5 ก.ย. 2020 เวลา 03:56 • การศึกษา
อรหัตตภูมิ
ชาวโลกทั้งหลายถูกอวิชชา คือ ความไม่รู้แจ้งเห็นจริงในชีวิตปิดบังเอาไว้ ทำให้เกิดการเข่นฆ่า รบราฆ่าฟันกัน โดยอาจจะอ้างว่า ทำไปเพื่อสันติภาพของโลก แต่สงครามทางโลกไม่เคยนำสันติสุขมาให้ เพราะผลร้ายหลังสงครามสงบ คือ ความเจ็บปวดทั้งกายและใจ การทำร้ายกันนำไปสู่ความผูกพยาบาท และจองเวรกันไปข้ามภพข้ามชาติ ชีวิตก็เหินห่างจากทางพระนิพพานออกไปเรื่อยๆ หากเรามีความรักและความปรารถนาดีต่อกัน ด้วยการเริ่มต้นให้ความรักที่ตัวเราเองก่อน นั่นคือ ทุกๆ คนต้องทำความดีรักษาศีลให้บริสุทธิ์ หมั่นชำระกาย วาจา ใจของตัวเองให้บริสุทธิ์ผ่องใส อย่างนี้สันติภาพภายในก็จะบังเกิดขึ้นและก่อให้เกิดสันติภาพของโลกอย่างแท้จริง
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน จุลลสีหนาทสูตร ว่า
 
     "กตโม จ ภิกฺขเว จตุตฺโถ สมโณ อิธ ภิกฺขเว ภิกฺขุ อาสวานํ ขยา อนาสวํ เจโตวิมุตฺตึ ปญฺญาวิมุตฺตึ ทิฏฺเฐว ธมฺเม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรติ อยํ ภิกฺขเว จตุตฺโถ สมโณ
 
     ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณะที่ ๔ เป็นไฉน ภิกษุในศาสนานี้ กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติอันหาอาสวะมิได้ เพราะความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ด้วยอภิญญาของตนเอง เข้าถึงทิฏฐธรรมอยู่ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลเช่นนี้คือสมณะที่ ๔ ในพระพุทธศาสนา"
* โลกุตรภูมิขั้นสูงสุดที่หลวงพ่อจะเล่าต่อไปนี้ เรียกชื่อ อรหัตตโลกุตรภูมิ ผู้ที่ได้บรรลุถึงภูมิธรรมขั้นนี้แล้ว ได้ชื่อว่าพระอรหันต์ เป็นพระอริยบุคคลชั้นที่ ๔ ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดในพระพุทธศาสนา เป็นผู้สมควรแก่การบูชาของเหล่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย พระอรหันต์ทั้งหลายท่านมีคุณธรรมและคุณวิเศษ สามารถขจัดอนุสัยกิเลสที่ยังเหลือติดอยู่ในขันธสันดานอีก ๕ อย่างได้ คือ รูปราคานุสัย อรูปราคานุสัย มานานุสัย อุทธัจจานุสัย อวิชชานุสัย ให้หลุดร่อนออกจากใจได้อย่างเด็ดขาด และนอกจากจะสิ้นกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน ท่านยังสามารถเข้านิโรธสมาบัติเสวยอารมณ์พระนิพพานได้ตามจิตปรารถนาอีกด้วย แต่ที่วิเศษสุดยอด คือ ท่านหมดกิจ เพราะอยู่จบพรหมจรรย์แล้ว เลิกการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏอีกต่อไป  เมื่อหมดอายุขัยแล้วท่านก็ดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพาน
การที่อวิชชาของพระอริยบุคคล ๓ ประเภทแรก คือ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี และพระอนาคามียังเหลืออยู่นั้น เพราะสภาวะของมรรคเบื้องต่ำทั้ง ๓ คือ โสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค และอนาคามิมรรค เมื่อเกิดขึ้นแก่ผู้ที่ได้เข้าถึง ทำให้ท่านได้เห็นอริยสัจ ๔ กำจัดอวิชชาได้ทุกมรรคก็จริง   แต่ว่าการที่มรรคเบื้องต่ำทั้ง ๓ เห็นอริยสัจ ๔ กำจัดอวิชชาได้นี้ ก็เป็นประดุจเหมือนฟ้าแลบในยามกลางคืน ซึ่งสว่างวาบชั่วครั้งชั่วคราว แต่ยังไม่สามารถขจัดอนุสัยได้หมดสิ้น ส่วนอรหัตมรรคเป็นเหมือนกับฟ้าผ่า ตามธรรมดาสายฟ้าที่ผ่าฟาดลงมาอย่างรุนแรงนั้น สิ่งที่กีดขวางอยู่จะถูกทำลายหมด เช่นเดียวกัน เมื่อสายฟ้าผ่าคืออรหัตมรรคผ่าฟาดลงมา อนุสัยกิเลสทั้งหลาย รวมถึงอวิชชานุสัย ก็จะถูกทำลาย ถูกขจัดหายไปหมดสิ้น ไม่มีหลงเหลือติดอยู่ในใจอีกต่อไป
พระอรหันต์ซึ่งเป็นพระอริยบุคคลชั้นสูงสุดในพระพุทธศาสนานี้ มีอยู่ ๒ ประเภทใหญ่ๆ คือ ประเภทที่มีฤทธิ์พอประมาณกับมีฤทธิ์มาก
ประเภทแรก ที่ว่ามีฤทธิ์พอประมาณนั้น หมายถึงว่า เป็นพระอรหันต์จำพวกสุกขวิปัสสกะ คือผู้เจริญวิปัสสนาล้วนๆ เป็นผู้หลุดพ้นด้วยปัญญา สมบูรณ์ด้วยวิชชาและจรณะ มีฤทธิ์เดชพอประมาณ อรหัตมรรคญาณก็สามารถขจัดกิเลสอาสวะได้หมดสิ้น ทั้งสังโยชน์เบื้องตํ่าที่ภาษาธรรมะเรียกว่า โอรัมภาคิยสังโยชน์ และสังโยชน์เบื้องสูงคือ อุทธัมภาคิยสังโยชน์ ก็ถูกขจัดให้หมดสิ้นไป อนุสัยกิเลสทั้งหลาย โดยเฉพาะอวิชชานุสัยซึ่งเป็นกิเลสที่สำคัญ ก็หลุดหมดสิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ เป็นพระอรหันต์ผู้เป็นทักขิไณยบุคคลที่สมบูรณ์
ประเภทที่ ๒ คือประเภทที่มีฤทธิ์มีอานุภาพมาก ตั้งแต่ประเภทเตวิชโช ผู้ได้บรรลุวิชชา ๓ คือปุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติหนหลังของตัวเองได้ จุตูปปาตญาณ รู้การจุติและอุบัติของสรรพสัตว์เหล่าอื่นได้ เรียกง่ายๆ ก็คือว่า เป็นผู้มีตาทิพย์ และสามารถระลึกชาติของคนอื่นได้อีกด้วย มีอาสวักขยญาณ เป็นญาณที่ทำอาสวะของตัวท่านให้หมดสิ้นไปได้ และพระอรหันต์ประเภทนี้ ยังมีฤทธานุภาพมากเนื่องจากแรงอธิษฐานและการสั่งสมบุญเก่าในอดีตตามมาสนับสนุน
พระอรหันต์ที่มีฤทธิ์มากอีกประเภทหนึ่งท่านเรียกว่า ฉฬภิญญา คือฝึกสมาธิ(Meditation)และหมั่นเข้าฌานสมาบัติ ทำชำนาญจนเป็นวสี เมื่อฝึกฝนบ่อยเข้า ก็เกิดเป็นอภิญญาจิต มีจิตตานุภาพเหนือมนุษย์ทั่วไป ตั้งแต่ได้อิทธิวิธี แสดงฤทธิ์ได้ ทิพย์โสต หูทิพย์ เจโตปริยญาณ รู้จักกำหนดใจผู้อื่นได้ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติได้ ทิพย์จักขุ ตาทิพย์ และอาสวักขยญาณ ญาณที่ทำให้อาสวะสิ้นไป
กลุ่มของพระอรหันต์อีกประเภทหนึ่ง ท่านจัดไว้ตามความแตกฉานในสภาวะธรรมที่เข้าถึง คือ ปฏิสัมภิทัปปัตโต ผู้ได้บรรลุปฏิสัมภิทา มีความแตกฉานในด้านต่างๆ ตั้งแต่อรรถปฏิสัมภิทา แตกฉานในอรรถ ธรรมปฏิสัมภิทา แตกฉานในธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ นิรุตติปฏิสัมภิทา แตกฉานในภาษาต่างๆ จะไปเทศน์หรือพูดจากับชนชาติใดก็ได้ สามารถใช้ภาษาของคนในถิ่นนั้นๆ ได้ทันที ไม่ต้องเสียเวลาไปรํ่าเรียนเขียนอ่านภาษาศาสตร์ และประการสุดท้ายคือ ปฏิภาณปฏิสัมภิทา แตกฉานในด้านความเป็นผู้มีปฏิภาณไหวพริบในการแสดงธรรมหรือตอบปัญหาธรรมะต่างๆ ทำให้ผู้ฟังกระจ่างแจ้งทุกคำถาม ปฏิสัมภิทาญาณทั้ง ๔ นี้ เกิดขึ้นพร้อมกับขณะที่ท่านได้บรรลุอรหัตมรรคญาณนั่นเอง ซึ่งก็แล้วแต่บุญบารมีของพระอรหันต์แต่ละรูปที่สั่งสมมาไม่เหมือนกัน
นี่เป็นความแตกต่างเล็กๆ น้อยๆ แต่เป็นความแตกต่างเล็กน้อยที่สำคัญ เพราะปฏิสัมทาญาณหรืออภิญญาต่างๆ เหล่านั้น มีความสำคัญในการแนะนำสั่งสอนผู้อื่นให้ได้บรรลุธรรมตามได้มาก แต่ความเหมือนกันของท่าน คือ เป็นผู้หมดกิเลส เป็นทักขิไณยบุคคล ทำบุญกับองค์ไหนก็ได้บุญมากเหมือนกัน เพราะฉะนั้น การที่ท่านจะได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ผู้ทรงคุณวิเศษที่มีอานุภาพมาก มีฌานแก่กล้าสามารถแสดงอิทธิฤทธิ์ต่างๆ ได้ก็ดี ทรงคุณวิเศษประเภทแตกฉานในปฏิสัมภิทาญาณต่างๆ ก็ดี ทั้งนี้ก็ด้วยอำนาจแห่งบุญญาธิการที่ท่านได้สั่งสมอบรมมาแต่อดีตชาติ คือเมื่อชาติปางก่อนนั้น ท่านประกอบกุศลกรรมอันใดเอาไว้ ก็จะอธิษฐานให้ได้บรรลุมรรคผลนิพพานเป็นพระอรหันต์ถึงพร้อมทั้งคุณวิเศษต่างๆ และเมื่อสร้างบารมีอยู่นั้น ท่านก็เป็นผู้ไม่ทอดธุระ รักในการปฏิบัติธรรม และชักชวนผู้อื่นให้ทำทั้งทาน ศีล ภาวนาด้วย
ถ้าหากจะทำทาน ท่านก็ทุ่มเททำอย่างเต็มที่เหมือนขันนํ้าที่ควํ่า ให้แล้วก็ไม่ให้เหลือเยื่อใย ไม่คิดอยากได้กลับคืน และตามระลึกนึกถึงผลบุญด้วยความปลื้มปีติในทานที่ได้ถวายขาดออกจากใจ ให้แล้วก็อยากให้อีก ไม่อิ่มไม่เบื่อในการทำทาน บางท่านอาจจะยังมีความเข้าใจไม่สมบูรณ์ คิดว่าไม่ต้องทำทานก็ได้ รักษาศีลก็พอ ก็สามารถพ้นทุกข์ได้ หรือนั่งสมาธิเจริญภาวนาอย่างเดียวก็น่าจะพอแล้ว แต่อานิสงส์ที่ปรากฏออกมาในภพชาติสุดท้าย นอกจากจะเป็นผู้ไม่มีลาภสักการะแล้ว ผลพวงจากการบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ก็จะได้บรรลุแบบอดๆ อยากๆ เมื่อบรรลุแล้วก็หมดลมเข้านิพพานไป คือ พอถึงจุดหมายก็สิ้นใจพอดี
เท่าที่เล่ามานี้ พวกเราคงพอเข้าใจถึงเส้นทางอันประเสริฐของทุกชีวิต คือ มุ่งสู่ความบริสุทธิ์หลุดพ้นเพื่อเป็นผู้ห่างไกลจากกิเลสอาสวะ ในขณะนี้ นับว่าเป็นความโชคดีอย่างมหาศาลของพวกเรา ที่ได้รู้จักวิชชาธรรมกาย ซึ่งพระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากนํ้า ภาษีเจริญ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย ท่านได้เมตตานำมาถ่ายทอดให้พวกเรา ได้รับรู้รับทราบถึงแผนผังชีวิต ๑๘ กาย ตั้งแต่กายมนุษย์จนถึงกายธรรมอรหัต ทำให้เราได้แนวทางในการปฏิบัติที่ถูกต้อง ดังนั้นเมื่อเราได้โอกาสดีนี้แล้ว ก็อย่าให้วันเวลาผ่านไปเปล่า ให้หมั่นสร้างบารมีทุกอย่างไปพร้อมๆ กับการฝึกฝนใจให้หยุดนิ่ง จนกว่าจะได้เข้าถึงกายธรรมอรหัตกันทุกคน ยม
พระธรรมเทศนาโดย พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
* ภูมิวิลาสินี (พระพรหม โมลี)
โฆษณา