15 ก.ย. 2020 เวลา 09:01 • การศึกษา
ข้อมูลพื้นฐาน
ในปี พ.ศ. 2562 ประเทศไทยมีขนาดเศรษฐกิจ (GDP) = 17 ล้านล้านบาท มีนักท่องเที่ยวต่างประเทศราว 40 ล้านคน นำเงินมาใช้จ่ายในไทย 1.9 ล้านล้านบาท รายได้จากการท่องเที่ยวนี้สำคัญมาก
เพราะเขามากินมาใช้ในประเทศไทย ทำให้การเงินของประเทศสะพัด ไม่ว่าการบริหารประเทศจะเป็นอย่างไร สภาพเศรษฐกิจของประเทศก็พอไปได้ เพราะมีเงินจากการท่องเที่ยวนี้มาหล่อเลี้ยง
สถานการณ์ปัจจุบัน
เมื่อไวรัสโควิดระบาด ไทยต้องปิดประเทศ นักท่องเที่ยวต่างประเทศจึงหายไปเกือบ 100 % ตั้งแต่เดือนเมษายน รายได้จากการท่องเที่ยวจำนวนมหาศาลจึงหายไปเกือบหมด ทำให้สภาพเศรษฐกิจโดยรวมฝืดเคืองมาก ยิ่งการส่งออกก็ลดลงกว่า 20% สถานการณ์จึงยิ่งแย่
“การเปิดรับนักท่องเที่ยวทั่วไปเข้าประเทศมีความเสี่ยงสูง” เพราะแค่มีนักท่องเที่ยวที่ติดเชื้อโควิด หลงเข้ามาด้วยเพียงไม่กี่สิบคนก็มีโอกาสทำให้เชื้อระบาดไปในประชาชนทั่วไป สถานการณ์กลับจะยิ่งแย่ลงไปอีก และนักท่องเที่ยวโดยเฉลี่ยอยู่ในไทยเพียง 7 วัน จึงไม่สามารถกักตัว 14 วันได้
จุดแข็งประเทศไทย
1.เราคุมโควิดได้ดี ไม่มีผู้ติดเชื้อในประเทศมากว่า 3 เดือนแล้ว
2.ประเทศไทยน่าอยู่ คนไทยอัธยาศัยดี สถานที่ท่องเที่ยวมาก อาหารอร่อย ค่าครองชีพไม่แพง คนต่างชาติมาแล้วสบายใจ ชอบเมืองไทย
3.ทั่วโลกสถานการณ์การระบาดของโควิดยังรุนแรง มีผู้ติดเชื้อใหม่วันละกว่า 200,000 คน เศรษฐีประเทศต่างๆ ดำเนินชีวิตด้วยความหวาดระแวง ไม่ค่อยกล้าออกจากบ้านไปไหน กลัวติดเชื้อ แม้อยู่ในบ้าน ก็กลัวคนที่มาหาพาเชื้อมาด้วย ข้าวของที่สั่งซื้อทางออนไลน์อาจมีเชื้อติดมากับกล่อง
แนวทางการแก้ปัญหา
1.เศรษฐีที่นำเงินมาลงทุนระยะยาวในประเทศไทย 1 ล้านเหรียญสหรัฐ (32 ล้านบาท) เราจะให้วีซ่าตลอดชีพ แก่สามี-ภรรยาและลูกๆ โดยให้นำเงินลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ อย่างน้อย 10 ล้านบาทที่เหลืออาจฝากธนาคาร ซื้อพันธบัตรรัฐบาล หรือลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ก็ได้
2.ตั้งเป้าหมายที่ 1 แสนคน จะทำให้มีเงินเข้าประเทศ 1 แสนล้านเหรียญ (3.2 ล้านล้านบาท) เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัว ผ่านภาวะวิกฤตนี้ไปได้
3.เศรษฐีและครอบครัวที่เข้ามาจะมีการตรวจเชื้อทั้งก่อนมาไทย และที่ประเทศไทยและจะต้องกักตัว 14 วันอยู่ในโรงแรมที่เข้าโครงการกับรัฐบาล โดยเลือกโรงแรมได้เอง จ่ายเงินเอง จะเอาแบบ 5 ดาว หรือ 6 ดาวก็ได้ หลังจากกักตัวแล้วก็สามารถเดินทางท่องเที่ยวไปไหนก็ได้ทั่วประเทศ
4.กว่าวัคซีนป้องกันโควิดจะสร้างสำเร็จและผลิตได้มากพอจะใช้ควบคุมโรคได้ ต้องใช้เวลาอย่างน้อยอีก 6 เดือนถึง 1 ปี แทนที่จะทนอยู่อย่างหวาดระแวงในบ้านตัวเอง เศรษฐีทั่วโลกจำนวนมากจะเลือกมาไทย และอยู่อย่างสบายใจปลอดภัย จนกว่าสถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติ โดยสามารถทำงาน สั่งงาน ประชุมทางออนไลน์ได้ แม้ลูกๆ ที่เรียนหนังสือก็เรียนออนไลน์ได้ ( ม.ฮาร์วาร์ด ให้ นศ.เรียนออนไลน์ 100% ตลอดปี )
5.เมื่อเรามีนโยบายนี้ออกไป เศรษฐีจากอเมริกา ยุโรป แม้ จีน ฮ่องกง ไต้หวัน ฯลฯ จำนวนมากก็จะมาไทย จนอาจเกินจำนวน 100,000 คน
6.เศรษฐีเหล่านี้สามารถนำเงินมาลงทุนในไทย 1 ล้านเหรียญได้ แสดงว่าเขาต้องมีสินทรัพย์มากกว่านั้นอีกนับสิบนับร้อยเท่า คนเหล่านี้มีเงิน มีประสบการณ์ธุรกิจ เมื่อมาอยู่ไทยระยะหนึ่ง ก็จะเกิดไอเดียธุรกิจจัดตั้งบริษัทขึ้นในไทย มีธุรกิจใหม่ๆ เกิดขึ้นจำนวนมากเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยต่อไป ประเทศไทยจะเป็นเหมือนบ้านที่ 2 ของเขา มีคอนโด มีบ้านของตนเอง มีวีซ่าตลอดชีพทั้งครอบครัวที่จะมาเมื่อไหร่ก็ได้ ไทยจะกลายเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับเขาและครอบครัวได้ทุกเมื่อ
7.เมื่อนโยบายนี้ได้ผล อีก 2 เดือนข้างหน้า เราอาจเปิดรับมันสมองเข้าประเทศ โดยให้วีซ่า 3 ปี แก่ผู้ที่จบปริญญาเอกสาขาที่เราต้องการ เช่น วิศวะ วิทยาศาสตร์ แพทย์ ฯลฯ จากมหาวิทยาลัยที่ กพ.รับรอง และเมื่อครบกำหนดวีซ่า หากมีการทำงานการเสียภาษีตามที่กำหนดก็ให้วีซ่าตลอดชีพ (คล้ายกรีนการ์ดของอเมริกา) ซึ่งเป็นวิธีการที่อเมริกาและสิงคโปร์ใช้ในการดึงคนเก่งจากทั่วโลกมาพัฒนาประเทศ
8.หากทำได้ดีเศรษฐกิจไทยจะพัฒนาไปอย่างรวดเร็วจนคนไทยมีรายได้ในระดับเดียวกับอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน ภายใน 15 ปี เมื่อมองย้อนกลับมาดู เราอาจต้องขอบคุณไวรัสโควิดที่ช่วยผลักดันให้เกิดนโยบายใหม่ และทำให้เศรษฐีและคนเก่งทั่วโลกอยากมาอยู่ไทย ทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้อย่างรวดเร็ว
9.หัวใจสำคัญของความสำเร็จคือ รัฐบาลต้องมีความกล้าหาญ ผลักดันนโยบายนี้ได้อย่างรวดเร็ว ทันกับสถานการณ์ ระเบียบข้อบังคับใดที่เป็นข้อจำกัด ก็สามารถทะลายคอขวดได้ เพราะพรก.ฉุกเฉิน ก็ให้อำนาจของทุกกระทรวงทบวงกรมรวมศูนย์อยู่ที่นายกรัฐมนตรีอยู่แล้ว
“พลิกวิกฤตเป็นโอกาส นำชาติไทยสู่ความเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ”
โฆษณา