14 ก.ย. 2020 เวลา 14:14 • หนังสือ
Book Review : ขุนเขาเกาสมอง
ผู้เขียน ขุนเขา สินธุเสน เขจรบุตร K.S. Khunkhao
---
13/9/2563
“เชื่อหรือไม่ครับว่าผมกลัวผีน้อยลง เพราะว่าผมอ่านหนังสือหมวดจิตวิทยาเพิ่มขึ้น”
เมื่อสมัยเรียน ผมเคยเห็นผีมาหลอกหลอนผมอยู่ตรงหน้า แล้วผมเชื่อจริงๆ ว่าผีมีจริง การที่ผมกลัวผีน้อยลงไม่ใช่เพราะเชื่อเรื่องผีน้อยลงนะครับแต่เป็นเพราะว่าในหนังสือจิตวิทยา และประวัติศาสตร์หลายๆ เล่มที่ผมเคยอ่านมาบอกตรงกันว่า พวกเรา มนุษย์ มักเชื่อในเรื่องโกหก หรือเรื่องเล่า ซึ่งมันทำให้เราเอาตัวรอดมาจนถึงทุกวันนี้ได้ เป็นเผ่าพันธุ์ที่อยู่สูงสุดของห่วงโซ่อาหาร วานรญาติๆ เราในหลายๆ สายพันธ์ต้องสูญสิ้นไปเพราะพวกนี้ไม่เชื่อในเรื่อง “โกหก”
---
แล้วเรื่องเล่าหรือเรื่องโกหก ทำไมถึงสำคัญนักกับประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติของเรา ก็เป็นเพราะเรื่องเล่าเหล่านั้นสามารถสร้างความร่วมมือกันอย่างเป็นจำนวนมากและสร้างระบบสังคมที่สลับซับซ้อนขึ้นมาได้ ซึ่งต่างจากการร่วมมือแบบมด หรือฝูงผึ้ง พวกสัตว์เหล่านี้ร่วมมือกันได้เป็นจำนวนมากก็จริง แต่พวกมันไม่สามารถสร้างระบบสังคมที่สลับซับซ้อนได้ ไม่สามารถสร้างพรรคการเมืองผึ้ง ไม่มีสภาแห่งมด และไม่สามารถปฏิวัติ หรือร่วมกลุ่มกอบกู้ชนชาติพวกพ้องของมันได้ มันแค่ทำตามสัญชาติญาณซ้ำแล้วซ้ำเล่า
---
เหตุการณ์ข้างต้นคือการเกิดการเปลี่ยนแปลงภายในสมองของพวกเราเมื่อแสนกว่าปีที่แล้วเรียกว่าการฏิวัติการรับรู้ สิ่งนั้นทำให้พวกเราสามารถ จินตนาการได้ พวกเราสร้างพระเจ้า ศาสนา เทพ ภูตผีขึ้นมากมาย ความเชื่อได้รวบรวมพวกเราเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่แตกต่างกัน และวิวัฒน์ มาจนถึงสร้างเทคโนโลยีมหัศจรรย์ได้แบบทุกวันนี้
---
ยากจะบอกเหลือเกินว่าขอบเขตของจินตนาการของพวกเรานั้นอยู่ตรงไหนกันแน่ มองขึ้นไปบนดวงดาวท้องฟ้า ก็ยังสามารถที่จะเข้าใจระบบดวงดาว สภาพอากาศ การโคจร แรงดึงดูด และ แกแลคซี่อันไกลโพ้น ได้ง่ายกว่าการเข้าใจในสิ่งที่เรียกว่า “จิต” ของมนุษย์ พวกเราปรุงแต่งความคิดและสิ่งที่รับเข้ามาจากประสาทสัมผัสทั้ง 5 ปรุงแต่งมัน และเขียนบันทึกลงไปในพื้นที่สมองเพราะฉะนั้น ปัจเจกคนก็สามารถรับรู้เรื่องเดียวกันแต่ก็สามารถตีความได้แตกต่างกันเป็นล้ายๆ รูปแบบ ตรงกับสำนวนที่ว่า “จิตใจมนุษย์ยากแท้หยั่งถึง” แบบไม่ผิดเพี้ยน
---
ผลงานเขียนเล่มนี้ของคุณขุนเขา เป็นการรวมเล่มบทความที่เคยเขียนไว้ในสื่ออื่น แล้วตีพิมพ์เป็นหนังสือเรื่องขุนเขาเกาสมอง เกา แบบคันแล้วต้องเกาน่ะครับ เมื่อเราเกาโดนที่คันแล้วเราก็จะเกิดความพึงพอใจ สมองเราก็เช่นกันเมื่อเราคัน แล้วเราไม่เกา เราก็จะเกิดความเจ็บปวดทรมาน แต่เมื่อเกาโดนที่คันจังๆ แล้วความคับข้องใจก็จะหายไป เป็นปลิดทิ้ง
---
วิธีการเกาสมองของคุณขุนเขาก็คือการอธิบายให้ผู้อ่านเข้าใจถึงกระบวนการทำงานของสมองที่เกิดขึ้นต่อปัจจัยแวดล้อมทั้งหมด 27 เรื่อง แต่ละตอนก็จะมีภาพลวงตาไว้ให้เราข้องใจอยู่ท้ายบทเสมอ ถ้าอันไหนเฉลยแล้วเราไม่เก็ต ก็สามารถเข้าไปฟังเขาอธิบายต่อใน Youtube ได้ มีการเชื่อมโยงไปสื่อข้างนอกแทบจะทุกตอนเป็นหนังสือที่เท่ห์ จริงๆ จะไม่เท่ห์ได้อย่างไรล่ะครับ ก็เล่นมีรูปถ่ายแบบของผู้เขียนเก็กหล่ออยู่ท้ายบทแทบทุกบทเลย ผมแซวเล่นนะครับ
---
ส่วนตัวแล้วช่วงหลังๆ นี้ผมรู้สึกสนุกกับหนังสือที่มีเรื่องราวเชื่อมโยงกันมากกว่า เพราะมันน่าติดตามดี ตอนนี้เกือบง่วงแล้ว ไว้ค่อยมาเขียนต่อนะครับ ….
---
14/9/2563
วันนี้ผมเพิ่งจะอ่านเล่มนี้จบจึงได้โอกาสเขียนรีวิวให้จบหลังจากทานข้าวเย็นกับคุณแม่เสร็จแล้ว เมื่อท้องอิ่มความเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานมาทั้งวันก็ทุเลาลงไปมาก แถมได้อาบน้ำหัวสมองผมปลอดโปร่งพร้อมที่จะเกา...หนังสือเล่มนี้ต่อแล้วครับครับ
---
เนื่องจากว่าผู้เขียนได้เขียนแยกเขียนเนื้อหาออกมาเป็นบทย่อยๆ เกือบ 30 บท ผมจึงเลือกเฉพาะข้อคิดจากบทที่ผมชอบนำมาเล่าต่อ ก็น่าจะดีกว่าสรุปทุกบท และเพื่อไม่ให้เป็นการลดคุณค่าของหนังสือมากเกินไปเนื้อหาสำคัญต่างๆ ผมก็คิดว่าคงได้อรรถรสกว่าถ้ามีโอกาศอ่านหนังสือเล่มนี้ด้วยตัวเอง
---
ข้อคิดที่ 1 เมื่อเรามีความสุขก็จะทำให้คนรอบข้างมีความสุขด้วย คือการที่เราอยู่ใกล้กับคนแบบไหนสังคมแบบไหนเราก็มีโอกาสจะเป็นแบบนั้น
---
ข้อคิดที่ 2 การปูพื้นทางจิตคือการเกริ่นนำเพื่อจูงใจในสิ่งต่อไปที่เขาต้องการชักจูงเรา ให้เชื่อหรือให้ทำอย่างที่เขาต้องการ
---
ข้อคิดที่ 3 เราทุกคนมีเวลาเท่ากันแต่คนทุกคนรับรู้ถึงเวลาได้ไม่เท่ากัน เพราะผ่านการปรุงแต่งที่แตกต่างกันด้วย ประสบการณ์และสิ่งแวดล้อม
---
ข้อคิดที่ 4 การเปลี่ยนชื่อช่วยเปลี่ยนชะตาชีวิตได้จริงๆ เพราะสามารถเปลี่ยนมุมมองที่เรามีต่อตัวเอง และผู้อื่นก็ยังมองเราแตกต่างออกไปจากชื่อเดิมด้วย ส่วนจะดีหรือร้าย ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
---
ข้อคิดที่ 5 คนเราติดการพนันได้เพราะมันทำให้เรารู้สึกว่าเกือบชนะอยู่เสมอ
---
ข้อคิดที่ 6 เมื่อเรารักใครจริงๆ สักคนจะเป็นความสัมพันธ์แบบไหนก็ได้ร่างกายจะสร้างฮอร์โมนรักแท้ออกมา ทำให้จิตเป็นสุขและเยียวยาร่างกายให้แข็งแรงขึ้นได้
---
ข้อคิดที่ 7 ระรึกเสมอว่าทุกข่าวสารที่ออกมาย่อมมีผู้รอรับผลประโยชน์อยู่เบื้องหลังเสมอ
---
ข้อคิดที่ 8 ภัยที่คลืบคลานมาอย่างช้าๆ มักจะสร้างความเสียหายที่รุนแรงกว่าภัยที่มาแบบกระทันหันเสมอ เช่น เราหลบแมลงที่บินตรงเข้ามาได้อย่างว่องไว แต่เราไม่เลิกสูบบุหรี่ที่เป็นสาเหตุของมะเร็ง
---
ข้อคิดที่ 9 อย่าสัญญาอะไรกับตัวเองที่ต้องใช้เวลานานเกิน 3 สัปดาห์ เพราะเราจะทำมันให้สำเร็จได้ยากมาก ให้ตั้งเป้าเล็กๆ สั้นๆ พอสำเร็จได้ใจเราก็เป็นสุข
---
ข้อคิดที่ 10 ถ้ายังเทน้ำเน่าในถังออกไม่หมด ก็อย่าใส่น้ำดีเข้าไปในถังมันจะเสียของ เปรียบเสมือนกับการพูดคุยกันถ้าอีกฝ่ายยังพูดไม่จบก็อย่างเพิ่งแสดงความคิดเห็นออกไป ไม่อย่างนั้นแล้ว มันอาจเสียแรงเปล่า
---
สรุป….ผมชอบหนังสือเล่มนี้นะครับ อ่านแล้วเข้าใจวิธีทำงานของสมองเรามากขึ้นเมื่อรู้เท่าทันสมองเราก็จะเห็นสัญญาณบางอย่างเมื่อกำลังเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นในความคิดของเรา บางครั้งมันคือสัญชาติญาณ แต่มนุษย์เราส่วนใหญ่สามารถฝึกฝนเพื่อที่จะควบคุมมันได้ เราเรียกว่าจิตสำนึก แหม… พอสมองเราโดนเกาซะบ้างก็รู้สึกเข้าใจธรรมชาติของสิ่งที่เป็นไปมากยิ่งขึ้นและรู้สึกว่าโลกนี้ช่างน่าอยู่จริงๆ …...อ๋อ ผมเกือบลืมบอกไปครับเนื่องจากผู้เขียนน่าจะมีความศรัทธาในพระพุทธศาสนามาก เขาจึงยกตัวอย่างคำสอนทางศาสนามาในบทความบ่อยๆ ซึ่งผมว่าศาสนาอื่นก็สามารถอ่านได้นะครับรับรองว่าเป็นประโยชน์แน่นอน...แต่ถ้าใครไม่มีโอกาสอ่านหนังสือเล่มนี้ก็สามารถเข้าไปติดตามคุณขุนเขาใน YouTube ได้นะครับ เนื้อหาในเล่มบางส่วนก็จะคล้ายๆ กันกับในคอนเทนต์วีดีโอของเขา เอาไว้เป็นยาแก้คันไปก่อนก็แล้วกันนะครับ
---
ขอบคุณครับ
---
ไม่ไหวก็ต้องไหว The Productive ช่วยคนทำงานอย่างคุณให้เป็นคุณในแบบที่ดีกว่า
#ขุนเขา #Khunkhao
โฆษณา