13 ก.ย. 2020 เวลา 07:58 • การ์ตูน
#10 อันดับการ์ตูนขวัญใจผมเอง (ตอน ทีวีซีรีย์ยุค90s)
หากพูดถึงยุค 90s เพื่อนหลายๆคนคงจะนึกถึงยุคสมัยการเปลี่ยนผ่านยุคของ อนาลอค มาสู่ ดิจิตอล (รู้อายุเลย..ย 55)
ยุคที่การรอคอยเป็นสิ่งที่มีความหมายและเมื่อได้รับสิ่งที่ต้องการแล้วก็มีความสุขและเห็นค่าของมัน เพราะไม่ใช่สิ่งที่ได้มาโดยง่าย เพื่อนๆหลายคนต้องมีการรวมกลุ่มแชร์ความคิด รักในสิ่งบางสิ่ง เกิดเป็นแฟนคลับ หรือการเล่นบางอย่าง เช่น ซื้อหนังสือบทสรุปเกม มีเวลาออกไปทำกิจกรรมต่างๆ
1
หนึ่งในกิจกรรมที่หลายคนชอบทำ (รวมถึงตัวผมด้วย) คือการการเฝ้าหน้าจอทีวีรอดูการ์ตูนเรื่องโปรด ดังนั้นวันนี้ผมจะทุกท่านย้อนเวลาไปดูสิว่า สมัยนั้นมีการ์ตูนเรื่องอะไรบ้างที่ทำให้เด็กหรือวัยรุ่นยุคนั้นติดงอมแงม จนโดนพ่อแม่ไล่ให้ไปนอนอยู่บ่อยๆ
1
โดยขอจัด 10 เรื่องที่ผมดูบ่อยที่สุดนะครับ ถ้าเพื่อนๆชอบดูเรื่องไหนสามารถ comment เพิ่มกันมาได้เรื่อยๆเลยจ้า
อันดับ 1. Dragon Ball : ดราก้อนบอล
พลังคลื่นเต่า..สะท้านฟ้าาาา เชื่อว่าคงไม่มีใครไม่รู้จัก"ซุน โกคู" เนื่องจากเป็นการ์ตูนอมตะที่มาคู่กับโดราเอมอนเลยก็ว่าได้ ดราก้อนบอลเป็นการ์ตูนจากประเทศญี่ปุ่น ผลงานของผู้เขียน Akira Toriyama (อากิระ โทริยามะ) ลงตีพิมพ์ในนิตยสาร Shonen Jumpตั้งแต่ ค.ศ. 1984 – ค.ศ. 1995 ฉบับรวมเล่มมีทั้งหมด 42 เล่ม สำหรับเวอร์ชั่นการ์ตูนในประเทศได้นำมาฉายในช่อง 9 ที่แม้แต่พ่อและแม่ยังชอบแอบนั่งดูไปกับเราเลย อิอิ
ถ้านับเฉพาะในยุค90s ดราก้อนบอลได้ออกฉายเป็นทีวีซีรีย์หลักๆ 3 ภาคคือ
2
ภาคดราก้อนบอล (Dragon Ball) (ค.ศ.1986-1989) ดำเนินเรื่องตามฉบับหนังสือการ์ตูน นับตั้งแต่เริ่มเรื่องจนถึงการแต่งงานของซุน โกคู เขาออกตระเวนรวบรวม ดราก้อนบอลให้ครบ 7 ลูก เพื่อขอพร 1 ข้อจากเทพเจ้ามังกร ซึ่งระหว่างการเดินทางโกคูต้องพบกับปัญหาขวางทางมากมาย ได้พบเพื่อนใหม่ และเติบโตขึ้น ลักษณะการดำเนินเรื่องช่วงแรกนำมาจากเรื่อง ไซอิ๋ว มีปิศาจหมู อูลอน ที่คล้ายกับ ตือโป้ยก่าย
1
ภาคดราก้อนบอล Z (Dragon Ball Z) (ค.ศ.1989-1996) ดำเนินเรื่องตามฉบับหนังสือการ์ตูนต่อจนจบเล่ม 42 ในภาคจอมมารบู สำหรับภาคแอนิเมชั่น ดราก้อนบอล Z ได้ถูกแบ่ง ออกเป็น 16 sagas โดยโกคู ช่วยปกป้องโลกเอาไว้หลายครั้งหลายครา จากผู้ไม่ประสงค์ดีทั้งมาจากนอกโลกและในโลก เช่น ราดีซ, นัปปะ, ฟรีซเซอร์, กีนิว มนุษย์แปลง, เซล, จนถึงจอมมารบู
ภาคดราก้อนบอล GT (Dragon Ball GT) (ค.ศ.1996-1997) ในตอนแรกนั้นอนิเมะเรื่องนี้ดำเนินเรื่องต่อจากภาค Z แต่เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาสำหรับแอนิเมชันโดยเฉพาะ
เป็นภาคที่ได้รับกระแสถึงฉากโกคูเด็กและการตามล่าดราก้อนบอลดาวดำของภาคGT ว่าเป็นอะไรที่ห่วยแตกไร้สิ้นคิดของประวัติศาสตร์ดราก้อนบอลอย่างมาก (มีแต่เพลงประกอบที่เพราะ 55++) และภายหลังได้ประกาศว่าไม่เกี่ยวข้องกับฉบับหนังสือการ์ตูนและถือว่าเป็นจักรวาลคู่ขนานกับดราก้อนบอล Z อย่างสิ้นเชิง โดยเรื่องที่ต่อจากดราก้อนบอล Z จริงๆคือดราก้อนบอลซุเปอร์นั่นเอง
***แถมๆ ภาคดราก้อนบอล ซูเปอร์ (Dragon Ball Super) (ค.ศ.2015-2018) ดำเนินเรื่องต่อจากภาค Z
เป็นเนื้อเรื่องช่วงหลังจากจบศึกการต่อสู้กับจอมมารบูไป5ปี และเข้าสู่ช่วง battle of god ซึ่งโลกสงบสุขไปนานหลายปี แต่แล้วพวกโกคูก็ต้องพบกับศึกครั้งใหม่เป็นการดำเนินภาคใหม่ที่ได้รับกระแสตอบรับและยอดเยี่ยมยิ่งกว่าGT
อันดับ 2. Doraemon : โดราเอมอน
อีกหนึ่งตำนานการ์ตูนอมตะโดราเอมอน หรือ โดเรมอน เป็นตัวละครจากการ์ตูนเรื่องโดราเอมอน เป็นหุ่นยนต์แมวจากโลกอนาคต ในยุคคริสต์ศตวรรษที่ 22เกิดวันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2655 (ค.ศ. 2112) ลักษณะตัวอ้วนกลมสีฟ้า (เมื่อแรกเกิดมามีสีเหลือง) ไม่มีใบหู เนื่องจากถูกหนูแทะ มีหน้าที่เป็นหุ่นยนต์พี่เลี้ยงซึ่งคนที่ซื้อโดราเอมอนมาคือเซวาชิเหลนชาย ของโนบิตะ
วันหนึ่งเซวาชิเกิดอยากรู้สาเหตุที่ฐานะทางบ้านยากจน จึงได้กลับไปในอดีตด้วยไทม์แมชชีน จึงได้รู้ว่าโนบิตะ (ผู้เป็นปู่ทวด) เป็นตัวต้นเหตุ เซวาชิจึงได้ตัดสินใจให้โดราเอมอนย้อนเวลาไปคอยช่วยเหลือดูแลเวลาโนบิตะโดน แกล้งโดยใช้ของวิเศษที่หยิบจากกระเป๋าสี่มิติ
ตัวละครโดราเอมอนนั้น ได้รับแรงบันดาลใจเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2512 เนื่องจากนักวาดการ์ตูนทั้ง 2 Fujiko Fujio (ฟูจิโกะ ฟูจิโอะ)
ฮิโรชิ ฟุจิโมโตะ หนึ่งในนักวาดการ์ตูน ได้เผอิญเห็นแมวจรจัดที่มักแอบเข้ามาเล่นที่บ้านของตนเองเป็นประจำ เขามักจะชอบจับแมวตัวนี้มาหาหมัด จนเวลาล่วงเลยมาถึง 4.00 น. ก็ยังไม่มีไอเดียเกี่ยวกับการ์ตูนเรื่องใหม่ ทำให้ฮิโรชิโมโหตัวเองเป็นอย่างมาก และคิดเลยเถิดไปว่าโลกนี้น่าจะมีไทม์แมชชีน เพื่อย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีต
เหตุนี้เองทำให้ฮิโรชิเกิดไอเดียขึ้นโดยนำหน้าแมวจรจัดมาผสมกับตุ๊กตา ญี่ปุ่น สร้างออกมาเป็นตัวละครหุ่นยนต์แมวจากอนาคตคอยช่วยเหลือเด็กชายที่แสนจะไม่ ได้เรื่อง และตั้งชื่อว่า โดราเอมอน เป็นคำผสมระหว่าง “โดราเนโกะ” กับ “เอมอน” ในภาษาญี่ปุ่น โดราเนโกะนั้นแปลว่าแมวหลงทาง ส่วนคำว่า “เอมอน” เป็นคำเรียกต่อท้ายชื่อของเด็กชายในสมัยก่อนของประเทศญี่ปุ่น
อันดับ 3. Slamdunk : สแลมดังก์
สแลมดังก์เป็นการ์ตูนญี่ปุ่น ที่เขียนโดย Takehiko Inoue (ทาเคฮิโกะ อิโนอุเอะ) ถือเป็นการ์ตูนเกี่ยวกับกีฬาบาสเกตบอลที่เมื่อเข้ามาฉายในประเทศไทยครั้งแรกที่ ช่อง 9 สร้างความฮือฮาและความสนุกสนานด้วยการทำให้ เด็กๆ หนุ่มๆ สาวๆ เฝ้าดูหน้าจอกันในวัน เสาร์ - อาทิตย์ เต็มไปหมด และก็มีใครต่อใครหลายคนที่เล่นกีฬาอย่าง บาสเกตบอล ด้วยแรงบันดาลใจจากการ์ตูนเรื่องนี้
2
เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชมรมบาสเก็ตบอลมัธยมปลาย นำโดยตัวเอกของเรื่อง ไอ้หัวแดง ฮานามิจิ ซากุรางิเป็นพวกเก่งเรื่องต่อยตี แต่เพราะโดนสาวหักอกมาถึง 50 คนตอนเรียนม.ต้น เขาจึงคิดเริ่มต้นชีวิตใหม่ในโรงเรียนมัธยมปลาย โชโฮคุ และที่โชโฮคุนี่เอง เขาได้พบกับรักครั้งใหม่อย่าง อาคางิ ฮารุกะ ที่เป็นน้องสาวของกัปตันทีมบาสเก็ตบอลของโรงเรียน ทำให้ซากุรางิต้องเข้าไปอยู่ชมรมบาสของโชโฮคุในที่สุด
ความโดดเด่นของสแลมดังก์ คือ คือ ลายเส้นและตัวการ์ตูนสุดเท่ กับภาพของเด็กนักกีฬาบาสเก็ตบอลม.ปลาย และเรื่องราวสุดฮาและโคตรมัน ของการฝ่าฝันเพื่อไปสู่ความเป็น "สุดยอดอัจฉริยะ" ของซากุรางิ และ การต้องแข่งขันกับบรรดาทีมบาสฯมัธยมปลายโรงเรียนอื่นๆ
พวกเขาต้องพบทั้งความสำเร็จและล้มเหลว และปฏิเสธไม่ได้เลยว่า นี่เป็นการ์ตูนกีฬาดำเนินเรื่องได้เข้มข้นและสนุกสนานมากๆ โดยเฉพาะฉากการแข่งขันที่เขียนได้ดุเดือดน่าติดตามเป็นที่สุด
อันดับ 4. Zenki : เซนกิ เทพอสูรสองหน้า
ย้อนไปเมื่อเกือบ 24 ปีก่อน ได้มีการ์ตูนเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับการต่อสู้ของคู่หูเทพอสูรตัวจิ๋วกับนักพรตสาวได้เคยทำให้เด็ก (และผู้ใหญ่) หลายคนต้องเฝ้ารอดูทุกสัปดาห์ด้วยเพลงเปิดอันทรงพลังเป็นเอกลักษณ์ให้ร้องตามได้ ชื่อของเรื่องนั้นคือ "เซนกิ"
"เซนกิ" เป็นหนังสือการ์ตูนผลงานการแต่งเรื่องของ "คิคุฮิเดะ ทานิ" และเขียนภาพโดย "โยชิฮิโระ คุโรอิวะ" ตีพิมพ์ลงนิตยสารจัมป์ฉบับรายเดือนระหว่างปี 1992 ถึง 1996 และได้รับความนิยมจนมีการทำเป็นอนิเมชันฉายทางทีวีกว่า 50 ตอน ซึ่งก็แน่นอนว่าต้องมีฉบับวีดีโอเกมตามออกมาด้วย
เรื่องราวของการ์ตูนจะเริ่มจากตำนานในอดีตของยอดนักพรต "เอนโนะ โอซึนุ" ผู้ใช้พลังบงการเทพอสูร "เซนกิ" ให้ต่อสู้กับเหล่าปีศาจ จนเมื่อเวลาผ่านมาถึงยุคปัจจุบันซึ่งพลังอำนาจอันชั่วร้ายฟื้นกลับมาใหม่ "จิอากิ" สาวน้อยผู้เป็นทายาทของนักพรตก็ได้ปลดผนึกของเซนกิออกอีกครั้งและกลายมาเป็นคู่หูร่วมมือกันต่อสู้
อันดับ 5. Ninja Boy Rantaro : นินจาบอยรันทาโร่
ช่อง 9 ตอนเช้าๆจะมีการ์ตูนอยู่เรื่องหนึ่ง ที่ใครที่ได้ลองดูก็จะ สนุก อมยิ้ม ฮาท้องแข็ง นั่นคือเรื่อง นินจาบอยรันทาโร่ นั่นเอง ซึ่งเป็นเรื่องราวของ โรงเรียนนินจา ที่มีการเรียนการสอน การเป็นนินจา โดยมีสามตัวละครหลักนั่นคือ รันทาโร่ คิริมารุ และ ซิมเบ้ ซึ่งทั้ง 3 ตัวละครเป็นนินจาจิ๋วที่มีความแตกต่างในลักษณะแต่ละคน
ถ้ากลุ่มพวกรันทาโร่ นินจาชายมี 3 ตัวละครแล้ว ก็มีกลุ่มนินจาหญิง คุโนอิจิ ที่มีตัวละครทั้ง 3 คือ ยูกิ โทโมมิ และ ชิเกะ แฟนชิมเบ้ มาเป็นตัวละครหลัก และมีครูชินะที่เป็นทั้ง หญิงแก่และสาวสวยได้ มักได้รับภารกิจในการทำงานและหาเรื่องแกล้งพวกรันทาโร่เสมอแต่ก็ร่วมมือกัน ช่วยเหลือกันและมีเรื่องกุ๊กกิ๊กขำขันกันอยู่เสมอ
ยิ่งมีเหล่าอาจารย์สอนนินจา เพื่อนร่วมห้อง และกลุ่มนินจาหญิง คุโนอิจิ มาเกี่ยวด้วยแล้ว นำพาซึ่งความตลก สนุกสนาน ให้แก่การ์ตูนเรื่องนี้จนน่าจดจำเป็นอย่างยิ่ง
นินจารันทาโร่ปรากฎลงจอโทรทัศน์ที่ญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 10 เมษายน ปี 1993 ลงในช่อง NHK ของญี่ปุ่น เป็นการ์ตูนสำหรับเด็กขึ้นโดยเฉพาะ ซึ่งสร้างโดยสตูดิโอ ไอจาโดว ฉายตั้งแต่วันแรก จนถึงบัดเดี๋ยวนี้ นับแล้ว มากกว่า 1 พันตอน
อันดับ 5. Yu Yu Hakusho : คนเก่งฟ้าประทาน
อีกหนึ่งตำนานการ์ตูนบนจอทีวียุค 90 ของเมืองไทย ที่สร้างปรากฎการณ์ความสนุกให้กับเหล่าเด็กผู้ชาย หลังจากดราก้อนบอลพักการฉาย(รอซีซั่นใหม่จากญี่ปุ่นในสมัยนั้น) ก็มีการตูนเรื่องหนึ่งที่พูดถึงโลกหลังความตาย และการต่อสู้สุดมันส์ของเด็กหนุ่มมาดกวน นั่นก็คือ YuYu Hakusho หรือ คนเก่งฟ้าประทาน
การ์ตูนแอคชั่นต่อสู้กึ่งแฟนตาซีที่แต่งโดย Yoshihiro Togashi (โยชิฮิโระ โทงาชิผู้แต่งเรื่องเดียวกับ Hunter X Hunter ที่ปัจจุบันก็ยังวาดไม่จบซักที!) เคยออกอากาศทางช่อง 9 อ.ส.ม.ท.
คนเก่งฟ้าประทานว่าด้วยเรื่องราวของ อุราเมชิ ยูสึเกะ เด็กหนุ่มนักเลงหัวไม้วัยมัธยมปลาย นิสัยเกเรไม่มีใครเกิน แต่อยู่มาวันหนึ่งเขากลับเสียชีวิตอย่างกะทันหันเนื่องจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ (ตรงนี้เรามองว่าน่าจะเป็นแรงบันดาลใจสำคัญให้กับมังงะแนว "ต่างโลก" ในปัจจุบัน ที่เอะอะก็ถูกรถบรรทุกชนเสียชีวิตไปเกิดใหม่ในโลกแฟนตาซีกันเป็นว่าเล่น)
เนื้อเรื่องของการ์ตูนเรื่องนี้ ถูกแบ่งออกเป็น 4 ช่วง ได้แก่ ภาคนักสืบโลกวิญญาณ / ภาคงานประลองโลกมืด / ภาคโลกสีดำ และ ภาคสามราชาโลกปิศาจ
ภาคสายลับโลกวิญญาณ
เล่าเรื่องการตระเวนปราบปีศาจของ ยูสึเกะ กับ โบตั๋น เนื้อเรื่องยังไม่เข้มข้นมากนัก ส่วนใหญ่เป็นการจบในตอนคล้ายกับช่วงเล่มแรกๆ ของ รีบอร์น ครูพิเศษจอมป่วน หรือที่เห็นภาพชัดที่สุดก็น่าจะเป็น นูเบ มืออสูรล่าปีศาจ โดยผู้อ่านจะค่อยๆ ซึมซับตัวตนของ ยูสึเกะ ที่เริ่มต้นจากความเกเร ก่อนจะค่อยๆ ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ ผ่านประสบการณ์ที่คลุกคลีกับเหล่าวิญญาณ ทำให้มุมมองของเขาเปลี่ยนไป กลายเป็นคนที่ดีขึ้น
ภาคงานประลองแห่งความมืด
จากเนื้อเรื่องที่เรื่อยๆ มาเรียงๆ อยู่ๆ กราฟก็พุ่งพรวดเหมือนดัชนีหุ้นดาวน์โจนส์ เมื่อ ยูสึเกะ และพรรคพวกได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานประลองที่จัดขึ้นบนเกาะห่างไกล เป็นเวทีต่อสู้อันโหดเหี้ยมของปิศาจที่มีเบื้องหลังคือมนุษย์ผู้ละโมบ ด้วยเนื้อเรื่องที่เน้นการแอ็คชั่นแบบโต้งๆ ต่อสู้กันแบบไม่มีกั๊ก นี่จึงเป็นภาคที่อยู่ในความทรงจำของเด็กผู้ชายยุคนั้นมากที่สุดก็ว่าได้
ภาคโลกสีดำ
มีรายงานจากโลกวิญญาณถึงช่องว่างระหว่างมิติที่บิดเบี้ยว ซึ่งจะส่งผลให้ปิศาจระดับสูงสามารถเล็ดลอดผ่านเข้ามาในโลกมนุษย์ได้ ยูสึเกะ กับพรรคพวกจึงต้องสืบถึงต้นตอของเรื่องนี้ โดยในภาคนี้ก็ยังถือว่าคงความสนุกได้ตามมาตรฐาน
ภาคสามราชาโลกปิศาจ
ภาคสุดท้ายของมังงะคนเก่งฟ้าประทาน และเป็นภาคที่มีประเด็นให้ถกเถียงกันมากที่สุด เนื่องจากมันคือบทสรุปของเรื่องราวทั้งหมดที่หลายคนรู้สึกไม่ประทับใจเท่าไรนัก
1
ถ้าตลอดสามภาคแรกคือความทรงจำที่ดีของเด็กผู้ชายุค 90s ภาคสุดท้ายนี่แหละ คือสิ่งที่ทำให้มันดีไม่สุด
อันดับ 6. Ranma ½ : รันม่า ½
การ์ตูนดังเรื่องนี้เป็นผลงานของ Takahashi Rumiko (ทากาฮาชิ รูมิโกะ) ที่มีผลงานโด่งดังหลายเรื่องในบ้านเรา ทั้ง ลามู ทรามวัยจากต่างดาว อิกโคคุ บ้านพักหรรษา และ อินุยาฉะ เทพอสูรจิ้งจอกเงิน เป็นต้น เรื่องรันม่านี้มีเสน่ห์ที่โดดเด่นทั้งมุขตลกหน้าตายที่อ่านแล้วหลุดหัวเราะ พรืดออกมาโดยไม่รู้ตัว หรือเรื่องคำสาปของตัวละครต่างๆ ที่เมื่อโดนน้ำเย็นอย่างโดนฝนตกใส่ หรือถูกน้ำเย็นสาด ก็จะกลายร่าง ถือเป็นจุดที่โดดเด่นมากในการ์ตูนยุคนั้น
เรื่องราวเริ่มต้นจากพ่อลูกซาโอโตเมะเดินทางไปฝึกฝนวิชาการต่อสู้กังฟูที่ประเทศจีน แล้วพลาดตกลงไปในบ่อน้ำพุร้อนต้องคำสาป ทำให้ตัวพระเอกอย่าง รันม่า ต้องคำสาปเมื่อโดนน้ำเย็นจะกลายเป็นผู้หญิง ส่วนผู้เป็นพ่อนั้นตกลงไปในอีกบ่อทำให้ต้องคำสาปกลายเป็นแพนด้า (อย่างน่ารักอ่ะ) เมื่อโดนน้ำเย็นเช่นกัน
วิธีกลับร่างเดิมก็คือต้องราดด้วยน้ำร้อน หลังจากนั้นพ่อลูกทั้งคู่ก็กลับมายังประเทศญี่ปุ่น และได้มาอาศัยอยู่กับบ้านของนางเอก เทนโด อากาเนะ ซึ่งเป็นคู่หมั้นของรันม่า เรื่องราวของความรักของทั้งคู่เริ่มต้นได้ไม่ดีนัก ทำให้เป็นคู่กัดกันตลอดทั้งเรื่อง อารมณ์ปากไม่ตรงกับใจ แต่ก็แอบรักอีกฝ่ายอยู่ทั้งคู่ ทำให้คนอ่านแอบนั่งยิ้มกริ่มกันได้ตลอด ^__^
2
นอกจากนั้นยังมีตัวละครใหม่ที่ต้องคำสาปตลกๆ โผล่ออกมาอยู่ไม่ขาดสาย ทำให้เนื้อเรื่องมีสีสัน ทั้งเรียวกะ ชายที่ต้องคำสาปกลายเป็นหมู จัมปูสาวน้อยจากเมืองจีนที่จะกลายเป็นแมว และอีกมากมาย (มากจริงๆ)
อันดับ 7. NG Knight Ramune : ผู้กล้ารามูเนส
ในช่วงปี 90 เป็นยุคที่พล๊อตการ์ตูนแนวผู้กล้าฆ่ามังกรกำลังได้รับความนิยมมาจากเกมไฟนอลแฟนตาซี และดราก้อนเควสอันโด่งดัง จนกลายเป็นเทรนด์ของ “การเขียนพล๊อตการ์ตูน”ในยุคนั้น และนี่ก็เป็นอีกเรื่องที่อยู่ในความทรงจำของใครหลายๆคนที่ได้ดู กับ “ผู้กล้ารามูเนส” หรือ NG Knight Ramune
เด็กหนุ่มธรรมดา บาบะ รามุเนะ อายุ 10 ปี เด็กติดเกมตัวเทพ วันหนึ่งเขาได้ซื้อเกมส์ประหลาดมาจากเด็กสาวแปลกๆที่ชื่อ “มิลค์” ในราคาเพียง 10 เยน เกมนั้นมีชื่อว่า “คิงส์สกัชเชอร์” หลังเปิดเกมส์เล่นจนจบ100% จึงถูกดูดเข้าไปในโลกที่ชื่อว่า “ฮารา ฮาร่า เวิลด์” ในนามของอัศวินในตำนาน “รามูเนส” (รุ่นที่ 2) มีอาวุธเป็นลูกข่าง เรียกว่า แอสโทรโยโย่ และคู่หู ทามะคิว (ตัวกลมๆ เกาะอยู่บนไหล่ของรามูเนะ) ใช้ในการเรียกหุ่นยนต์ “คิงส์สกัชเชอร์”
โดยจะเรียกได้ด้วยการหยอดเหรียญใส่หัวทามะคิว แล้วจะมีไข่ออกมา พอปาออกไปหุ่นยนต์คิงส์แคสเชอร์ก็ปรากฏตัว สามารถเปลี่ยนเป็นอีกร่างหนึ่งชื่อ ซามูไลออน…และในดินแดนแห่งนี้ก็จะมีพ่อมดผู้ชั่วร้าย “ดอน ฮารุมาเกะ” ที่ได้ปลุกเหล่าสัตว์ประหลาดมาทำลายอาณาจักรแห่งนี้ และรอเวลาที่สุดยอดจอมมารตื่นขึ้น รามูเนสจึงต้องออกตามหาเหล่าผู้กล้า
นอกจากนี้ยังมีอนิเมภาคต่ออีกสองสามภาคครับ ได้แก่
“รามูเนสรุ่นแรก”
OVA NG Knight Lamune & 40 EX 3 ตอน ในปี1991
OVA NG Knight Lamune & 40 DX 3 ตอน ในปี 1993
“รามูเนสรุ่นลูก”
ภาค 2 VS Knight Ramune & 40 Fire 26 ตอน ในปี 1996
OVA VS Knight Lamune & 40 Fresh 6 ตอน ในปี 1997
อันดับ 8. Burinjung : บูรินหมูอวกาศ
เด็กสาวธรรมดาอย่าง 'คาริน' ที่บังเอิญได้เจอกับทงจัง (หมูสีเหลืองที่จริงแล้วเป็นเจ้าชายชื่อ ธงคาเรียโน่ที่สาม) และได้กลายเป็นสาวน้อยมหัศจรรย์ ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นหมูน้อยมหัศจรรย์มากกว่าอย่าง 'บูริน‘ เพื่อช่วยปกป้องโลก มีตลับแป้งไว้แปลงร่างกลายเป็น "บูรินหมูอวกาศ!" นอกจากนี้ก็มีกระปุกหอย ไว้เขย่าให้ไข่มุกออกมา เก็บไว้ในจานบินเล็กๆ ให้ครบตามจำนวนและจะขอพรให้เป็นจริงได้หนึ่งอย่าง ถึงแม้ร่างบูรินจะเป็นหมู!
พอเห็นใครเดือดร้อน รีบกดตลับแป้ง ร้องตะโกน ‘บาบีบูเบ’ แปลงร่างเป็นบูริน พร้อมจมูกหมูอันโต และโบสีแดงที่แผ่ออกมาคลุมตัว มีผ้าคลุมสีแดงติดหลัง มีแสงวาบๆ และปิ๊ง! กลายร่างเป็นบูริน หมูอวกาศ หมูที่แข็งแรง หมูที่ผดุงความยุติธรรม พร้อมพละกำลังอันมหาศาล
อันดับ 9. Kureyon Shinchan : ชินจังจอมแก่น
ชินจังจอมแก่น หรือ เครยอน ชินจัง (クレヨンしんちゃん, Kureyon Shinchan) เป็น ผลงานการแต่งของ Yoshito Usui (โยชิโตะ อุซึอิ) ตีพิมพ์ประจำในนิตยสาร Action ของสำนักพิมพ์ฟุตาบาชะ ตั้งแต่ปี 1990 ภายหลังถูกดัดแปลงเป็นอนิเมะในปี 1992 ออกฉายทางช่องทีวีอาซาฮี ปัจจุบันมีทั้งหมด 47 เล่ม และมีภาพยนตร์อนิเมะถึง 16 ภาคด้วยกัน
ด้วยมุขตลกอันขบขันชวนฮาของชินจังที่ทั้งกวน ทะเล้น ฮา ทะลึ่งตึงตังของชินจัง ทำให้กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของบรรดาผู้ปกครองที่เกรงว่าลูกหลานของพวก เขาจะเลียนแบบนิสัยและพฤติกรรมที่ไม่น่าเป็นแบบอย่างของชินจัง ทำให้เวอร์ชั่นที่ออกฉายในทีวีของบ้านเรานั้น มีการเซ็นเซอร์อยู่พอสมควร
เนื้อเรื่องเกี่ยวกับชินจัง (โนะฮาร่า ชิโนสึเกะ; Nohara Shinosuke) เด็กอนุบาลวัย 5 ขวบสุดแก่น มีนิสัยคล้ายคลึงกับพ่อ (ฮิโรชิ) เช่น ชอบผู้หญิงหุ่นดีหน้าตาดี และยังชอบอาบน้ำกับพ่อมาก แม่ของชินจัง (มิซาเอะ) มีนิสัยขี้เหนียวและขี้อ่อนแอ แต่โมโหง่ายและน่ากลัว ชินจังมีน้องสาวหนึ่งคนชื่อฮิมาวาริ ครอบครัวของชินจังเลี้ยงหมาหนึ่งตัว ชื่อเจ้าขาว (ชิโร่) เพื่อนๆ ของชินจังที่พบในเรื่องบ่อยๆ คือ คาซาม่าคุง, เนเน่จัง, มาซาโอะคุง, และโบจัง
ชินจังมักมีท่าแปลกๆ เช่น ท่ามนุษย์ต่างดาวนู้ดครึ่งก้น ท่าที่เอากางเกงในมาครอบหัว โดยทำเหมือนกับว่ามันเป็นหน้ากาก ชินจังชอบดูการ์ตูนหน้ากากแอ็คชั่น เป็นคนที่ชื่นชอบและชื่นชมในตัวหน้ากากแอ็คชั่นมาก มีขนมโปรดคือ ช็อกโกบิ การละเล่นของชินจังที่โรงเรียนคือ เล่นเป็นยุง เล่นเป็นอึ เล่นซ่อนแอบแบบไม่มีคนหา เล่นแกล้งตายบนหิมะ เล่นพ่อ แม่ ลูก (เมื่อถูกเนเน่จังบังคับ)
อันดับ 10. Dr. Slump : ดร.สลัมป์กับหนูน้อยอาราเล่
หลายคนอาจจะไม่รู้จักอาราเล่โดยตรง แต่รู้จักอาราเล่ผ่าน Dragon Ball (เพราะเป็นคนเขียนคนเดียวกัน หลังเขียนอาราเล่จบ ก็ไปเขียน Dragon Ball) จริง ๆ แต่เดิมชื่อการ์ตูนเรื่องนี้คือ Dr. Slump เท่านั้น เป็นเรื่องราวของนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องสุดเพี้ยนที่ชื่อ โนะริมะกิ เซ็มเบ้ (則巻千兵衛) ที่สร้างหุ่นแอนดรอยด์ที่ชื่อ โนะริมะกิ อะระเระ (則巻アラレ) แล้วที่ไทยเลยเรียกเป็น “อาราเล่”
ถ้าใครอ่าน Dragon Ball แล้วรู้สึกว่า บ้าบอคอแตก หลุดโลก คิดได้ไงวะ ให้ลองมาอ่าน Dr. Slump ดู คือมันบ้ากว่า หลุดโลกกว่า แบบเตะเหตุและผลทั้งปวงในโลกนี้ทิ้งน้ำไปเลย เป็นการ์ตูนแห่งความบ้าบอไร้สติอย่างที่สุด เริ่มด้วยการตั้งชื่อตามสไตล์โทะริยะมะคนเขียน พี่แกเล่นเอาเสียง โนะริมะกิ ที่แปลว่า “ห่อสาหร่าย” มาตั้งเป็นนามสกุลหน้าตาเฉย และตั้งชื่อ ดร. คนนี้ว่า เซ็มเบ้ ที่แปลว่า “ข้าวเกรียบ” ไปอีก ดร. เซ็มเบ้สร้างแต่ผลงานบ้า ๆ บอ ๆ ที่ไม่รู้จะสร้างไปทำไม เลยได้ฉายาว่า Dr. Slump คือทำอะไรก็พังไม่เป็นท่าไปหมด พอสร้างอาราเล่ ก็ไม่รู้ว่าสร้างขึ้นมาทำไม และเพื่ออะไร และตั้งชื่อว่า อาราเล่ ที่แปลว่า “ขนมแป้งกรอบ” ไปอีก อาราเล่เป็นหุ่นแอนดรอยด์เสียเปล่า แต่อาราเล่ดันสายตาสั้น แถมติงต๊องบ้าบอ ที่ไม่รู้จะสร้างขึ้นมาทำไม งงในงง
เนื้อเรื่องมีแต่ความตลกโปกฮา แบบเสียดสี ประชดประชัน ตามสไตล์โทะริยะมะ ตัวละครทุกตัวอาศัยอยู่ใน “หมู่บ้านเพนกวิน” ซึ่งเป็นบ้านนอกมาก ห่างไกลจากความเจริญทั้งปวง มีแต่ตัวละครแปลก ๆ เช่น สัตว์ที่พูดภาษาคนได้, มนุษย์ต่างดาว, หุ่นยนต์, สัตว์ดึกดำบรรพ์
1
มีการล้อเลียนตัวละครหลายเรื่อง เช่น อุลตร้าแมน, ก็อดซิลล่า, กาเมร่า หรือ ซูเปอร์แมน และคนทั้งหมู่บ้านเพนกวินไม่แคร์อะไรกับโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเจออะไรแปลกประหลาด พิลึก หายนะขนาดไหน ทั้งหมู่บ้านก็สามารถชิลล์ ๆ สโลว์ไลฟ์กันได้อย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจใด ๆ เป็นสังคมในอุดมคติมาก ๆ
เสน่ห์ของเรื่องนี้มีหลายจุด แต่ที่ประทับใจที่สุดก็คือตัวอาราเล่เอง (ก็ถึงขั้นต้องเปลี่ยนชื่ออนิเมะใส่ชื่ออาราเล่เข้าไปด้วยนี่นา) อาราเล่มีความ “บ้าแบบแบ๊ว” คือคาแรคเตอร์น่ารักมาก แต่ก็น่ากลัว เพราะนางไม่รู้อะไรเลยบนโลกจริง ๆ แต่นางดันมีพลังมหาศาลระดับทำลายโลกได้
นอกจากนี้ เพราะว่า ดร. เซ็มเบ้นั้นนิสัยลามกจกเปรตอย่างมาก (นิสัยเหมือนเซียนเต่าใน Dragon Ball) เลยยิ่งทำให้อาราเล่ดูน่ารัก ดูใสซื่อบริสุทธิ์อย่างมาก ๆ วันดีคืนดีอาราเล่ก็จะใช้ “กำปั้นผ่าโลก” ทุบพื้นเปรี้ยง แล้วโลกก็แตกเป็นเสี่ยง ๆ พร้อมกับเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งแบบใสซื่อบริสุทธิ์ของอาราเล่ แต่ก็ไม่มีใครตาย แล้วโลกก็กลับเป็นเหมือนเดิมแบบงง ๆ ไม่มีคำอธิบายไปอีก
บางครั้ง จู่ ๆ อาราเล่ก็จะ “ถอดหัว” เล่นบ้าง หรือไม่ก็จะไปหา “อุนจิ” มาจิ้ม ๆ ๆ เล่น พร้อมหัวเราะอิฮิฮิอย่างมีความสุขล้นเหลือ เรื่องอาราเล่นี่ยังเป็นต้นฉบับการวาด “อุนจิ” ให้เป็นอุนจิแบบม้วน ๆ น่ารัก ๆ มีหน้าตาคล้ายไอติมซอฟต์ครีมอีกด้วย เรียกว่าปฏิวัติวงการนักวาดก้อนอึกันเลยดีกว่า
จบแล้วครับ ถ้าเพื่อนๆชอบอย่าลืมช่วยกด Like,Share และติดตามด้วยนะครับ
ขอบคุณครับ
โฆษณา