18 ก.ย. 2020 เวลา 14:31 • ปรัชญา
# อาหารในวันปีใหม่
ตราบใดที่ทะเลยังมีคลื่น จงอย่าคาดหวังความราบรื่นในชีวิต อ่านเรื่องราวต่อไปนี้แล้วคุณจะเข้าใจ
อาหารเช้า
ในเช้าที่แสนสดใส แมรี่ หญิงสาว ตัวน้อยเธอรีบลุกจากที่นอนและลงไปทานอาหารเช้า ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใจ
ซึ่งในเช้าวันนั้น เธอได้พบพ่อเพียงคนเดียวที่นั่งอยู่ภายในห้องอาหาร
"สวัสดีปีใหม่ค่ะพ่อ! แม่อยู่ที่ไหนค่ะ" เธอถามพ่อด้วยท่าทางที่เป็นกังวล
"เมื่อเช้ามืด มีเด็กชายคนหนึ่งมาขออาหารที่บ้านเรา และเขาก็บอกว่า พวกเขาหิวมาก เพราะที่บ้านไม่มีอาหารให้ทานเลย แม่ของหนูเลยตามเด็กชายคนนั้นไป เพื่อดูว่าจะช่วยอะไรเขาได้บ้าง" พ่อตอบในระหว่างที่กำลังอ่านหนังสือพิมพ์
การกลับมา
ไม่นานหลังจากนั้นแม่ของ แมรี่ ก็เปิดประตูเข้ามา เธอมีอาการหนาวสั่น โศกเศร้า และดูสีหน้าเป็นกังวลอย่างมาก
พ่อ จึงถามแม่ด้วยความเป็นห่วง เป็นใยว่า “คุณเป็นอะไรรึเปล่า นี้ผ้าห่ม ห่มไว้นะ จะได้อุ่นขึ้น แล้วเด็กคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง”
“คุณอย่าเพิ่งถามอะไรฉันเลยนะ ฉันขอเวลาคิดสักหน่อยเถอะ” แม่ตอบ พร้อมน้ำตาที่เริ่มไหลเป็นสายออกมาจากดวงตาสีน้ำตาลของเธอ
ความเศร้า
หลังจากนั้นไม่นาน บรรยากาศภายในบ้านก็เริ่มอึมครึ่มมากขึ้น แล้ว จู่ ๆ แม่ก็พูดขึ้นมาว่า “ไม่ไกลจากที่นี่ มีหญิงสาวผู้น่าสงสารคนหนึ่ง เธอมีลูกเล็กที่เพิ่งเกิดมาได้ไม่กี่เดือนอยู่ในอ้อมแขน มีเด็กชายอีกหกคนนอนอยู่ในเตียงเดียวกัน
พวกเขาแบ่งปันไออุ่นให้กันและกันภายใต้ผ้าห่มขาด ๆ ผืนนั้น อีกทั้งวันนี้อากาศก็หนาวเย็นกว่าวันไหน ๆ พวกเขาไม่มีทั้งไฟ ไม่มีทั้งอาหาร และถ้าเด็กชายคนนั้นไม่มาเคาะที่ประตูบ้านเรา ฉันคิดว่าพวกเขาอาจจะอดตายกันแน่
ซึ่ง..ตอนนี้! พวกเขาก็กำลังหิวโหยและหนาวสั่น ฉันคิดว่า เราน่าจะเอาอาหารเช้าของเรา ไปให้เป็นของขวัญในวันปีใหม่กับพวกเขานะ คุณและลูกคิดว่ายังไง”
คำขอร้อง
หลังจากที่เสียงของแม่สิ้นสุดลง พ่อและลูก ก็เอาแต่นั่งมองดูข้าวต้มร้อน ๆ นมสดหอม ๆ ขนมปังและเนยอย่างดี ที่วางอยู่ตรงหน้า
จากนั้นพ่อก็พูดขึ้นมาว่า “เอาล่ะ!...จริง ๆ แล้ว ผมหวังไว้เพียงแค่ว่า เราจะได้กินข้าวมื้อนี้พร้อมหน้าพร้อมตากันแบบสบายใจ แต่ก็นะ...ผมเข้าใจความรู้สึกนั้นดี”
"แม่ค่ะ หนูจะไปช่วยพวกเขาด้วยได้ไหมค่ะ" แมรี่พูดด้วยแววตาที่อ่อนโยน อีกทั้งเธอยังพูดต่อไปว่า “หนูจะเอาน้ำหวานที่หนูชอบไปฝากพวกเขาด้วยนะคะแม่” เธอพูดด้วยความภาคภูมิใจ
สนับสนุน
“งั้นแม่จะเอาโจ๊กทั้งหมดไปให้พวกเขาด้วยแล้วกันนะ และหลังจากเสร็จทุกอย่างแล้ว เดี๋ยวแม่กลับมาทำอะไรอร่อย ๆ ให้ทาน” แม่พูดพร้อมทั้งเริ่มหยิบกองขนมปัง และเนยลงในตะกร้าใบใหญ่
ซึ่งหลังจากเตรียมของทุกอย่างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พ่อก็เดินออกมาจากบ้านพร้อมกับตะกร้าที่บรรจุไม้ทำฝืนและมืออีกข้างหนึ่งก็ถือถ่านหิน ในส่วนของแม่ เธอก็เดินออกมาพร้อมกระเป๋าที่เต็มไปด้วยผ้าห่ม เสื้อผ้า และกาน้ำชาที่เพิ่งยกลงมาจากเตาเมื่อสักครู่นี้
และสาวน้อยแมรี่ เธอก็ได้รับหน้าที่ถือหม้อโจ๊ก เหยือกนม และสะพายกระเป้าเป๋ ที่ด้านในมีเนื้อแช่แข็ง หม้อตุ๋นใบเล็ก เครื่องดูดควันขนาดพกพา รองเท้าบูทสำหรับเด็กชายตัวเล็ก ๆ ทั้งหก และถุงอาหารต่าง ๆ อีกจำนวนหนึ่ง
การเดินทาง
ทั้งสามใช้เวลาเดินทางอยู่ครู่หนึ่ง ซึ่งทันทีที่ไปถึง พ่อก็เคาะประตู จากนั้นก็เดินเข้าบ้านหลังน้อย ที่มีสภาพผุพัง หน้าต่างแตกเป็นรู ไร้ซึ่งไฟฟ้า หรือกองไฟที่ให้ความอบอุ่น อีกทั้งเด็ก ๆ ยังใส่เสื้อผ้าขาดหวิ้นกันทั้งนั้น
โดยที่มุมห้อง มีหญิงคนหนึ่งที่พยามกอดลูกน้อยเพื่อให้ความอบอุ่น ทั้งที่เธอดูป่วยและผอมโซ ซึ่งเมื่อทั้งสามคนเข้าไปภายในบ้านเป็นที่เรียบร้อย
หญิงที่ผอมโซก็พูดขึ้นมาว่า “โอ้ว. พระเจ้าช่วย! พวกคุณเป็นดังทูตสวรรค์แท้ ๆ เลย ที่กรุณาพวกเราเช่นนี้ ฉันไม่คิดเลยว่าคุณผู้หญิงและครอบครัวจะใจดีมากขนาดนี้" หญิงยากจนพูดพร้อมทั้งร้องไห้ออกมาด้วยความปิติยินดี
คำขอบคุณ
"หนูกับพ่อแม่ เหมือนเอลฟ์ ในหมวกขนสัตว์และถุงมือสีแดงสินะคะ" แมรี่ พูดติดตลกจนทำให้ทุกคนต่างมีรอยยิ้มบนใบหน้าและหัวเราะออกมาอย่างสุขใจ
จากนั้นทั้งสามคนก็เริ่มต้นทำในสิ่งที่ตนตั้งใจไว้ โดยที่พ่อเริ่มก่อกองไฟที่แสนอบอุ่นให้ จากเตาผิงเก่า ๆ ซ้อมรูรั่วที่หน้าต่าง
แม่ของแมรี่ ก็เริ่มใส่เสื้อแสนยาวที่แสนอบอุ่นพร้อมกับหมวก และเสื้อโค้ทที่เตรียมมาให้กับเด็ก ๆ และหญิงยากจนที่นั่งตัวหนาวสั่น ในขณะที่แมรี่ ก็จัดเตรียมอาหารใว้บนโต๊ะเล็ก ๆ เพื่อให้ทุกคนในบ้านได้ทานอย่างสุขใจ
ความสุขความยินดี
หลังจัดเตรียมทุกอย่างเสร็จเป็นที่เรียบร้อย เด็ก ๆ และหญิงยากจนพร้อมลูกน้อย ก็เริ่มทานอาหารกันด้วยรอยยิ้มและน้ำตาแห่งความปิติยินดี
“พวกคุณคือ แซนต้า ในชีวิตจริงของพวกเราเลยครับ ขอบคุณมากจริง ๆ ที่ทำให้วันนี้ของเราเป็นวันที่แสนวิเศษ ทำให้เราได้ทานอาหารอย่างอบอุ่น มีความสุข และอิ่มท้องมากกว่าที่เคยเป็นมา” เด็กชายคนหนึ่งพูดขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า
เมื่อได้ฟังเช่นนั้น ครอบครัวของแมรี่ ก็ได้แต่ยิ้มแก้มปริ แม้ว่าในเช้าวันนั้น พวกเขาจะไม่ได้ทานอะไรเลยตลอดทั้งช่วงเช้าเลยก็ตาม
ดังคำที่กล่าวไว้ว่า “คุณค่าของชีวิต ไม่ได้อยู่ที่ว่าสำเร็จมากแค่ไหน แต่อยู่ที่ทำอะไรให้กับโลกและคนอื่นมากเพียงใดต่างหาก”
อ่านบทความเรื่องเล่าจากดาวนี้เพิ่มเติมได้ที่
หากชื่นชอบก็อย่าลืมกด Like กด Share เพื่อเป็นกำลังใจให้กันด้วยนะคะ สามารถแชร์แนวคิด มุมมองดีๆได้ใน Comments นี้เลย 😄
โฆษณา