“ปกติลุงสูบวันละเท่าไหร่”
“ซองนึง” ลุงตอบ “ผมเริ่มลดลงวันละมวน พร้อมวิ่งสลับเดิน กะว่าเหลือวันละมวนจะเลิกขาด”
“แล้วลุงใช้เวลาไปเท่าไหร่”
“หกเดือน” ลุงวิชญ์ตอบ ซึ่งทำเอาผมเหวอ ซึ่งพอเห็นอาการ ลุงแกก็รีบคลายความแปลกใจของผม “ปกติถ้าจะเลิก วันเดียวก็เลิกได้ แล้วทนไปวันสองวัน แต่ผมเป็นพวกจิตอ่อน อาลัยอาวรณ์ เลยใช้เวลามาก”
“ระหว่างลด อาการเป็นยังไง” ผมซัก
“สบาย” ลุงว่า “เพราะเราตั้งมั่นที่จะเลิก แค่คอยเตือนตัวเองว่า อย่าสูบ ถ้าสูบจะวิ่งไม่ไหว คือเวลาวิ่งมันจะหายใจไม่ออก ผมก็เอาอาการตรงนี้มาบอกตัวเองว่า นี่ไง ผลร้ายของบุหรี่ วิ่งได้แค่ 100 ก้าวก็ต้องเดิน ถ้าจะวิ่งให้ได้ยาวๆก็ต้องเลิกสูบ ผมก็เชื่อตัวเอง เพราะผลร้ายมันโชว์ให้เห็น ตอนนั้นวิ่งไปก็ลดจำนวนการสูบลง ร่างกายก็ไม่ได้แผลงฤทธิ์อะไร ในที่สุดเหลือวันละ 1 มวน พอสิ้นมิถุนายนปีที่แล้วผมก็เลิกขาด”
“อาการเป็นยังไง” ผมซักอย่างอยากรู้
“ไม่มีอะไรผิดปกติ” ลุงว่า “ไม่หูอื้อ ไม่ตาลาย ไม่ขวางหูขวางตาชาวบ้าน เพราะร่างกายมันรับรู้มา 6 เดือนแล้วว่ากำลังจะขาดนิโคติน แต่ความอยากสูบยังมี หนักด้วย ก็สูบตั้ง 52 ปี เลิกปุ๊บปั๊บแล้วไม่อยากเลยนั่นซิแปลก ผมหักห้ามใจด้วยการวิ่งให้ได้มากกว่า 100 ก้าว ยิ่งวิ่งมากโดยสามารถหายใจได้คล่อง ความอยากสูบบุหรี่ก็ยิ่งลด เพราะเห็นๆอยู่ว่าผลของการเลิกสูบมันทำให้วิ่งได้ยาวนานขึ้น”
“ในที่สุด..” ผมแอบเร่ง
“ในที่สุดจาก 100 ก้าว ผมก็ไปได้ถึง 800 ก้าว” ลุงเล่าต่อ “ตอนนั้นผมบอกตัวเองว่าถ้าวิ่งต่อเนื่องได้เกิน 800 ก้าว แปลว่าสารพิษตกค้างในปอดน่าจะลดลงแล้ว”
“แล้วถึงมั้ย”
“ถึง เกินด้วย” ลุงวิชญ์อวด “จาก 100 ก้าว เป็น 800 จากนั้นก็เป็น 1,000 ก้าว สองพันก้าว สามพัน สี่พัน ห้าพัน ทั้งหมดใช้เวลา 6 เดือน ตอนนั้นผมเชื่อว่าสารพิษออกจากปอดหมดแล้วเพราะหายใจคล่องมากและไม่มีความรู้สึกอยากสูบบุหรี่อีกเลย”
“ยินดีด้วย” ผมว่า “แล้วจริงๆลุงว่ามันไปหมดแล้วมั้ย”
“เรื่องสารพิษน่าจะหมด” ลุงตอบ “แต่ผลร้ายจากการสูบบุหรี่น่าจะยังอยู่ คือพอวิ่งช้าๆต่อเนื่องจนได้ 2 ชั่วโมง 50 นาทีโดยไม่หยุดพัก เพซหรือระดับความเร็ว 10-13 ระยะทาง 17 กม. ผมก็ยุติการทดสอบสภาพปอด แล้วขยับไปวิ่งที่เพซ 7 คือเร็วกว่าเดิมเกือบเท่าตัว ทันใดผมก็หายใจไม่ออก วิ่งได้แค่ 100 ก้าวก็ต้องหยุดทั้งที่ก่อนหน้านี้ผมวิ่งช้าๆต่อเนื่องได้ถึง 12,000 ก้าว ผมไปหาคำตอบ มีบางข้อมูลบอกว่าสูบบุหรี่นานๆอย่างผม เนื้อปอดมันเหลือแค่ 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น”
“อื๊อย” ผมครางอย่างสยอง “จริงหรือ ถ้าใช่ แล้วลุงจะเอาไงเรื่องมาราธอน”
“เลิก”
“จริงอ้ะ” ผมอุทาน แล้วมองดูชุดกีฬาของลุง “แต่ลุงยังวิ่งอยู่นี่นา”
“หมายถึงเลิกอ่านข้อมูล” ลุงวิชญ์ตอบหน้าตาเฉย “แล้ววิ่งต่อ อยากรู้ว่าในที่สุด ด้วยสภาพปอดที่ว่าอาจเหลือแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ ผมจะวิ่งไปได้แค่ไหน”