17 ก.ย. 2020 เวลา 14:09 • การศึกษา
ผู้เลิศทางมีลาภ ๔...
#พระสีวลี #ตำแหน่งเอตทัคคะ #มีลาภมาก
เมื่อเราเกิดมาเป็นมนุษย์ จำเป็นต้องฝึกซ้อมใจให้พร้อมเสมอ ที่จะเผชิญกับทุกสิ่งในชีวิต โดยเฉพาะกับมรณภัย ซึ่งจะมาเยือนเมื่อใดก็ได้ เพราะความตายไม่มีนิมิตหมาย การฝึกฝนใจให้หยุดนิ่ง จนเข้าถึงพระธรรมกายภายใน มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึก ได้ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ประมาทในชีวิต เป็นผู้พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับพญามัจจุราชอย่างไม่หวาดหวั่น เพราะฉะนั้นเราจึงควรฝึกใจให้พร้อมเสมอตั้งแต่วินาทีนี้ เพื่อชีวิตที่ดีที่สุดในวันข้างหน้า วันที่เราเข้าถึงความสุขที่แท้จริงภายใน และมีชัยชนะตลอดกาลเมื่อได้บรรลุมรรคผลนิพพาน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสถาปนาพระสีวลีไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ ว่า...
“เอตทคฺคํ ภิกฺขเว มม สาวกานํ ภิกฺขูนํ ลาภีนํ ยทิทํ สีวลี
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระสีวลีเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ผู้เป็นสาวกของตถาคต ในทางมีลาภมาก”
ในสังคมปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา คนส่วนใหญ่มีความเชื่อว่า การประกอบกิจการหรือทำงานใดให้ประสบความสำเร็จนั้น ขึ้นอยู่กับดวงชะตาชีวิต ถ้าใครดวงดี จะประกอบกิจการงานใดก็จะเจริญรุ่งเรือง ในทางกลับกัน ถ้าดวงไม่ดี ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ล้มเหลวไปหมด ดังนั้นก่อนที่จะทำอะไร หลายคนต้องพึ่งหมอดู หรือไปผูกดวง ซึ่งถือเป็นเคล็ดทางโหราศาสตร์
แต่ตามหลักพุทธศาสตร์ การจะทำสิ่งใดให้ประสบความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับดวงดาวที่ไหน หากจะดูดวง ต้องดูดวงบุญในตัวเราว่า ที่ผ่านมาในอดีต เราได้สั่งสมบุญไว้มากน้อยเพียงไร บุญที่เราทำไว้ดีแล้ว จะเกื้อกูลเราให้ประสบความสำเร็จในทุกสิ่ง ตัวของเราเท่านั้นที่จะเป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตของตนเอง ไม่ใช่เทพยดาฟ้าดินที่ไหน หากเราทำบุญไว้มากๆ ดวงบุญในตัวเราก็จะโตใหญ่ ดวงบุญนี้ย่อมดลบันดาลความสุข และความสำเร็จในชีวิตให้บังเกิดขึ้นเสมอ
ดังพระสีวลีที่ได้รับการยกย่องจากพระบรมศาสดาว่า เป็นเลิศทางด้านมีลาภมาก เพราะในอดีตชาติท่านได้สั่งสมบุญกุศลไว้มาก และได้ตั้งความปรารถนาว่า ในภพชาติสุดท้าย ขอให้ได้เป็นพระสาวกผู้เลิศทางด้านมีลาภมาก มาถึงภพชาติปัจจุบัน ความปรารถนาของท่านได้เต็มเปี่ยมบริบูรณ์ด้วยอานุภาพแห่งบุญ และแรงอธิษฐานที่ทำไว้เมื่อ ๑๐๐,๐๐๐ กัปที่แล้ว เรื่องมีอยู่ว่า.....
ในสมัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ พระสีวลีเถระเกิดเป็นลูกเศรษฐีในเมืองหังสาวดี ท่านมีโอกาสไปฟังธรรมร่วมกับสาธุชน ได้เห็นพระภิกษุรูปหนึ่งได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเอตทัคคะ ทางด้านเลิศด้วยลาภ จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น จึงคิดว่า ในอนาคตกาล ขอให้เราได้ตำแหน่งเอตทัคคะเหมือนภิกษุรูปนี้ด้วย จึงกราบขออนุญาตพระบรมศาสดา เพื่อถวายมหาสังฆทานแด่พระภิกษุสงฆ์ โดยมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขตลอด ๗ วัน วันสุดท้ายของการถวายมหาทาน ท่านได้ตั้งความปรารถนาต่อหน้าพระบรมศาสดาว่า “ด้วยผลแห่งมหาทานนี้ ขอให้ข้าพระองค์ได้เป็นผู้เลิศในทางมีลาภ เหมือนพระภิกษุรูปที่พระองค์ทรงแต่งตั้งไว้ในตำแหน่งอันเลิศนี้ด้วยเถิด พระเจ้าข้า”
พระบรมศาสดาทรงตรวจดูดวงบุญในตัวของกุลบุตรท่านนี้ว่า บุญในตัวสามารถส่งผลให้สมปรารถนาในสิ่งที่ตั้งไว้หรือไม่ เมื่อตรวจดูด้วยธรรมจักษุอันบริสุทธิ์แล้ว ทรงพยากรณ์ว่า “ความปรารถนาของเธอ จะสำเร็จในสำนักของพระโคดมพุทธเจ้า ในอนาคตกาลอีก ๑๐๐,๐๐๐ กัป”
กุลบุตรฟังพุทธพยากรณ์แล้ว มีความปีติใจมาก เสมือนว่าอีก ๑๐๐,๐๐๐ กัปกำลังจะมาถึงในวันพรุ่งนี้ ตั้งแต่นั้นมา ท่านตั้งใจทำบุญกุศลจนตลอดชีวิต เมื่อละโลก ได้ไปบังเกิดในเทวโลกเป็นเวลายาวนาน ครั้นลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ท่านสั่งสมบุญมาโดยตลอด
มาในสมัยของพระวิปัสสีพุทธเจ้า ท่านเกิดเป็นมาณพหนุ่ม ได้ถวายน้ำผึ้งกับนมส้มแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และได้อธิษฐานให้เป็นผู้เลิศทางมีลาภมากเช่นเดิม ท่านได้รับพุทธพยากรณ์ว่า ความปรารถนานี้จะสำเร็จในอนาคตกาลอย่างแน่นอน ในสมัยพุทธกาลนี้ เมื่อท่านได้ออกบวชและบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์แล้ว ความเป็นผู้เลิศด้วยลาภเพราะแรงบุญและแรงอธิษฐาน ได้บังเกิดกับท่านสมความปรารถนา
ดังเช่น ในสมัยที่พระบรมศาสดาพร้อมด้วยภิกษุ ๕๐๐ รูป เสด็จไปเยี่ยมพระเรวตเถระซึ่งเป็นพระน้องชายของพระสารีบุตร เมื่อเสด็จไปถึงทาง ๒ แพร่ง
พระอานนท์เถระกราบทูลว่า “ทางอ้อมที่จะไป สู่ที่พำนักของพระเรวตะ ไกลถึง ๖๐ โยชน์ เป็นทางที่อยู่ของ หมู่มนุษย์ ส่วนอีกทางหนึ่งเป็นทางตรง ไกล ๓๐ โยชน์ แต่มีอมนุษย์อาศัยอยู่”
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า “พระสีวลีมาด้วยหรือไม่” เมื่อทรงรู้ว่า พระสีวลีมาด้วย จึงรับสั่งว่า “ถ้าพระสีวลีมากับพวกเรา ก็จงใช้เส้นทางตรงเถิด” ขณะที่พระบรมศาสดาทรงดำเนินไปนั้น ทวยเทพต่างปรึกษากันว่า “พวกเราจะทำสักการะแก่พระสีวลี พระคุณเจ้าของพวกเรา” แล้วให้สร้างวิหารห่างกันหลังละ ๑ โยชน์ ครั้นรุ่งเช้า เหล่าทวยเทพพากันถือข้าวทิพย์ เป็นต้น น้อมเข้าไปถวายพระสีวลีและพระภิกษุสงฆ์ทุกรูป
พระบรมศาสดาพร้อมทั้งหมู่ภิกษุสงฆ์ทั้งหมดที่ตามเสด็จ พลอยได้เสวยผลแห่งบุญบารมีของพระสีวลีเถระตลอดทาง ๓๐ โยชน์ กระทั่งถึงที่อยู่ของพระเรวตเถระ ระหว่างที่พักอยู่ และขณะเสด็จกลับก็อาศัยบุญของพระสีวลีเถระ หลังจากนั้นก็มีเหตุการณ์ที่พิสูจน์ว่า พระเถระเป็นผู้เลิศด้วยลาภสักการะอีกหลายครั้ง คือ ไม่ว่าท่านจะไปในสถานที่ใดๆ ลาภสักการะก็จะเกิดขึ้นในสถานที่นั้นๆ อย่างพร้อมมูลเสมอ
ครั้งหนึ่ง ท่านพาภิกษุ ๕๐๐ รูป เดินทางไปเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตลอดเส้นทางธรรมจาริกนั้น มีสาธุชนผู้มีจิตเลื่อมใสในพระเถระ ต่างรอคอยถวายภัตตาหารแด่ท่านตลอดเส้นทาง เพราะเทวดาจะทำหน้าที่ไปแจ้งข่าวบุญให้ชาวบ้านรู้ล่วงหน้า ทำให้ภิกษุสงฆ์ทั้ง ๕๐๐ รูป ได้รับความสะดวกสบาย ในเรื่องอาหารขบฉัน เพราะอาศัยบารมีของพระเถระ
ต่อมาภายหลัง พระบรมศาสดาทรงแต่งตั้งพระสีวลีเถระไว้ ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ในทางมีลาภมาก
จะเห็นได้ว่า ความเป็นผู้มีลาภบังเกิดขึ้น เพราะเป็นผู้มีบุญที่ได้สั่งสมไว้ดีแล้ว จะเดินทางใกล้ไกล ย่อมเกิดมหาโชคมหาลาภ มีมหาสมบัติหล่อเลี้ยงทั้งตนเอง และพวกพ้องบริวารให้ได้รับความสะดวกสบาย ได้สร้างบุญใหญ่อย่างอิ่มอกอิ่มใจตลอดชีวิต เมื่อละโลกแล้ว หากยังไม่หมดกิเลส ก็ไปเกิดเป็นเทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่ เป็นเทวดาที่มีบุญลาภ พรั่งพร้อมด้วยทิพยสมบัติอันเลิศ เมื่อกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก พรั่งพร้อมด้วยมนุษยสมบัติ คือ มีทรัพย์สมบัติมาก มีร่างกายแข็งแรง อายุขัยยืนยาว ได้อยู่ใกล้คนดี และแวดล้อมด้วยคนดี ทำให้ชีวิตดียิ่งๆ ขึ้นไป กระทั่งได้นิพพานสมบัติ ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน
ชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นชีวิตในโลกนี้ ในปรโลกหรือในสังสารวัฏ วัดกันที่บุญกับบาป ๒ อย่างนี้เท่านั้น จะเล่าเรียนอะไร ก็ทำไปเถิด เพราะเรายังเป็นมนุษย์ ต้องใช้ความรู้ทำมาหากินเลี้ยงชีพ แต่อย่าลืมศึกษาธรรมะไปด้วย เราต้องศึกษาความจริงของชีวิต ที่จะเป็นเข็มทิศนำพาเราไปสู่จุดหมายปลายทางได้อย่างถูกต้อง
จากหนังสือธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับมงคลชีวิต ๑ หน้า ๕๒๙-๕๓๕
อ้างอิง.......พระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏฯ (ภาษาไทย)
สีวลิเถราปทาน เล่มที่ ๗๒ หน้า ๓๓๒
โฆษณา