั้น ก็จะได้บรรลุกายธรรมอรหัต บุคคลผู้มีใจสูงส่งอย่างนี้ เรียกว่า สมณะที่ ๒ คือ พระสกิทาคามีบุคคล
* สำหรับครั้งนี้ หลวงพ่อจะได้กล่าวถึงสมณะที่ ๒ ในพระพุทธศาสนา คือ เรื่องราวเกี่ยวกับพระสกิทาคามีบุคคล ว่ามีคุณวิเศษอย่างไรบ้าง และต้องฝึกฝนอบรมตนเองอย่างไร จึงจะได้บรรลุธรรมเป็นพระสกิทาคามี โลกุตตรภูมิขั้นที่ ๒ นี้ มีนามว่า สกิทาคามีโลกุตรภูมิ
ปฏิปทาของท่านผู้ได้บรรลุถึงโลกุตตรภูมิชั้นนี้ ต้องเป็นผู้ที่บำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐาน โดยผ่านโคตรภูและโสดาบันโลกุตตรภูมิมาแล้ว มีความปรารถนาที่จะบรรลุมรรคผลในชั้นนี้ จึงมีความเพียรอุตสาหะเจริญวิปัสสนากรรมฐานต่อให้ยิ่งขึ้นไป เมื่อบุญบารมีที่เคยอบรมสั่งสมไว้มีมากพอ และเมื่ออินทรีย์ทั้ง ๕ ถึงภาวะแก่กล้าเป็นอย่างดีแล้ว วิปัสสนาญาณขั้นต่างๆ ก็จะเกิดขึ้นเรื่อยมาตามลำดับ ตั้งแต่อุทยัพพยญาณเป็นต้นไป จนถึงสังขารุเปกขาญาณ แต่ว่าสภาวะวิปัสสนาญาณเหล่านี้ จะปรากฏชัดเจนละเอียดแจ่มแจ้งกว่าสภาวญาณ ในชั้นโสดาบันโลกุตตรภูมิ
ศัพท์และภาษาธรรมะที่หลวงพ่อนำมาใช้เป็นหัวข้อวิปัสสนาในระดับขั้นต่างๆ นั้น พวกเราอาจฟังเข้าใจยากสักหน่อย เพราะขณะนี้เรากำลังคุยกันในระดับวิปัสสนาภูมิ ภูมิซึ่งต้องเห็นแจ้งด้วยธรรมจักขุ ผู้ที่จะรู้เห็นแจ่มแจ้งกันจริงๆ ต้องเข้าถึงพระธรรมกายให้ได้ก่อน เพราะวิปัสสนาภูมิเริ่มต้นที่เข้าถึงธรรมกายเท่านั้น ถ้าหากปฏิบัติธรรมจนเข้าถึงพระธรรมกายโคตรภูเป็นต้นไป ท่านจะใช้คำว่า วิปัสสนา คือการเห็นแจ้งด้วยธรรมจักษุ รู้แจ้งด้วยญาณทัสสนะของธรรมกาย สามารถพิจารณาเห็นไตรลักษณ์ คือ ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตนของสังขารร่างกาย คือ ขันธ์ ๕ แล้วรู้แจ้งแทงตลอดไปถึงอายตนะ ๑๒  ธาตุ ๑๘  อินทรีย์ ๒๒  อริยสัจ ๔ และปฏิจจสมุปบาท เราจะแตกฉานในธรรมะขั้นวิปัสสนาภูมิทั้ง ๖ อย่างนี้ ก็ต่อเมื่อได้เข้าถึงพระธรรมกายแล้วเท่านั้น
ขณะนี้ เราได้เริ่มศึกษาทั้งภาคปริยัติและปฏิบัติไปพร้อมๆ กัน ศึกษาเพื่อนำไปสู่ปฏิเวธ คือการรู้แจ้งเห็นแจ้งแทงตลอดในธรรมทั้งหลาย เพราะฉะนั้น อย่าเพิ่งเบื่อในการติดตามฟังธรรมะซึ่งเป็นโลกุตตรภูมิกัน พระสกิทาคามีนี้จะเกิดอีกเพียงชาติเดียว ก็จะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ซึ่งหลักในการอุบัติในภพใหม่ของท่านมีอยู่ ๕ ประเภท คือ
 
     ประเภทที่ ๑ คือท่านที่เมื่อตอนเป็นมนุษย์ก็สำเร็จเป็นพระสกิทาคามีบุคคล ครั้นจุติไปเกิดเป็นเทวดาในเทวโลก แล้วหากกลับมาเกิดในมนุษยโลกอีกครั้งหนึ่ง ก็จะบรรลุอรหัตผลสำเร็จเป็นพระอรหันต์ และดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพานในมนุษยโลกนี้เอง
 
     ประเภทที่ ๒ คือ ท่านที่สำเร็จเป็นพระสกิทาคามีในมนุษยโลกนี้เอง แล้วทำความเพียรต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง จนกระทั่งได้บรรลุอรหัตผล และดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพาน ในขณะที่อยู่ในมนุษยโลกนี้เอง
 
     ประเภทที่ ๓ คือ ท่านที่เป็นพระสกิทาคามีตั้งแต่ตอนยังเป็นมนุษย์ เมื่อจุติเป็นเทวดาก็เจริญวิปัสสนากรรมฐานต่อจนได้บรรลุอรหัตผลในเทวโลก ไม่ต้องกลับลงมาเป็นมนุษย์อีก
 
     ประเภทที่ ๔ คือเทวดาที่ได้สำเร็จเป็นพระสกิทาคามีบุคคลในสวรรค์  แล้วเจริญวิปัสสนากรรมฐานต่อ จนกระทั่งได้บรรลุอรหัตผล และดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพานในเทวโลกนั้น
 
     ประเภทที่ ๕ คือ ท่านที่สำเร็จเป็นพระสกิทาคามีตอนเป็นเทวดา แต่ครั้นหมดอายุขัยก็จุติมาเกิดในมนุษยโลก แล้วบุญในตัวที่ทำเอาไว้ จะเป็นดวงบุญดวงบารมีที่เต็มเปี่ยม เมื่อตั้งใจปฏิบัติธรรมก็สามารถหยุดใจได้ บรรลุกายธรรมอรหัตเป็นพระอรหันต์ และเข้าพระนิพพานในมนุษยโลกนี้
ตามปกติแล้ว กิเลสอาสวะจะไม่เกิดขึ้นแก่พระสกิทาคามีบ่อยๆ เหมือนบังเกิดแก่ปุถุชนผู้ท่องเที่ยวอยู่ในวัฏฏะทั่วไป แต่จะเกิดขึ้นเป็นช่วงห่างๆ เกิดเป็นครั้งเป็นคราว และเมื่อเกิดขึ้นก็ไม่มีโทษร้ายแรง ไม่ถึงกับกระทำความมืดมนอนธการให้กับท่าน ถึงแม้กิเลสต่างๆ ซึ่งท่านเรียกว่าสังโยชน์เบื้องสูงจะยังคงอยู่ แต่ก็เบาบางมากเหมือนหมอกจางๆ หรือเหมือนแมลงภู่ที่เคล้าคลึงเกสร แต่ไม่เคยยํ่ายีดอกไม้ให้บอบชํ้า ฉะนั้น
ในสมัยพุทธกาล ผู้ได้บรรลุธรรมเป็นพระสกิทาคามีกันมาก ที่มีปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกก็มีหลายแห่ง และที่ได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันก็มาก หรือไม่ก็ผ่านไปถึงขั้นบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ก็มีไม่น้อย สำหรับตัวอย่างของผู้ที่ได้บรรลุธรรมเป็นพระสกิทาคามี แล้วไปเสวยทิพยสมบัติในสวรรค์ก็คือ ลูกสาวคนเล็กของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เรื่องของนางมีอยู่ว่า ลูกสาวคนโตของท่านเศรษฐี ตั้งแต่มหาสุภัททา จูฬสุภัททา ต่างบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน เมื่อถึงเวลานางทั้งสองได้แต่งงาน และแยกย้ายครอบครัวไปอยู่กับสามี
ส่วนลูกสาวคนเล็กชื่อ สุมนา เมื่อมาทำหน้าที่ช่วยพ่อจัดภัตตาหารถวายพระ นางมีโอกาสฟังธรรมและได้บรรลุธรรมที่สูงกว่าพ่อ ก่อนที่นางจะเสียชีวิต เศรษฐีผู้เป็นพ่อได้มาเยี่ยม นางเรียกท่านเศรษฐีว่า “น้องชาย”  เศรษฐีถามว่า “ลูกเพ้อหรือ” นางตอบว่า “ไม่ได้เพ้อ น้องชาย” จากนั้นนางก็ละสังขารไปบังเกิดเป็นเทพนารีอริยบุคคล เสวยสุขอยู่ในสวรรค์ชั้นดุสิต ทิ้งเพียงคำว่า “น้องชาย” เป็นปริศนาให้กับท่านเศรษฐี ท่านจึงต้องไปกราบทูลถามพระบรมศาสดา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่า ลูกสาวของท่านเศรษฐีนั้นไม่ได้เพ้อ ถึงแม้จะถูกความเจ็บป่วยรุมเร้า แต่มีสติสัมปชัญญะบริบูรณ์ ที่นางเรียกท่านเศรษฐีว่า น้องชาย เพราะท่านเศรษฐีได้บรรลุธรรมเพียงชั้นพระโสดาบัน แต่นางได้เป็นสกิทาคามีอริยบุคคล ในทางธรรมนางจึงมีศักดิ์เป็นพี่
นี่เป็นตัวอย่างของพระสกิทาคามีบุคคล และสกิทาคามีภูมิ การจะได้เป็นพระสกิทาคามีบุคคล ต้องตั้งใจปฏิบัติให้เข้าถึงพระธรรมกายสกิทาคามี โดยผ่านการเข้าถึงดวงธรรมภายใน กายภายในต่างๆ ตั้งแต่กายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ กายรูปพรหม กายอรูปพรหม จนถึงกายธรรมโคตรภู กายธรรมพระโสดาบัน และถึงกายธรรมพระสกิทาคามี ละสังโยชน์เบื้องตํ่าได้ ๓ อย่าง มีราคะ ปฏิฆะเบาบาง ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องอาศัยการหยุดใจ เพราะฉะนั้น หยุดจึงเป็นตัวสำเร็จ ให้ทุกท่านหมั่นหยุดใจเอาไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ให้ได้ตลอดเวลา
พระธรรมเทศนาโดย: พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
* ภูมิวิลาสินี (พระพรหมโมลี)
โฆษณา