11 ก.ย. 2020 เวลา 22:09 • ท่องเที่ยว
Summer Iceland 2018 (12/1) .. โลกน่าทึ่งที่ Mossy Lava Field
ตลอดทางที่เราผ่าน จะมองเห็นทุ่งลาวาขนาดใหญ่กว้างขวางครอบคลุมพื้นที่สุดลูกหูลูกตาอยู่หลายแห่ง จนทำให้อดคิดไม่ได้ว่าในช่วงเวลาที่ยังไม่มีผู้คนอพยพเข้ามาครอบครองดินแดนแห่งนี้ ได้เกิดการประทุและระเบิดของภูเขาไฟอย่างมโหฬารขนาดไหน จึงทำให้มีลาวาไหลออกมามากมายครอบคลุมอาณาเขตที่กว้างใหญ่ไพศาลขนาดนี้
Mossy Lava Field ที่เราแวะพักและถ่ายรูป อยู่สองข้างทางของถนนที่อยู่ระหว่างหมู่บ้าน Vík และหมุ๋บ้าน Kirkjubæjarklaustur
ทุ่งหินลาวาของที่นี่ เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟ Laki (8 June 1783 - 7 February 1784 ซึ่งการระเบิดครั้งนั้นรู้จักกันในชื่อ Skaftáreldar "Skaftá fires" ) ซึ่งอยู่ระหว่างกราเซีย Myrdaksjokull และ Vatnajokull ห่างจากที่ตรงนี้ไปราว 50 กม.
2
.. การระเบิดครั้งนั้นได้สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อสรรพชีวิตในดินแดนสุดขอบฟ้าแห่งนี้ ด้วยปริมาณลาวามหาศาล (14 ลบ. กม.) และไหลเข้าท่วมบางพื้นที่ด้วยระดับสูงของลาวาถึง 800 - 1,400 เมตร นอกเหนือไปจากการพ่นฝุ่นเถ้าลาวาและแก๊สพิษอีกมโหฬารด้วยความสูงราว 15 กม. และการระเบิดของภูเขาไฟในแถบนั้นเป็นการระเบิดติดต่อกันเป็นเวลาถึง 8 เดือน
นอกจากนั้นยังมีการระเบิดของภูเขาไฟ Grímsvötn volcano ที่เป็นแนวต่อเนื่องมาจากภูเขาไฟ Laki (1783 – 1785) ซึ่งปล่อยแก๊ส sulfur dioxide ออกมาราว 120 ล้านตัน
ผลกระทบด้านต่างๆของการระเบิดในครั้งนั้น ใช่จะสร้างความเสียหายร้ายแรงในไอซ์แลนด์เท่านั้น แต่ยังสร้างความหายนะให้กับหลายประเทศในยุโรปติดต่อกันเป็นเวลาหลายปี และนับเป็นความเสียหายที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลก
เรียนรู้การถือกำเนิดของทุ่งลาวาที่สวยงามแห่งนี้ด้วยความเศร้าสลด … ที่แห่งนี้จึงถือได้ว่าเป็นอนุสรณ์สถานของพลังที่ยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ (The great monument of nature and power)
อ่านรายละเอียดของเหตุการณ์ภูเขาไฟระเบิดในครั้งนั้นได้ที่ https://en.wikipedia.org/wiki/Laki และ https://www.funiceland.is/blog/posts/2018/march/eldhraun-lava-field-in-iceland-and-the-eruption-in-laki/
เราจอดรถในลานจอดที่เว้าเข้ามาจากถนนสายหลัก .. ซึ่งมีป้ายบอกให้รู้ว่าที่นี่เป็นสถานที่สงวนและอนุรักษ์ ซึ่งหมายความว่า ผู้ที่มาเยือนควรจะระมัดระวังไม่ไปปีนป่ายลาวาที่มีมอสปกคลุมอยู่ เพราะหากมอสเสียหายจะต้องใช้เวลานานมากๆกว่าที่มอสเหล่านี้จะสามารถฟื้นตัว และเติบโตมาอยู่ในสภาพที่เราเห็นในปัจจุบัน
ทิวทัศน์ของทุ่งลาวาด้านที่ติดกับถนน .. มีเนินเตี้ยๆ ซึ่งมีร่องรอยของทางเดินขึ้นไป อาจจะเพื่อถ่ายภาพทุ่งลาวาในมุมกว้าง จากเนินที่สูงอีกเล็กน้อย
มีถนนดินดำและทางเดินแคบๆนำเราเข้าไปสู่อีกด้านของทุ่งลาวา … ว่ากันว่า เราสามารถที่จะเดินเทร๊กกี้งชมภูมิประเทศแถบนี้ตามเทรลต่างๆได้ แต่ห้ามเดินออกนอกเทรล
พื้นที่ตรงนี้เป็นเนินสูงๆต่ำๆ มีมอสที่เริ่มมีสีเขียวปกคลุมเต็มพื้นที่
ทุ่งลาวาที่นี่มีชื่อว่า Eldhraun Lava Field ครอบคลุมพื้นที่ราว 565 ตารางกิโลเมตร โดยตลอดพื้นที่แถบนี้ไม่มีภูเขาเลยค่ะ และว่ากันว่าที่นี่เองที่นักบินอวกาศของยาน Apollo 11 มาฝึกการเดินบนดวงจันทร์ (moonwalk)
หินลาวาของที่นี่มีลักษณะมนๆ ไม่แหลมเหมือนที่อื่น .. ว่ากันว่า สาเหตุเป็นเพราะมอสที่ปกคลุมหินเหล่านี้อยู่ได้ย่อยหินลาวาให้กลายเป็นดินเรียบร้อยแล้ว หินจึงไม่แหลมเหมือนที่อื่นๆ …
หินลาวาเหล่านี้ถูกปกคลุมด้วยมอส (Woolly Fringe Moss) สีเขียวปนสีเทาหม่นที่หนานุ่มดุจผืนพรม เป็นมอสที่ขึ้นอยู่บนหินในเขตพื้นที่ที่อากาศหนาว และเมื่อวันเวลาผ่านไป (ที่นี่ใช้เวลาราวกว่า 200 ปี) มอสเหล่านี้ซ้อนกันเป็นชั้นๆคล้ายพรมหนาๆ
ว่ากันว่า … ปกติในช่วงที่อากาศหนาวมากและแห้ง มอสเหล่านี้จะมีสีเทาปนขาว แต่ในช่วงหน้าร้อนที่มีฝนตกในบางช่วงเวลา เหมือนกับช่วงที่เราไปเที่ยว มอสจะมีสีเขียวสดใสขึ้น …
ดอกไม้ดินหลายสีที่พลิ้วไหว เริงระบำไปตามจังหวะของสายลมทุ่ง อาจจะเป็นสิ่งเดียวที่แต่งแต้มสีสันให้ทุ่งสีหม่นนี้เสมือนจะมีชีวิตชีวา ดึงดูดให้ผู้ที่ผ่านไปมา เข้ามาเก็บภาพสวยๆ
ตลอดทริปการเดินทางในไอซ์แลนด์ เราเห็นมอสในทุ่งลาวาอยู่มาก บางแห่งมองเห็นเป็นหย่อมๆ … แต่ไม่มีที่ไหนที่ฉันเห็นจะกว้างใหญ่เท่าที่นี่ .. อาจจะเพราะพลังของการระเบิดของภูเขาไฟในบริเวณนี้เมื่อนานมาแล้วมันรุนแรง กินพื้นที่กว้างใหญ่กว่าที่อื่นๆนั่นเอง
ทุ่งลาวาของที่นี่มีถนนสายเล็กๆตัดผ่าน และสามารถเทร็กกิ้งผ่านเนินสูงๆต่ำๆเป็นลอนๆได้ด้วย … แต่เราไม่ได้ลองเดินค้นหาว่ามีอะไรซ่อนอยู่ในความลึกลับของทุ่งแห่งนี้
ในปี 2015 Justin Bieber เคยมาถ่ายทำมิวสิกวีดีโอเพลง “I’ll show you” ณ ทุ่งลาวาแห่งนี้ด้วย (รวมถึงสถานที่อื่นๆในพื้นที่ตอนใต้ของไอซ์แลนด์ เช่น Skógafoss waterfall, Eldhraun lava field, Dyrhólaey, Fjaðrárgljúfur canyon, Seljalandsfoss waterfall and Jökulsárlón glacier lagoon)
ถึงแม้จะดูว่าสวย … แต่หากจะดูๆไปนานมากขึ้น ก็อาจจะจะรู้สึกวังเวงกับบรรยากาศรอบตัวอยู่สักหน่อย เหมือนเรากำลังอยู่อีกโลกหนึ่งไม่ใช่โลกมนุษย์ที่เราคุ้นเคย … โลกของมนุษย์ต่างดาว ดูจะเหมาะสมกับลักษณะที่เราเห็น
… ฉันว่า ออกจะมีบรรยากาศหลอนๆอยู่สักหน่อย หากต้องมาเดินที่นี่คนเดียว
ณ จุดหนึ่งของการเดินทาง ทำให้ฉันคิดว่า ไม่ใช่แค่เฉพาะในยุคสมัยนี้หรอกนะที่ผู้คนโหยหาอดีต และอยากรู้อนาคตจนต้องออกเดินทาง ผู้คนออกล่าออกค้นหามาเนิ่นนานตั้งแต่ครั้งโบราณกาล
หลายคนที่มีความฝัน ก้าวเท้าออกเดินเพื่อตามหาร่องรอยของอดีต อาจจะเป็นเพราะโลกสมัยนี้เปลี่ยนแปลงไปเร็วมากจนเราอัพเดทกันไม่ไหว และรู้สึกไม่ปลอดภัยกับอนาคต … เราอยู่กับปัจจุบันน้อยมากจริงๆ
*******************
เที่ยวทั่วไทย ไปกับ พี่สุ
ท่องเที่ยวทั่วโลก กับพี่สุ
ซีรีย์เที่ยวเจาะลึก ประเทศนอร์เวย์
Iceland ดินแดนแห่งน้ำแข็งและเปลวไฟ
Lifestyle & อาหารการกิน แบบพี่สุ
สถานีความสุข by Supawan
โฆษณา