9 ก.ย. 2020 เวลา 09:32 • นิยาย เรื่องสั้น
▪️โอวตี่ แซ่โค้ว▪️นักฆ่าหน้าหยก ตอนที่3
นักพเนจรรุ่นเยาว์!
แม่ของโอวตี่อยากให้ลูกเป็นคนขยัน โดยไม่ให้อยู่ว่างได้พาไปฝากทำงานกับญาติที่ตลาดสำเพ็ง ซึ่งเป็นร้านขายของเครื่องใช้ ทว่าสำเพ็งในสมัยนั้นมีสภาพเหมือนกับเมืองซัวเถาของจีน อันต่างกันตรงที่มีบริเวณจำกัด ไม่กว้างขวางเหมือนซัวเถา โอวตี่ทำงานอยู่ตลาดสำเพ็งได้ไม่นาน เตี่ยเดินทางมาจากราชบุรี พอตอนกลับได้รับตัวโอวตี่ไปอยู่ด้วย เมื่อไปอยู้ราชบุรีเตี่ยได้ฝากโอวตี่เข้าโรงเรียนในจังหวัดราชบุรี โดยเริ่มเรียนชั่นประถมเพราะความเกรงกลัวพ่อ ทั้งถูกบังคับ โอวตี่ฝืนใจเรียนจนสามารถอ่านออกเขียนได้ แต่พอถูกครูเข้มงวดกวดขันมากเข้าก็เริ่มเบื่ออีก เขาขออนุญาตเตี่ยออกจากโรงเรียนมาช่วยงานขายของในร้านค้า พร้อมกับช่วยงานทานโรงแรมด้วย
เตี่ยของโอวตี่นอกจากมีโรงแรมแล้ว ยังเป็นเอเย่นนต์จำหน่ายน้ำเเข็งในจังหวัดราชบุรี โดยเขาจะต้องถีบจักรยานไปเที่ยงส่งของตามร้านค้าทุกแห่งที่เป็นตัวแทน พอมีเวลาว่างเตี่ยก็บังคับให้เรียนหนังสือเพราะว่าปรารถนาให้ลูกชายมีความรู้ติดตัว คราวนี้เขาเรียนทั้งหนังสือไทยและจีน กระนั้น เขากลับเห็นการเรียนหนังสือเป็นเรื่องบังคับจิตใจจึงพยายามหนีเรียนอยู่เสมอ ครูที่สอนพลอยเอือมระอา ขืนปล่อยปละละเลยไม่ช้าเด็กนักเรียนอื่นที่ดีอาจถูกชักชวนให้เสียไปด้วย ทั้งนี้เกือบทุกวันในเวลาเรียน โอวตี่มักหนีเรียนไปนั่งรถเที่ยวเล่น บางครั้งไปถึงนครปฐม แต่ฉลาดพอที่จะกำหนดกลับบ้านให้ตรงกับเวลาโรงเรียนเลิก
วันหนึ่งโชคไม่เข้าข้างเขา รถเกิดเสียกลับผิดเวลา พอถึงราชบุรีรีบตรงเข้าไปสั่งคนเฝ้าโรงแรมไว้ ถ้าเตี่ยถามให้บอกเขากลับมานานแล้ว โดยหารู้ไม่ว่าเตี่ยจ้องจับผิดมาก่อนหน้านั้น เพราะทราบพฤติกรรมต่างๆ จากครูจนหมด ขืนตามใจจะเสียคนยิ่งกว่านี้ เตี่ยได้เรียกโอวตี่เข้าพบ ดุด่าเป็นเด็กไม่รักดี ทำตัวเป็นคนรกโลก มิหนำซ้ำยังแจกแจงเชิงรู้เท่าทันเขา วันไหนโกหกอย่างไร ไปไหน ไปทำอะไร? วันนั้นเตี่ยโกรธมากเพราะแต่ละข้อหาเป็นความชั่วจากที่เจ้าตัวเถียงไม่ขึ้น ความรักที่เคยทุ่มเทให้ ถูกลูกชายทำลายจนหมดสิ้น และนั่นเป็นวันที่ต้องจำไปชั่วชีวิต ด้วยเป็นวันที่ต้องเสียใจที่สุดเพราะเตี่ยได้ลงมือเฆี่ยนตีลูกชายเป็นครั้งแรก ความเจ็บปวดทางร่างกายเขาไม่รู้สึกเท่าไหร่ แต่ทางจิตใจที่ต้องสูญเสียความรัก ความเอ็นดู ความอบอุ่นจากเตี่ย โอวตี่ถึงกับร่ำไห้ ชีวิตนี้สิ้นสุดกันที หวังความอบอุ่นในอ้อมอกพ่อแม่ กลับถูกทำลายลงหมด ก็คิดถึงอาม่า แม้ตนร้ายเพียงไร อาม่าไม่เคยเฆี่ยนตีแบบนี้เลย
2
สู่โลกกว้างเป็นเด็กจรจัด!
คืนนั้น เขาหลบหนีออกจากราชบุรี เร่ร่อนไม่ผิดเด็กจรจัด กระทั่งได้ทำงานเป็นเป็นกระเป๋ารถเมล์สายบ้านโป่ง-โพธาราม-นครปฐม แต่อยู่ไม่นานเกิดไปมีเรื่องกับพรรคพวกร่วมงาน ก็สัญจรไปอยู่กับพวกรถบรรทุกรับจ้างขนผลไม้ ประเภทเงาะและทุเรียนยังบริษัทเต็งเซียง อยู่ได้ประมาณ ๔-๕ เดือน ได้รู้ข่าวพ่อแม่ทางบ้านส่งคนออกติดตามไปทั่ว จึงหนีเข้ากรุงเทพฯ ซมซานหางานทำ ถึงกระนั้นเขาคงทำงานที่ใดไม่ได้นาน เนื่องจากชอบทะเลาะวิวาทกับคนอื่น
ในที่สุดโอวตี่ต้องกลายเป็นเด็กจรจัด อาศัยซุกหัวนอนยังด้านหลังพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ ๑ เชิงสะพานพุทธฯ แต่ยังหาความสุขกายไม่ได้ บางคืนต้องวิ่งหนีตำรวจที่ออกจับเด็กจรจัด ไปส่งให้ฝ่ายประชาสงเคราะห์ควบคุมกับฝึกวิชาชีพหรือโรงเรียนดัดสันดาน ยามกลางวันโอวตี่สวมบทเป็นเด็กเข็นรถสามล้อขึ้นสะพานพุทธฯ หวังเศษสตางค์จากผู้โดยสารเวทนา จึงมีรายได้พอเป็นค่าอาหารไปวันๆ นานวันเข้าอาชีพนี้ถูกเด็กจรจัดเช่นตนมาแย่งทำมากขึ้น รายได้กลับลดน้อยลง ถึงกระนั้นเขายังสุขยิ่งกว่าอยู่ที่บ้าน วันหนึ่ง ขณะเข็นรถอยู่บนสะพานพุทธฯ บังเอิญเหลือบไปเห็นแม่และญาติแต่ไกล เกิดความกลัวจะถูกจับตัวกลับบ้าน จึงหาที่หลบซ่อนตัว จนเวลาผ่านไปถึงโผล่ออกมา แต่ก็ต้องตกใจอีกครั้งเมื่อพวกเด็กที่เข็นรถสามล้อท้งหมดเข้ามารุมล้อม เด็กที่ตัวใหญ่กว่าโดดเข้ามาเอาผ้าขาวม้าคล้องมัดตัว ส่วนที่เหลือได้กรูเข้ามาช่วยเพราะผู้เป็นแม่ได้ติดสินบนเด็กจรจัดนำจับลูกชายด้วยเงินรางวัลที่พอแบ่งกันได้สบายกว่าเข็นรถสามล้อขึ้นสะพานสูงชันทั้งวัน
3
โอวตี่ถูกแม่ล่ามโซ่ไว้ในบ้านป้องกันการหลบหนี แต่ไม่เป็นผลเพราะโอวตี่สามรถงัดโซ่หลบหนีไปได้ เวลานั้นโอวตี่หลบไปที่บ้านอาสาว (น้องสาวของเตี่ย) มีร้านติดอยู่กับห้างขายยาวัดสามจีน ชื่อ “ซ่งใช้” กลับเกิดความระแวงเกรงอาสาวส่งข่าวไปทางบ้านแม่ และคงไม่พ้นถูกจับล่ามโซ่อีก จึงได้หลบหนีไปสมัครเป็นกระเป๋ารถเมล์สายถนนตก-ท่าเตียน เขาอยู่ได้ไม่นานก็เกิดอารมณ์ร้ายระงับไม่อยู่ ได้ใช้เหล็กขูดชาร์ปแทงเด็กกระเป๋าด้วยกันจนบาดเจ็บ จึงถูกตำรวจจับไปคุมขังที่สถานีตำรวจยานนาวา นับเป็นครั้งแรกในชีวิตโอวตี่ที่ต้องถูกคุมขังในกรงที่สถานีตำรวจ อยู่ในห้องแคบๆ เพียง ๒-๓ ชั่วโมง ทางโรงพักก็ปล่อยตัวออกมาเพราะมีผู้มาประกันตัวไปขอเจรจากับผู้เสียหาย โดยยอมชดใช้รักษาค่าพยาบาลและค่าป่วยการ ซึ่งบุคคลผู้นั้นมิใช่ใครอื่น แม่ของโอวตี่นั่นเอง
2
หลังจากเกิดเรื่อง โอวตี่ได้มาอยู่กับอาสาวที่ร้านเก่าอีกระยะหนึ่ง เพราะความคล่องตัวและใช้งานง่าย ญาติถึงกับไว้ใจให้นำเงินไปเข้ายังธนาคาร ระหว่างนั้นร้านค้าที่อยู่ติดกับร้านญาติมีสาวสวยวัยรุ่นนางหนึ่งที่โอวตี่ชมชอบ จึงใช้ความเป็นชายหนุ่มหน้าตาดีเข้าไป “สี” จนเกิดเป็นความพึงพอใจซึ่งกันและกัน ภายหลังเกิดความกระดากอาย ไม่กล้าอยู่สู้หน้าญาติของตนและแฟนสาว ด้วยเหตุเพียงรูปถ่ายที่โอวตี่แอบมอบไว้ให้กับเธอ จึงจำหลบออกจากบ้านญาติ โดยตั้งสัจจะไว้
“หากไม่รวย จะไม่ขอกลับบ้านไปหาแม่และเตี่ย”
สู่ยุทธจักรนักเลง!
เยาวราช เป็นถิ่นฐานที่มั่นคงด้านการค้าแห่งแรกของคนจีน ถึงสภาวะการเงินการตลาดจะเปลี่ยนโฉมไป แต่เยาวราชยังคงมีความสำคัญอยู่เสมอ การค้าในย่านเยาวราชมีตั้งแต่แผงขายบุรี ผลไม้สดและผลไม้แห้งจากต่างประเทศ จนถึงทองคำและทองรูปพรรณที่มีราคาแพง นอกจากนี้ยังมีโรงเหล้า โรงยาฝิ่น บ่อนการพนัน และช่องโสเภณี อันเป็นอบายมุขที่เจ้าหน้าที่บ้านเมืองถือเป็นสิ่งชั่วร้าย และเป็นบ่อเกิดของอาชญากรรม ทางราชการจึงไม่อนุญาตให้มี แต่เมื่อบ้านเมืองเจริญขึ้น สังคมแผ่ขยายออกกว้างขวาง อบายมุขดังกล่าวพลันเกิดขึ้น พร้อมทั้งปัญหาต่างๆ ที่ติดตามมาเพียบ
โอวตี่เริ่มต้นใช้ชีวิตเหลวแหลก ริเป็นนักเลง อยู่แถวตึก ๖ ชั้นบนถนนเยาวราช ซึ่งเป็นแหล่งโสเภณีชุกชุม กับแถววงเวียน ๒๒ กรกฎาฯ ที่มีสภาพคล้ายกับสถานีรถโดยสารต่างจังหวัด (ก่อนนั้นสถานีหมกชิตยังไม่มี) จึงมีนักเลงหัวไม้ตั้งแต่ระดับปลายแถวจนถึงหัวหน้าแก๊งคอยควบคุมพร้อมเรียกค่าคุ้มครอง ในระยะนั้น โอวตี่ก็ได้รู้จักกับนักเลงใหญ่ในย่านวงเวียน ๒๒ กรกฎาฯ คนหนึ่งนาม #มาซีเก๊า ผู้เป็นนักเลงที่มีจิตใจเป็นธรรมซึ่ง #โอวตี่ ให้ความรักทั้งดคารพนับถือเหมือนพี่ชาย ส่วนมาซีเก๊าเองได้ให้ความสงสารและเอ็นดู พร้อมกับให้ที่พักอาศัยอยู่ในบ้านด้วยความสุขสบาย เนื่องจากไม่ต้องการให้โอวตี่เป็นนักเลง ด้วยยังมีอายุน้อยมาก พยายามอบรมสั่งสอนให้กลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดี ด้วยจิตใจที่เด็ดเดี่ยวและค่อยข้างหัวดื้อ แม้หญิงที่เขารักส่งคนมาบอกให้กลับ รวมทั้งผู้เป็นแม่ได้แอบมาหามาซีเก๊า ขอให้ช่วยบังคับให้เขากลับบ้าน
มาซีเก๊าเป็นนักเลงที่มีคุณธรรม ไม่เคยเห็นผลประโยชน์ตนเป็นใหญ่ ลูกน้องคนใดถ้ามีฝีมือ ไหวพริบพอส่งเสริมให้ได้ดีได้จะช่วยผลักดันจนถึงที่สุด ทั้งคอยช่วยเหลือผู้ที่อ่อนแอกว่า ถ้ามีใครในละแวกถิ่นถูกฉกชิงวิ่งราวทรัพย์สินเงินทอง และจับตัวคนร้ายไม่ได้ ส่วนมากจะไม่ยอมแจ้งความกับตำรวจ กลับไปหาผู้กว้างขวางหรือหัวหน้าที่ถิ่นหรือนักเลงเจ้าถิ่นมาซีเก๊าให้ช่วย โดยบอกวันเวลาที่เกิดเหตุและลักษณะคนร้าย(ถ้าทราบ)จากนั้นค่อยกลับไปรอฟังข่าวที่บ้านได้เลย รับรองไม่เกินสามวัน บรรดาลูกน้องจะนำสิ่งของที่ฉกชิงมาคืนให้ถึงที่ พร้อมทั้งกล่าวคำขอขมาและรับผิด
มาซีเก๊าจึงเพียงพยายามชี้แจงให้โอวตี่เห็นการเป็นนักเลงนั้นมันอันตราย ต้องคอยระวังนักเลงอันธพาลด้วยกันใช้เล่ห์หรืออาวุธและจังหวะตามหักเหลี่ยม คล้ายลองของกับลองดีอยู่เสมอ ด้วยทุกคนไม่ชอบให้ใครดังอยู่ได้ตลอด โดยมากตามในสภาพน่าทุเรศคือ #ตายโหง! อย่าริเลย โอวตี่ยืนยันคำเดียว เขาไม่กลับบ้านเด็ดขาด จะตายร้ายดียังไงก็ไม่กลับ เพราะขาตั้งใจแล้ว ความดื้อดึงของกุมารจีนทำให้มาซีเก๊าโกรธ ถึงขั้นบังคับให้กลับบ้าน กระทั่งเจอมาซีเก๊าโดดเตะจนบอบซ้ำ เขาก็ทนให้เตะ ไม่โกรธ ไม่สู้ เพราะโอวตี่เคารพน้ำใจมาซีเก๊า รู้ว่าที่ทำร้ายเขาด้วยหวังดีต่อเขาอยากให้เป็นคนดี ไม่ต้องการให้เขาประพฤติตัวเป็นคนไร้ค่า โอวตี่กลับเคารพบูชาน้ำใจมาซีเก๊ายิ่งขึ้น
มาซีเก๊าจึงไม่สามารถเอาชนะจิตใจมังกรวัยรุ่น และมีผลให้มาซีเก๊าหมดปัญญา รู้สึกสงสารและเสียใจ ขอโทษต่อเขาที่ทำรุนแรงไป นับแต่วันนั้นมา โอวตี่ได้ศึกษาการดำรงตนเป็นนักเลงวัยรุ่นจากมาซีเก๊า เรียนรู้การต่อสู้ เหลี่ยมเล่ห์และชั้นเชิงสารพัดของคนในยุทธจักร จนคิดว่าตนพอจะเอาตัวรอดได้ก็โลดเข้าสู่ยุทธจักรเต็มตัวโดยความจริงแล้วเขายังเด็ก ขาดประสบการณ์ ทว่าใจใหญ่เกินตัวจนถูกมาซีเก๊าปราม เป็นนักเลงหาใช่จะใช้แต่กำลัง ต้องใช้สมองด้วย ถึงกระนั้นความที่เป็นเด็กใจร้อนใจเร็ว กล้าดวลมีดกับเด็กที่โตกว่า โอวตี่กลับใช้เชิงยุทธเหนือชั้นแทงรุ่นพี่ถึงขั้นปางตายในบ้านของคู่ต่อสู้ แต่เชิงกฏหมายเป็นรอง เขาจึงโดนข้อหาชิงทรัพย์และทำร้ายร่างกายเจ้าทรัพย์บาดเจ็บสาหัส! โอวตี่วันนี้ได้กลายเป็นอาชญากรเต็มตัว!
1
สัมผัสคุกเยาวชน!
ในที่สุดเขาต้องเผ่นหนีจากกรุงเทพฯ ไปอาศัยพักพิงกับ #เสือเปีย เสียปล้นชื่อดังย่านภาคตะวันออก พอคาดว่าทางตำรวจละเลยคดีแล้วจึงหลบเข้ากรุงเทพฯ ลอบไปหา #คิ้ม เด็กสาววัยรุ่นที่โอวตี่ยอมรับเธองดงามทั่งกายใจ ถึงจะมีความสุขที่ใกล้ชิดแฟนสาว กลับเป็นความสุขทางสรีระ มิใช่ทางใจ ด้วยใจเขาร้อนปานไฟ พรั่นหวั่นสักวันถ้าเขาถูกจับ สาวคิ้มอาจทอดทิ้งเขาเพราะเป็นคนไม่มีอนาคต คิ้มเองได้วอนให้เขามอบตัวสู้คดีเนื่องจากความจริงมิได้ชิงทรัพย์ตามที่โจทก์อ้าง เพื่อถนอมน้ำใจสาวคนรักเขาสัญญาจะเข้ามอบตัวเร็วๆ นี้ พอขึ้นล่องเข้ากรุงบ่อยครั้ง “กลิ่น” ของโอวตี่โชยเข้าจมูก “สก๊อต”จึงถูกจับกุมจนได้
แต่เนื่องจากเขายังเป็นเยาวชน ต้องขึ้นศาลพินิจและคุ้มครองเด็ก เลยถูกส่งตัวไปอยู่บางนาหรือสถานพินิจคุ้มครองเด็ก อันมิต่างคุกเยาวชน โอวตี่ขอสู้คดีข้อหาชองทรัพย์ โดยสารภาพความจริงต่อศาลว่าเขาไม่ได้ชิงทรัพย์เป็นการต่อสู้กันซึ่งเท่ากับ “รับภาคเสธ” ตามกฏหมายเท่ากับกึ่งรับกึ่งสู้ในคดีเดียวกัน แต่พนักงานสอบสวนได้ “เน้น” คดีหวังชิงทรัพย์ คดีย่อมต้องหาประจักษ์พยานมาให้การทั้งสองฝ่าย มาซีเก๊าระหว่างนั้นเหมือนอิ่มตัวในยุทธจักร เตรียมล้างมือจากวิถีทางนักเลง แต่มีจิตใจรักโอวตี่ กับชมชอบความยุติธรรม ลงทุนหาข่าวคดีที่เด็กของตนก่อขึ้นจึงรู้ว่าคนเจ็บหรือผู้เป็นโจทก์ให้ร้ายแก่โอวตี่รุนแรงไป ต้องหาทางปกป้อง
มาซีเก๊ายิ่งใหญ่ได้ด้วยมีสมองกับฝีมือ พร้อมใจที่เปี่ยมคุณธรรมจึงมิได้หักหาญตำรวจโดยตรง ได้วางแผนช่วยเหลือเด็กของตนอยู่เบื้องหลัง แต่ให้บริวารไปข่มขู่โจทก์กับพยานฝ่ายโจทก์แทนใช้กำลังในเบื้องต้น ความที่ชื่อเสียงมาซีเก๊าทรงอำนาจ พยานโจทก์ต่างยินดีให้การเพื่อช่วยโอวตี่ (จากนั้น...ทราบว่ามาซีเก๊าได้ถอนตัวจากยุทธจักรนักเลง ย้ายครอบครัวไปทำการค้าอยู่ต่างจังหวัด ใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวอย่างสงบ) ด้านโอวตี่แม้อยู่ในที่อิสระกลางหมู่เด็กมากปัญหา มิวายถูก “ลองของ” ก็สั่งสอนด้วยเพลงมวยและจากธาตุทมิฬอันเร่าร้อนใคร่พ้นจากสถานที่ควบคุม จนไม่มีผู้ใดหาญต่อรองอีกเลย หลายครั้งที่โอวตี่ละเมิดกฏไม่ยอมทำงาน ผู้คุมได้รายงานพฤติกรรมเขายังหัวหน้าแผนกปกครอง (อาจารย์กลิน สีตะธานี ตำแหน่งล่าสุด รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์) เพื่อขออนุญาตลงโทษเขาแต่หัวหน้าแผนกฯ กลับสั่งให้ผู้คุมพาโอวตี่มาให้ดูหน้าตาซักถามให้รู้ความจริงก่อนสั่งลงโทษ....
เปี๊ยก จักรวรรดิ์
โฆษณา