#มาอีกหนึ่งตัวละครในวงจรชีวิต ที่ดูเหมือนว่าน่าจะห่างไกลกันคนละฟากฟ้ากับ “ครูบาเจ้าศรีวิชัย” แต่แล้วชื่อของ “หม่อมเจ้าบวรเดช กฤดากร” ก็กลายเป็นชื่อที่แสนจะคุ้นเคยในประวัติศาสตร์ล้านนาอีกจนได้ ในฐานะที่ครั้งหนึ่งเคยเป็น “อุปราชเทศาภิบาลมณฑลพายัพ” (บางครั้งเรียกตำแหน่ง “อุปราชภาคพายัพ” เดิมเรียก “สมุหเทศาภิบาลมณฑลพายัพ”)
ไม่ใช่แค่จะมีชีวิตร่วมสมัยกับครูบาเจ้าศรีวิชัยเท่านั้น แต่ยังถือกำเนิดเมื่อ พ.ศ.2421 ปีเดียวกันกับครูบาเจ้าศรีวิชัยอีกด้วย
“หม่อมเจ้าบวรเดช กฤดากร” เป็นพระโอรสองค์ที่ 2 ในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศร์วรฤทธิ์ และหม่อมสุภาพ กฤดากร พ.ศ.2470 ได้รับการสถาปนาเป็น พลเอกพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช รั้งตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงกลาโหมในปี 2471
คนทั่วไปรู้จักนามของท่านในฐานะเป็นผู้นำ “กบฏบวรเดช” (คณะกู้บ้านกู้เมือง) พยายามยึดอำนาจจากรัฐบาลคณะราษฎร เมื่อ พ.ศ.2476
แต่มีใครสักกี่คนเล่าที่จะรู้ว่า ระหว่าง พ.ศ.2458-2464 ช่วงมียศเป็นพลโท ดำรงตำแหน่ง “อุปราชเทศาภิบาลมณฑลพายัพ” นั้น หม่อมเจ้าบวรเดช เป็นบุคคลผู้หนึ่งที่ช่วยกันขีดเส้นทางชีวิตของครูบาเจ้าศรีวิชัยให้ต้องพลิกผันไปอย่างไม่น่าเชื่อ!
ความหมายของคำว่าอธิกรณ์
คําว่า “อธิกรณ์” หมายถึง โทษ คดี เรื่องราว ปัญหา ความยุ่งยาก กิจกรรมที่เกิดขึ้นในหมู่สงฆ์ ที่คณะสงฆ์ต้องจัดการสะสาง ดำเนินการทำให้สงบ หรือเป็นไปด้วยดี ปกติเป็นคำที่ใช้กับพระภิกษุสงฆ์ที่ต้องคดี เรียก “ต้องอธิกรณ์” รายละเอียดปรากฏอยู่ในพระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม 6 ภาค 1
อธิบายให้เข้าใจง่ายได้ว่า “ต้องอธิกรณ์” หมายถึง การถูกกล่าวโทษ จึงต้องนำเข้าสู่กระบวนการพิจารณาโดยคณะสงฆ์ผู้มีอำนาจ
ในงานเขียนเกี่ยวกับครูบาเจ้าศรีวิชัย พบคำว่า “ต้องอธิกรณ์” ในหนังสือของพระวิมลญาณมุนี (2482) เป็นเล่มแรก ส่วนเอกสารฝ่ายเมืองเหนือที่ร่วมสมัยกับครูบาเจ้าศรีวิชัย ยังไม่ยอมรับคํา “ต้องอธิกรณ์” ว่าเป็นคำที่เหมาะสมกับพฤติเหตุของครูบาเจ้าศรีวิชัยแต่อย่างใด อาทิ เจ้าสุริยวงศ์ สิโรรส (2472) หรือ ส.สุภาภา (2499) ใช้คำว่า “ถูกจับไปไต่สวน” บ้างก็ใช้คำว่า “ต้องโทษกรรม” คำเหล่านี้บ่งบอกนัยของการยืนอยู่ข้างฝ่ายผู้ถูกกระทำ คือ ครูบาเจ้าศรีวิชัย
ต่อมา คำว่า “ต้องอธิกรณ์” เริ่มใช้กันแพร่หลายมากขึ้นในงานเขียนระยะหลัง เริ่มจากวิทยานิพนธ์ของ โสภา ชานะมูล (2534), พระอานันท์ พุทฺธธมฺโม ในการพิมพ์ครั้งหลังๆ หรือพระปลัดเชี่ยวชาญ สุวิชฺชาโน (2557) เป็นต้น
การต้องอธิกรณ์หลายครั้งของครูบาเจ้าศรีวิชัย มักสืบเนื่องมาจากการเป็นพระอุปัชฌาย์กระทำการบรรพชาอุปสมบทกุลบุตรโดยไม่ได้รับการแต่งตั้งบ้าง การขัดคำสั่งเจ้าคณะแขวงหรือเจ้าคณะจังหวัด ไม่ให้ความร่วมมือในสิ่งต่างๆ บ้าง
ข้อกล่าวหาทำนองนี้มีมาเป็นระยะๆ กระทั่งหนที่รุนแรงกว่าครั้งใดคือระหว่างปี 2463 และปี 2478-2479
คดีอธิกรณ์ปี 2463 เริ่มต้นที่ลำพูน
ผู้ติดตามเรื่องอัตชีวประวัติครูบาเจ้าศรีวิชัยชนิดแฟนพันธุ์แท้ ย่อมทราบดีว่าตลอดชีวิตของท่านเวียนวนอยู่กับคดีต้องอธิกรณ์ทั้งหมด 6 ครั้ง
แต่ละครั้งมีพัฒนาการเป็นขั้นเป็นตอนตามลำดับดังนี้
เริ่มจาก พ.ศ.2453 ครั้งที่ 1 ถูกจับผิดโดยเจ้าคณะแขวงลี้ (มหาอินทร์) ข้อหาอุปัชฌาย์เถื่อน ถูกกักตัววัดลี้หลวง 4 คืน
ตามมาด้วยครั้งที่ 2 (ปีเดียวกัน) ข้อหาไม่จุดเทียนตามประทีปทำซุ้มประตูป่าร่วมเฉลิมฉลองการครองราชย์ของรัชกาลที่ 6 และไม่สำรวจบัญชีสงฆ์ คราวนี้ให้นายสิบตำรวจไปจับตัวมากักขังที่วัดชัยมงคลหลังกาดหนองดอก อำเภอเมืองลำพูน 23 วัน
ครั้งที่ 3 ยังอยู่ในช่วงศักราช 2453-2455 ข้อหาเดิมๆ ให้นายร้อยตำรวจจากเค้าสนามหลวงลำพูนไปจับตัวมาขังที่แจ่งอัฏฐารส วัดพระธาตุหริภุญชัย 2 ปี
ครั้งที่ 4 กับ 5 เป็นคดีเดียวกัน เว้นช่วงจากครั้งที่ 3 ไปเกือบ 10 ปี พ.ศ.2463 โดนข้อหาว่าอ้างตัวเป็นผู้วิเศษ เป็นผีบุญ เป็นขบถ ครั้งที่ 4 ถูกเรียกตัวมาลำพูน แต่ศิษยานุศิษย์ยกกองทัพธรรมมาปกป้องกว่าหลายพันชีวิต
ทำให้ครั้งที่ 5 คดีต่อเนื่องต้องถูกส่งไปเชียงใหม่ และกรุงเทพฯ ถูกเพิ่มข้อกล่าวหาอีกรวม 8 ข้อ
และครั้งสุดท้ายคือครั้งที่ 6 พ.ศ.2478-2479 ทิ้งช่วงไปนานมาก เหตุเกิดหลังจากสร้างทางขึ้นดอยสุเทพ ข้อหาปลุกปั่นยุยงพระสงฆ์ทั่วล้านนา ตั้งตัวเป็นเจ้านิกายใหม่ ตัดไม้ทำลายป่า แตะต้องโบราณสถานโดยไม่ขออนุญาตกรมศิลป์ ฯลฯ
ในที่นี้จะขอโฟกัสไปยังเหตุการณ์ปี 2463 คือการต้องอธิกรณ์ครั้งที่ 4 และครั้งที่ 5 ช่วงที่ครูบาเจ้าศรีวิชัยถูกเจ้าคณะจังหวัดลำพูนเรียกตัวให้มารับฟังความผิดข้อหา “อุปัชฌาย์เถื่อน” “กบฏผีบุญ” และ “อ้างตัวเป็นผู้วิเศษ”
ครั้งนั้นคณะผู้ติดตามครูบาเจ้าศรีวิชัยมีจำนวนมากกว่า 2,000 คน เอาเฉพาะที่เริ่มต้นเดินทางมาจากวัดบ้านปาง อำเภอลี้ด้วยกัน และค่อยๆ มีคนร่วมสมทบมากขึ้นเรื่อยๆ จนเหยียบหลักหมื่นเมื่อมาถึงใจกลางเมืองลำพูน ทั้งนี้ มาเพื่ออารักขากึ่งกดดันเจ้าคณะจังหวัดลำพูน ไม่ให้ลงโทษครูบาเจ้าศรีวิชัย
ในที่สุดครูบาเจ้าศรีวิชัยถูกกักตัวในวัดพระธาตุหริภุญชัยได้เพียงคืนเดียว
ทันทีที่พลโทหม่อมเจ้าบวรเดช กฤดากร รับทราบปัญหาดังกล่าว ได้ตัดสินใจนิมนต์ครูบาเจ้าศรีวิชัยพร้อมภิกษุ 4 รูป ย้ายจากจังหวัดลำพูนไปเชียงใหม่ทันที
แต่ก่อนที่จะเข้าสู่เหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายที่ขยายตัวในเชียงใหม่ ขอพาย้อนกลับไปดูความโกลาหลในลำพูนเสียก่อน