12 ก.ย. 2020 เวลา 09:17 • ปรัชญา
EP108 : เราเป็น”โ ส ด า บั น ” ได้ไหม ?
ถ้าระดับการบรรลุธรรมเราไม่มีเลย แม้ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดาแล้ว เมื่อตายไปแล้วเวียนว่ายไปเกิดอีก น้อยมากที่จะรอดกลับมาเป็นมนุษย์หรือไปเป็นเทวดา ส่วนมากจะลงสามคติข้างล่างได้แก่ ไปเป็นเปรต เป็นเดรัจฉาน หรือเป็นสัตว์นรก อาจได้มาเป็นมนุษย์อีกครั้งก็เป็นยุคที่พระพุทธเจ้าองค์หน้ามาเกิดอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องที่อีกนานแสนนาน
ตถาคตบอกสอนว่า แม้ไฟกำลังลุกไหม้เส้นผมบนศรีษะ หรือโพรงเสื้อผ้า สิ่งที่เราต้องทำก่อน หรือสิ่งที่เร่งด่วนที่สุดคือ “การเรียนรู้ทางพ้นทุกข์คือ อริยสัจสี่” นัยว่าก่อนตายยังไม่รู้ธรรมแล้วนั้น โลกหน้าจะเลวร้ายเกินกว่าจะคิด เราท่านได้เวียนว่ายตายเกิดมานานแสนนาน เคยเป็นมาตั้งแต่กษัตริย์ ยันมหาโจร หรือแม้แต่แพะแกะลาช้างมา เลือดที่ไหลจากคอนั้นมีมากกว่าน้ำในมหาสมุทร
เป็นมนุษย์ครั้งนี้ยิ่งกว่านาทีทอง ที่จะเรียนรู้ทางพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ไม่ต้องไปห่วงใครปู่ย่าพ่อแม่ภรรยาลูกหลานญาติเพื่อนคนอื่น นอกจากตัวเองเลยในนาทีนี้ หากอยากจะตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ให้ดีที่สุด พระองค์บอกไว้ให้นำพุทธวจนะไปให้ฟัง สร้างความจริงที่ถูกปิดเปิดสู่ใจของท่านนี่แหละดีที่สุด
เมื่อเราพบกัลยานมิตร ท่านเข้าถึงสัทธรรมที่พระองค์บอกสอน การบรรลุนั้นทำให้ท่านมีพรหมจรรย์ หรือเดินในทางมรรคแปดได้ บรรลุฌานระดับต่างๆ4ระดับ ก้าวจากปุถุชน เป็นอริยบุคคล คือโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์
หากท่านก้าวไปถึงระดับโสดาบันแล้ว เมื่อตายไปท่านจะไม่ไปทางสามคติข้างล่างนั้นอีกต่อไป ครั้นเกิดตายอีก7ครั้ง ก็จะบรรลุนิพพาน
“โ ส ด า บั น” ดูอย่างไร ?
เราอยากรู้ว่าตัวเองเป็นหรือยัง ตถาคตบอกถึงลักษณะให้เราลองไปนั่งดูตัวเองได้ (แต่อย่านำไปใช้ดูคนอื่น มีตถาคตองค์เดียวเท่านั้นที่จะหยั่งรู้ถึงจิตอื่นๆ)
1. มี”ศรัทธา”หยั่งลงมั่นในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์
2. มีพร้อมใน “ศิล” อันเป็นไทจากตัณหา ผู้รู้สรรเสริญ ทิฏฐิไม่ลูบคลำ เป็นไปเพื่อสมาธิ
3. มีความพร้อมด้วย”อริยมรรคมีองค์แปด” (อริยมรรคมีองค์แปด เห็นชอบ เห็นอริยสัจสี่, ดำริชอบ คิดไม่กาม พยาบาท เบียดเบียน, วาจาชอบ ไม่เท็จ ไม่ยุ ไม่หยาบ ไม่เพ้อเจ้อ, การงานชอบ ไม่ฆ่า ไม่ลัก ไม่ผิดกาม, เลี้ยงชีพชอบ, เพียรชอบ ประคองจิตไม่ทำอกุศลกรรม, ระลึกชอบ มีสติรู้สึกตัวเหนือความพอใจและไม่พอใจในโลก, ตั้งใจมั่นชอบ มีสมาธิ ตั้งแต่เกิดปีติสุขเข้าฌานที่หนึ่ง เพราะวิตกวิจารรำงับไปเข้าถึงฌานสอง เป็นเครื่องผ่องใสภายในใจ สมาธิเป็นธรรมอันเอกผุดขึ้น มีแต่ปีติและสุข เพระาปีติและสุขหายไป มีแต่สติรู้สึกตัวทั่วพร้อม เสวยสุขด้วยกาย เข้าสู่ฌานที่สาม มีสติ ละความพอใจ ไม่พอใจในโลกออกเสียได้ จึงเข้าสู่ฌานที่สี่ ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มีแต่สติอยู่ในอุเบกขา)
2
4. สังเกตุตนได้ว่า “เว้นขาดจากการฆ่า การลักขโมย การประพฤติผิดในกาม กล่าวคำเท็จเป็นปกติ ดื่มสุราเมรัยเป็นปกติ” มีปัญญาใน “อริยญายธรรม =อิทัปปัจจยตา~ปฏิจจสมุปปบาท” มีอุบายทุกข์คติที่สิ้นแล้ว ถึงแล้วซึ่งกระแสแห่งนิพพาน มีการตรัสรู้พร้อมเป็นเบื้องหน้า
1
5. มีความรู้จัก “ปัญจุปาทานขันธ์” รู้ว่าการยึดติดขันธ์เกิดมาอย่างไร, การตั้งอยู่ไม่ได้ของการติดยึดขันธ์, รสอร่อยของการยึดขันธ์, ความทุกข์ของการยึดขันธ์, อุบายที่จะไปให้พ้นจากการยึดขันธ์
1
6. มีความรู้จัก “อินทรีย์หก” การเกิด การดับ รสอร่อย ทุกข์อันร้ายกาจ อุบายที่จะไปให้พ้น. ในอำนาจแห่งตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
7. มี”โสดาปัตติมรรคและผล” คือมีการปฏิบัติและมีผลว่า มีจิตน้อมไปว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่เที่ยงแปรปรวนเป็นปกติ (สัทธานุสารี) ธรรม 6 อย่างนี้ทนต่อการเพ่งโดยประมาณอันยิ่งแห่งปัญญาของบุคคลใดด้วยอาการอย่างนี้ (ธัมมานุสารี)
8. ละกรรมที่พาไปอบายได้ (สังโยชน์) 3 สักกายทิฏฐิ-เห็นขันธ์ห้าเป็นตัวตน, วิจิกิจฉา-ลังเลในการปฏิบัติทางดับทุกข์, สีลัพพตปรามาส-ถือศิลพรตผิดความมุ่งหมายที่แท้จริง
9. มีณานหยั่งรู้ “เหตุให้เกิดขึ้น และเหตุให้ดับไป ของโลก”คือไม่สงสัยใน อิทัปปจยตา-ปฏิจจสมุปปบาท
10. รู้ญานวัตถุ44 อย่าง คือแต่ละสายของปฏิจจสมุปปบาทโดยนัยอริยสัจสี่ ทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต (11สาย x 4อริยสัจ)
11. รู้ญานวัตถุ77 อย่าง คือแต่ละสายของปฏิจจสมุปปบาทรู้ถึง “เหตุเกิด และความดับ” ของทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต
12. มีญานในธรรม (สัทธานุสารี) และธรรมในการรู้ตาม (ธัมมานุสารี)
13. ไม่มีความสงสัย ในกรณีความเห็นที่เป็นไปในลักษณะยึดถือตัวตน ขันธ์ห้าเมื่อยึดถือเป็นตัวตนก็เหมือนไม่เห็นความจริงดังว่า ลมย่อมพัด น้ำย่อมไหล หญิงมีครรภ์ย่อมคลอด อาทิตย์จันทร์ย่อมมีขึ้นตก ขันธ์มีเกิดย่อมมีดับ
14. ไม่มีความสงสัย ในกรณีความเห็นที่เป็นไปในลักษณะขาดสูญ (ไม่มีเหตุปัจจัย)
15. มี”โสดาปฏิผล” 6 อย่างเป็นอานิสงส์ทำให้รู้แจ้ง คือ เป็นผู้เที่ยงแท้ต่อพระสัทธรรม เป็นผู้มีธรรมอันไม่เสื่อม เป็นผู้ประกอบด้วย”อสาธารณญาน”(ฌานที่ไม่เป็นทั่วไป) เป็นผู้เห็นธรรมที่เป็นเหตุ และเห็นธรรมทั้งหลายเกิดมาแต่เหตุ
16. ฐานะที่เป็นไปไม่ได้คือ ฆ่าแม่,ฆ่าพ่อ,ฆ่าพระอรหันต์,คิดประทุษร้ายพระพุทธเจ้า,ทำให้สงฆ์แตกแยก,ถือศาสดาอื่นนอกจากตถาคต
1
17. ความคิดของโสดาบันจะไม่ เข้าถึงสังขารโดยความเป็นของเที่ยง, สุข, ตัวตน, ทำการฆ่าตัวตาย, เข้าถึงโดยวิธีการศาสนาอื่น, หาอริยบุคคลศาสนาอื่น
18. ฐานะที่เป็นไปไม่ได้คือ ไม่ยำเกรง พระพุทธเจ้า,พระธรรม,พระสงฆ์,ไม่เคารพข้อปฏิบัติศิล สมาธิ ปัญญา,ไม่มาสู่หญิงต้องห้าม(อนาคมนียวัตถุ),เกิดภพที่แปด
2
19. ฐานะที่เป็นไปไม่ได้คือ คิดว่า สุขทุกข์ตนเองทำ, ผู้อื่นทำ, ตนเองบ้างผู้อื่นบ้างทำ, เกิดขึ้นมาเองไม่มีตนเองทำ, ผู้อื่นทำ, ตนเองบ้างผู้อื่นบ้างทำ เพราะเห็นเหตุแห่งทุกข์และสุขนั้นได้เห็นโดยแท้จริง และธรรมทั้งหลายต่างเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย
ความสั้นลัดตรงที่จำเป็นของเราทุกคนคือ ใช้โอกาสครั้งเมื่อเป็นมนุษย์ที่คำของพระองค์ยังคงแพร่หลายไปทั่วโลก ใช้สติ ความกล้าหาญ การดำเนินพรหมจรรย์ (เดินมรรคแปด) 19ข้อนี้เป็นข้อที่เราหันมาลองใคร่ครวญดูตัวเองด้วยตัวเอง นำพาท่านไปสู่อริยแห่งโสดาบันนะครับผม
2
โฆษณา