Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
คลังความรู้ by SpokeDark
•
ติดตาม
16 ก.ย. 2020 เวลา 03:00 • ประวัติศาสตร์
สงครามกลางเมืองของจีน ทำไมจีนจึงกลายเป็นคอมมิวนิสต์
WIKIPEDIA PD
ร่วมเป็นผู้สนับสนุนให้เรามีกำลังผลิตงานต่อไปได้ทาง บัญชีกสิกรไทย
0698966939
บริษัท สโป๊คดาร์ค จำกัด
นะครับ ขอบพระคุณมากครับ
หลังการปฏิวัติซินไฮ่ ในปี 1911 อันเป็นจุดสิ้นสุดของราชวงศ์ชิง การปฏิวัติครั้งนี้ เกิดจากการลุกฮือของคนหลาย ๆ ฝ่าย ทหารที่เคยอยู่ฝ่ายราชวงศ์ก็แตกแยกออกเป็นหลายกลุ่มจนไม่มีเอกภาพ ในช่วงปลายของการปฏิวัติแล้วก็ไม่มีวี่แววว่าความสงบจะเกิดขึ้นได้เพราะไม่มีใครรวบรวมอำนาจจัดตั้งรัฐบาลได้
WIKIPEDIA CC WELLCOME LIBRARY, LONDON
กลุ่มปฏิวัติก็เลยยกให้กลุ่ม “พันธมิตรแห่งการปฏิวัติ” หรือ กลุ่มถงเหมิงฮุ่ย นำโดย ดร.ซุน ยัตเซน เข้าไปเจรจากับขุนศึกที่มีอำนาจมากที่สุดในปักกิ่ง ซึ่งเป็นจอมทัพของฮ่องเต้ นั่นก็คือ นายพล หยวน ซื่อข่าย โดยแผนก็คือ ให้นายพลหยวน จัดการกับฮ่องเต้เสีย แล้วทางฝ่ายปฏิวัติจะยกตำแหน่งประธานาธิบดีให้หลังจากตั้งสาธารณรัฐได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
WIKIPEDIA PD
เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าซุน ยัตเซนและพวกไม่มีกำลังทหารและกำลังทรัพย์มากทีที่จะยึดเมืองหลวงได้ด้วยตัวเอง สุดท้ายก็จำต้องพึ่งอำนาจของแม่ทัพใหญ่เพื่อให้ฮ่องเต้ยอมสละราชบัลลังก์ (ถึงแม้ว่าซุน ยัตเซนจะเป็นผู้นำการปฏิวัติมาหลายปีแล้วแต่ก็ไม่สามารถรวบรวมกำลังและทรัพยากรได้มากพอจะเป็นผู้นำสาธารณรัฐได้ด้วยตัวเอง โดยช่วงที่เกิดการปฏิวัติซินไห่ ซุน ยัตเซนก็เดินสายล็อบบี้ให้กลุ่มถงเหมิงฮุ่ยอยู่ที่สหรัฐอเมริกา และมีการระดมทุนจากคนจีนโพ้นทะเลมาช่วยในการปฏิวัติ ไม่ว่าจะเป็นในสิงคโปร์ มาเลเซีย หรือแม้แต่ในประเทศไทยเอง ดร.ซุนยัตเซนก็เคยมากล่าวปราศรัยระดมทุนที่พาหุรัดกับคนจีนโพ้นทะเลในเมืองไทยด้วย ทุกวันนี้ที่ปากซอยผลิตผล ฝั่งถนนราชวงศ์ ก็ยังมีป้ายซอย ผลิตผล และวงเล็บว่า “ซอยซุนยัตเซน” )
WIKIPEDIA PD
สุดท้ายดีลก็ลงตัวที่ ซุน ยัตเซน จะได้เป็นประธานธิบดีคนแรกของจีน แต่เป็นแค่ชั่วคราวเพียงแค่ 3 เดือน เมื่อจอมพล ยวน ซือไข่ เข้าไปเจรจากับราชวงศ์ชิงให้ฮ่องเต้ ฝู่อี๋ สละราชบัลลังก์ได้สำเร็จ จอมพลหยวนก็จะขึ้นมาเป็นประธานธิบดีตามที่ตกลงกันไว้ สาธาณรัฐจีนก็ได้เกิดขึ้นสำเร็จเป็นครั้งแรกในปี 1912 ส่วนกลุ่มพันธมิตรแห่งการปฏิวัติ หรือ กลุ่มถงเหมิงฮุ่ย ที่ ซุน ยัตเซน ตั้งขึ้นมาเพื่อการปฏิวัติก็ยุบไป และตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาแทนใช้ชื่อว่าพรรคก๊กมินตั๋ง หรือ“พรรคคณะชาติ”
1
WIKIPEDIA PD
แต่แล้ว หยวน ซื่อข่าย ก็ล้มโต๊ะโดยยึดอำนาจไว้ทั้งหมดไม่แบ่งให้ใคร เริ่มปกครองจีนแบบเผด็จการทหาร มีการแบนพรรคการเมือง กำจัดศัตรูทางการเมือง นักการเมืองถูกลอบสังหาร ซุน ยัตเซน ต้องลี้ภัยออกจากประเทศจีนไปอยู่ที่ญี่ปุ่น หยวน ซื่อข่าย ได้พยายามจะรื้อฟื้นราชวงศ์ขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ตั้งใจจะแต่ตั้งตัวเองให้ตัวเองเป็นจักพรรดิ โชคดีที่ทำไม่สำเร็จ เพราะเกิดป่วยและเสียชีวิตไปในปี 1916
WIKIPEDIA PD
เมื่อจอมทัพที่มีอำนาจมากที่สุดเสียชีวิตไป คนที่สืบทอดอำนาจต่อจาก หยวน ซื่อข่าย ต่างไม่มีอำนาจมากพอ ทำให้จีน ณ ตอนนั้นถึงแม้จะมีรัฐบาลทหารที่ปักกิ่ง แต่ตามมณฑลต่างๆ ก็เกิดการแข็งเมือง แม่ทัพแต่ละคนเริ่มสะสมกำลังเอง เก็บภาษีเอง ปกครองตัวเอง โดยไม่ยุ่งเกี่ยวอะไรกับรัฐบาล ช่วงหลังปี 1916 จีนก็แตกออกเป็นหลายๆ กลุ่ม ซึ่งเรียกยุคนี้ว่า จีนยุครัฐขุนศึก คือยิ่งกว่ายุค 3 ก๊ก เพราะมีเป็นสิบๆ ก๊ก
เวลาผ่านมาถึงปี 1921 สิบปีหลังการปฏิวัติซินไฮ่ ท่ามกลางประเทศจีนที่แตกออกเป็นเสี่ยงๆ พรรคก๊ก มินตั๋ง ก็กลับมาที่จีนอีกครั้งและตั้งรัฐบาลที่กวางตุ้ง แข่งกับรัฐบาลทหารที่ปักกิ่ง ถือเป็นการปฏิวัติครั้งที่สอง
1
แต่การปฏิวัติรอบนี้ ซุน ยัตเซน ไม่อยากพลาดซ้ำรอยเดิม คิดว่าต้องมีกำลังทหารเป็นของตัวเองซะก่อน ไม่งั้นก็จะโดนคนถืออาวุธมายึดอำนาจไปอีก ดังนั้นก๊กมินตั๋ง ก็เลยต้องสร้างกองทัพ มีการตั้งโรงเรียนนายร้อยขึ้นมา แล้วก็ต้องหาสปอนเซอร์รายใหญ่ด้วย แต่ปัญหาก็คือสปอนเซอร์หายากเสียแล้ว เพราะผลของการปฏิวัติซินไฮ่ก็ออกมาดูไม่จืดอย่างที่ทุกคนเห็น เพราะลงเอยทำให้ประเทศแตกเป็นเสี่ยงๆ ประเทศเดียวที่ยอมให้การสนับสนุนก็คือสหภาพโซเวียตที่เพิ่งขึ้นมามีอำนาจสดๆ ร้อนๆ ไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยข้อแม้ในการเป็นสปอนเซอร์ของโซเวียตก็คือ พรรคก๊กมินตั๋ง ต้องร่วมมือกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ดีลของสามฝ่ายก็เลยลงตัว โซเวียตได้โอกาสเผยแพร่อุดมการณ์คอมมิวนิสต์ ซุน ยัตเซน ได้กองทัพ พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้โอกาสตั้งไข่
5
WIKIPEDIA PD
ในจุดนี้เองอาจจะสงสัยกันว่าทำไม ทำไม ซุน ยัตเซน ถึงยอมรับการช่วยเหลือจากคอมมิวนิสต์ซะเอง แล้วทำไมคอมมิวนิสต์ถึงไปร่วมมือกับ ซุน ยัตเซน ที่เป็นตัวแทนการปฏิวัติฝ่ายเสรีนิยมซะเอง ก็ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ในขณะนั้นโลกยังไม่ได้เป็นโรคเกลียดกลัวคอมมิวนิสต์เท่าช่วงหลังสงครามโลก อุดมการณ์ที่ขัดแย้งกันยังไปไม่ถึงขั้นเอาเป็นเอาตาย ทุกคนยังเชื่อว่าดีลกันได้ ซุน ยัตเซน ต้องการกำลังสนับสนุน ส่วนโซเวียตก็อยากให้ลัทธิ คอมมิวนิสต์ในจีนจุดติดก่อน แต่การจะจุดติดก็ต้องรอให้จีนเข้าสู่สังคมอุตสหกรรมและมีชนชั้นแรงงานเยอะๆ และเอาเข้าจริงๆ ไอเดียการเมืองของ ซุน ยัตเซน ที่เรียกว่า ลัทธิไตรราษฎร์ ก็ค่อนข้างก่ำกึ่ง ถึงดูเผินๆ จะเป็นประชาธิปไตย แต่ก็มีการปฎิรูปที่ดินเอาใจชาวนาที่เข้าทางคอมมิวนิสต์มากๆ ดีลก็เลยพอเป็นไปได้ ณ จุดจุดนี้
1
ความร่วมมือก็ดำเนินไป ทางด้านโซเวียตก็ส่งที่ปรึกษามาทำงานเคียงข้างกับ ซุน ยัตเซน ชื่อว่า มิคาเอล โบโรดิน ส่วนจีนก็ได้ส่งคนไปเรียนที่โซเวียตเช่น โจ เอินไหล ที่เป็นคนสำคัญอันดับต้น ๆ ของพรรคคอมมิวนิสต์ และส่ง เจียงไคเชก ไปด้วยซึ่งเป็นนายทหารที่ ซุน ยัตเซน ไว้วางใจ
1
WIKIPEDIA PD
จุดเปลี่ยนแปลงมาถึงอีกครั้งในปี 1925 ซุน ยัตเซน เสียชีวิตลงด้วยโรคร้ายเกิดการแย่งชิงอำนาจกันในพรรคไม่รู้จะให้ใครมาสืบทอดอำนาจของ ซุน ยัตเซน ดี คนที่มีอิทธิพลก็มีถึงสามคน ฝ่ายแรกคือฝ่ายเสรีนิยมประชาธิปไตยหรือฝ่ายขวาที่ไม่ชอบคอมมิวนิสต์ นำโดย หู ฮั่นหมิน และ ฝ่ายซ้าย ที่มองว่า ก๊ก มิน ตั๋งยังทำงานกับพรรคคอมมิวนิสต์ได้ ชื่อว่า วัง จิงเว่ย ตามด้วยฝ่ายอำนาจนิยมเผด็จการทหาร ไม่เอาทั้งคอมมิวนิสต์ ไม่เอาทั้งเสรีนิยมนั่นก็คือ เจียง ไคเชก
ปี 1926 ในขณะที่พรรคก๊กมินตั๋ง กำลังลำบากในการหาผู้นำ เจียง ไคเชก ก็ได้สปอตไลท์ดูโดดเด่นที่สุด
เพราะตอนนั้นสังคมค่อนข้างจะมีฉันทานุมัติว่าควรรวบรวมแผ่นดินจีนกลับมาเป็นหนึ่งเดียวให้ได้ก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากันอีกที และพรรคก๊กมินตั๋งทางปีกทหารนำโดยเจียงไคเช็คก็ได้เดินทัพขึ้นเหนือ เรียกว่า Northern Expedition ที่เดินทางจากกวางตุ้งขึ้นเหนือไปเรื่อย ๆ เพื่อเจรจากับรัฐขุนศึกต่าง ๆ ให้กลับเข้ามาอยู่ภายใต้ธงผืนเดียว ถ้าเจรจาได้ก็ดี เจรจาไม่ได้ก็รบกัน ทำให้นายพลเจียง ไคเชกดูโดดเด่นมาก ๆ การเดินทัพขึ้นเหนือนี้ พรรคก๊กมินตั๋งสามารถปราบรัฐบาลที่ปักกิ่งได้และในปี 1927 ก็ไปถึงแมนจูเรียได้สำเร็จ สาธารณรัฐจีนก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง โดยรวมเมืองสำคัญ ๆ ใน ลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียงได้สำเร็จ
WIKIPEDIA PD
หลังรวมประเทศได้ในระดับหนึ่ง เจียง ไค เชค ที่มีกำลังทหารมากที่สุด ก็เริ่มดำเนินการชำระพรรค ก๊กมินตั๋ง โดยฝ่ายขวาก็ได้ร่วมมือกัน ปราบฝ่ายคอมมิวนิสต์แบบโหดเหี้ยมโดยในวันที่ 12 เมษายน 1927 เกิดการสังหารหมู่คอมมิวนิสต์ขึ้นที่เซี่ยงไฮ้ หรือ Shanghai massacre ซึ่งเป็นเมืองอุตสหกรรมเพียงเมืองเดียวของจีน และมีชนชั้นแรงงานมาก จึงถือเป็นศูนย์กลางของฝ่ายคอมมิวนิสต์
สิ่งที่น่าสนใจก็คือเรื่องนี้เกิดขึ้นโดยมีการร่วมมือกับ“อั้งยี่” ที่นำโดยเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ตัวจริงชื่อว่า ตู้ เยว่เซิงเพราะว่าอั้งยี่ ก็ไม่ชอบคอมมิวนิสต์เหมือนกัน เนื่องจากถือว่ามาทับที่ แย่งอิทธิพล แย่งฐานเสียงชนชั้นกรรมกร! โดยอั้งยี่ก็จะคอยชี้เป้าว่าใครเป็นคอมมิวนิสต์ ให้กับทหารของเจียง ไคเชก เชื่อว่าตัวเลขผู้เสียชีวิตมีหลายพันคน ซึ่งนี่ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามกลางเมืองระหว่าง พรรคก๊กมินตั๋ง และ คอมมิวนิสต์
ในปีเดียวกันนี้เอง หลังจากขับไล่คอมมิวนิสต์ออกจากพรรคได้หมดแล้ว เจียง ไคเชก ก็แซงหน้าขึ้นมาเป็นผู้นำพรรคก๊กมินตั๋ง และตั้งรัฐบาลใหม่ที่เมืองหนานจิง ส่วนพวกคอมมิวนิสต์ ก็แตกกระสานซ่านเซ็นไปตามหัวเมืองต่างๆ หรือไม่ก็ลี้ภัยไปต่างประเทศ ในห้วงเวลานั้นเองที่ เหมา เจ๋อตง ซึ่งเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ระดับหางแถว พื้นเพเป็นลูกชาวนา ไม่ได้จบเมืองนอก หรือเป็นปัญญาชนเหมือนคนอื่น ก็เริ่มเสนอไอเดียว่า คอมมิวนิสต์จีน จะทำตามแบบโซเวียตทั้งหมดไม่ได้ จีนที่เป็นประเทศเกษตรกรรมก็ควรจะให้ชาวนามาขับเคลื่อนการปฏิวัติถ้าเอาแต่รอให้ประเทศเป็นอุตสหกรรม ก็เสียเวลาและก็มีแต่จะถูกเจียง ไคเชก ปราบจนหมดสิ้น
3
หลังปี 1927 เหมา จึงเลยเริ่มออกไปรวบรวมชาวนา ตามชนบทรอบๆเมืองใหญ่ ตั้งเป็นคอมมูนแบบคอมมิวนิสต์ ในขณะที่ถูก เจียง ไคเชก ตามมาปราบปรามอยู่เรื่อยๆ
สงครามกลางเมืองครั้งนี้ ดูเหมือนฝ่าย เจียง ไคเชก ได้เปรียบ และเอาชนะคอมมิวนิสต์ที่ยังตั้งตัวไม่ได้ แต่แล้วจุดเปลี่ยนก็มาถึง
1
WIKIPEDIA PD
ในตอนนี้เอง ตัวละครใหม่ก็เข้ามาเปลี่ยนเกม นั่นก็คือญี่ปุ่น ญี่ปุ่นกำลังขยายอิทธิพลไปทั่วเอเชีย ยึดเกาหลี ยึดไต้หวัน และเริ่มเข้ามาลงทุนสร้างทางรถไฟในแมนจูเรีย โดยญี่ปุ่นมีกรรมสิทธิในที่ดินสองข้างทางด้วย โดยในช่วงที่จีนเป็นรัฐขุนศึก ญี่ปุ่นก็ดีลกับขุนศึกในแมนจูเรีย โดยเฉพาะกับขุนศึกที่ชื่อว่า จาง จั้วหลิน
ต่อมาในปี 1928 ขุนศึกแมนจูเรียคนนี้ ก็เริ่มต้านอิทธิพลของ เจียง ไคเชก ไม่ไหว และเข้าสวามิภักดิ์ กับ ก๊กมินตั๋ง ในที่สุด ในเดือนมิถุนายนปี 1928 นี่เอง จาง จั้วหลิน ก็ถูกลอบสังหาร มีการระเบิดทางรถไฟที่เขากำลังเดินทางผ่าน ซึ่งเหตุการณ์นี้ หลังจากญี่ปุ่นแพ้สงครามและถูกจับขึ้นศาลอาชญากรรมสงครามก็ได้รับการยืนยันว่าเป็นความตั้งใจของญี่ปุ่นจริงๆ เพื่อรักษาอิทธิพลในแมนจูเรียต่อไป
หลังจากขุนศึกใหญ่เสียชีวิตลง ลูกชายก็ขึ้นมาสืบทอดอำนาจต่อจากพ่อ ขุนศึกคนนี้ชื่อว่า จาง เสว่เหลียง มีฉายาว่าจอมพลน้อย เพราะอายุแค่ 27 ปี แถมด้วยคาแรคเตอร์ที่ดูรักสบาย ไม่เข้มแข็งเหมือนพ่อ ทำให้ญี่ปุ่นเห็นว่าสามารถบงการใช้เป็นหุ่นเชิดได้อย่างไม่ยากเย็น
แต่ญี่ปุ่นก็คิดผิด เพราะจอมพลน้อย จาง เสว่เหลียง ก็ไม่ได้ยอมเป็นหุ่นเชิดให้ญี่ปุ่นตามแผนที่วางเอาไว้ กลับทำตัวใกล้ชิดกับรัฐบาลก๊กมินตั๋ง มากกว่าพ่อตัวเองเสียอีก เวลาผ่านไปสาม 3 ปี เมื่ออะไรๆ ไม่เป็นไปดังใจญี่ปุ่น รางรถไฟก็เลยระเบิดอีกรอบในเดือนกันยายน ปี 1931 เราเรียกเหตุการณ์นี้ว่าเหตุการณ์ที่มุกเดน (Mukden Incident)
3
พอมีการระเบิดทางรถไฟที่เป็นทรัพย์สมบัติของญี่ปุ่นในแมนจูเรีย ทางญี่ปุ่น เลยกล่าวโทษจอมพลน้อย จาง เสว่เหลียง ว่าอยู่เบื้องหลังการก่อการร้าย และยกกองทัพมาบุกแมนจูเรีย บอกว่าจะมาเพื่อช่วยปลดปล่อยชาวแมนจูจากจอมพลที่กดขี่ประชาชน และช่วยสนับสนุนกลุ่มปฏิวัติตั้งรัฐขึ้นมาใหม่ในชื่อประเทศ“แมนจูกัว” ซึ่งในความเป็นจริงก็คือรัฐบาลหุ่นเชิดของญี่ปุ่น
ส่วนในทางด้าน เจียง ไคเชก ก็ยอมปล่อยแมนจูเรียให้กับญี่ปุ่นไป เพราะรู้ตัวว่าไม่สามารถต่อกรกับญี่ปุ่นได้แน่นอน นายพลน้อยจาง เสว่เหลียง ต้องผิดหวังกับเจียง ไคเชก และยอมลี้ภัยตามที่เจียง ไคเชก แนะนำ โดยหนีไปที่เมืองซีอานทางตะวันตกเฉียงเหนือ
ในปี 1934 ทางด้าน เหมา เจ๋อตง ที่กำลังรวบรวมและทดลองระบบปฏิวัติโดยชาวนา และรบกับเจียง ไค เชก ไปด้วย ก็เริ่มคิดว่าจะต้องหนี เจียง ไคเชก ให้ได้มากที่สุด เพื่อที่จะได้ตั้งหลัก และลืมตาอ้าปากให้ได้เสียที ดังนั้นก็เลยคิดแคมเปญที่ดังมากๆ ขึ้นมา เรียกว่า การเดินทัพทางไกล (The long march) โดยเดินเท้าไปทางเขตอิทธิพลของขุนศึกคนอื่นที่ยังไม่อยู่ภายใต้อิทธิพลของรัฐบาลก๊กมินตั๋ง
การเดินทัพทางไกลของ เหมา ก็ไกลมากจริงๆ เพราะเดินรอบประเทศจีนจาก ลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียง ลงไปทางใต้ ก่อนจะขึ้นไปทางเหนือจนเกือบถึงมองโกเลีย ว่ากันว่าระยะทางทั้งหมดราวๆ 2 หมื่นลี้ หรือกว่า 9 พันกิโลเลยทีเดียว ใช้เวลาเดินทั้งหมด 2 ปี จึงไปตั้งฐานที่มั่นคอมมิวนิสต์อยู่ที่มนฑลส่านซี เมืองเอี๋ยนอัน จากตอนแรกมีทหารชาย หญิง ร่วมเดินจำนวน 1 แสนคน แต่มีคนเดินถึงจุดหมายเพียง 7 - 8 พันคนเท่านั้น ระหว่างทางเจอทั้งความกันดาร ทั้งโรคภัยไข้เจ็บ มีขุนศึกที่ต้องสู้รบ มีกองทัพของ เจียง ไคเชก ที่ตามไล่ล่า ซึ่งการเดินครั้งนี้ก็ทำให้ เหมา เจ๋อตง ในฐานะพ่องาน ก้าวขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคคอมมิวนิสต์ที่มีความสำคัญมากที่สุด ในปี 1936
1
WIKIPEDIA PD
ในเดือนธันวาคม ปี 1936 เกิดเหตุการณ์ที่สำคัญขึ้น เพราะในมณฑลส่านซี ซึ่งเป็นที่มั่นของพรรคคอมมิวนิสต์ ก็เป็นที่มั่นของกองกำลังจอมพลน้อยจาง เสว่เหลียง ที่ลี้ภัยมาจากแมนจูเรียเช่นกัน สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือเมื่อ เจียง ไคเชก เดินทางมาทำธุระที่เมืองซีอาน จอมพลน้อยจาง เสว่เหลียง ตัดสินใจหักหลังเจียง ไคเชก โดยนำกำลังทหารมาตะครุบจับเจียง ไคเชกเป็นตัวประกัน
เหตุการนี้เรียกว่าเหตุการณ์ที่ซีอาน หรือ Xi'an Incident การจับ เจียง ไคเชก เป็นตัวประกันนี้ จอมพลน้อยจาง เสว่เหลียง มีข้อเรียกร้องให้พรรคก๊กมินตั๋งเลิกทำสงครามกับคอมมิวนิสต์ หรือ อีกความหมายหนึ่งก็คือ ให้คนจีนเลิกรบกันเองแล้วจับมือกันสู่กับกองทัพญี่ปุ่นผู้รุกรานเสียที
2
การเจรจาระหว่างก๊กมินตั๋ง จาง เสว่เหลียงและ โจว เอิ่น ไหล ตัวแทนพรรคคอมมิวนิสต์ ทำให้ เจียง ไคเชก ไม่มีทางเลือกต้องลงนามให้นำพรรคก๊กมินตั๋งร่วมมือกับคอมมิวนิสต์เป็นครั้งที่สอง เพื่อกู้ชาติจากญี่ปุ่น สงครามกลางเมืองจึงหยุดลงชั่วคราว และเริ่มสงครามใหม่กับญี่ปุ่นแทน
นักประวัติศาสตร์จะมองว่าเหตุการณ์ที่ซีอาน เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของประวัติศาสตร์จีน เพราะถึงตอนนั้นประชาชนจะเรียกร้องให้ เจียง ไคเชก ทำสงครามกับญี่ปุ่น แต่เจียง ไคเชก ก็ไม่ยอม เพราะมีแผนอยู่ในใจว่า ถ้าญี่ปุ่นจะบุกจีนจริงๆ ก็จะปล่อยญี่ปุ่นทำไปจะดีกว่า จะสู้แล้วแพ้เพื่ออะไร เขาวางแผนจะใช้แผ่นดินจีนอันกว้างใหญ่ให้เป็นประโยชน์ คือปล่อยให้ญี่ปุ่นบุกไปเรื่อยๆเท่าที่ต้องการ ส่วน เจียง ไคเชก ก็จะย้ายเมืองหลวงหนีลึกเข้าไปเรื่อยๆ รอให้ญี่ปุ่นทรัพยากรหมด และต้องหันไปบุกเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อรวบรวมทรัพยากรขึ้นมาใหม่ ซึ่งก็จะทำให้ญี่ปุ่นขัดแย้งกับชาติตะวันตกต่างๆ เช่น สหรัฐฯ แน่นอน จะไปสู้เองทำไมให้สูญเสีย สู้ยกแมนจูเรียให้ญี่ปุ่นไป แล้วเอากำลังมาปราบคอมมิวนิสต์ดีกว่า แต่การที่ถูกกดดันให้ทำสงครามด้วยการร่วมมือกับคอมมิวนิสต์ ก็ถือเป็นสิ่งที่ผิดแผนมากๆ สำหรับเจียง ไคเชก และเป็นสาเหตุให้คอมมิวนิสต์ได้แจ้งเกิดขึ้นมาซะอีกต่างหาก
เกร็ดที่น่าสนใจอีกอย่างจากเหตุการณ์ที่เมืองซีอานนี้ก็คือ จาง เสว่เหลียง ซึ่งเป็นคนจับเอาเจียง ไคเชกเป็นตัวประกัน ก็ได้มอบตัวให้กับเจียง ไคเชกในฐานะกบฏเพื่อมารับโทษที่หนานจิง ซึ่งเอาเข้าจริง จาง เสว่เหลียง ไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้นแต่เพื่อเป็นการยืนยันหลักการของความเป็นสาธารณรัฐ สิ่งที่เขาทำเป็นความผิดโทษฐานกบฏ จึงยอมมอบตัวเพื่อรับโทษด้วยตนเอง
2
WIKIPEDIA PD
จาง เสว่เหลียง ถือเป็นนักโทษการเมืองที่ถูกขังไว้ยาวนานที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะภายหลังแม้พรรคก๊กมินตั๋งหนีข้ามทะเลไปตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นที่ไต้หวัน ก็ยังหิ้วเอา จาง เสว่เหลียง ไปขังต่อที่ไต้หวันด้วย เรียกว่าแค้นมาก กว่าที่ จาง เสว่เหลียง จะได้รับอิสรภาพก็ผ่านมาถึงช่วงที่ไต้หวันเริ่มเข้าสู่ยุคประชาธิปไตยในช่วงทศวรรษที่ 1990 โดย จาง เสว่เหลียง ได้ลี้ภัยไปอยู่ที่ฮาวายได้ในที่สุดในปี 1993 รวมเวลาที่ถุกคุมขังร่วม 60 ปี
หลังจาก เจียง ไคเชก ลงนามหยุดรบกับคอมมิวนิสต์ ญี่ปุ่นรู้ตัวก็เลยเริ่มใช้แผนเปิดก่อนได้เปรียบ ญี่ปุ่นประกาศสงครามกับจีนอย่างเป็นทางการ และบุกจีนไล่ลงมาจากทางเหนืออย่างรวดเร็วยึด ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ และ หนานจิง
1
กองทัพของก๊กมินตั๋ง สูญเสียทหารไปเป็นหลักแสนในการปกป้องเซี่ยงไฮ้จากญี่ปุ่น ทำให้ เจียง ไคเชก เลือกใช้วิธีถอยไปเรื่อยๆ ลึกเข้าไปเข้าในแผ่นดินใหญ่โดยไม่ปะทะ ซึ่งทำให้เกิดเหตุการณ์สังหารหมู่ที่หนานจิงเนื่องจากการที่ทหารของจีนถอนทัพออกจากเมืองไปโดยทันที ทิ้งให้ประชาชนในหนานจิงต้องเผชิญกับทหารญี่ปุ่นแบบเต็มๆ ไม่มีใครปกป้อง ญี่ปุ่นมองว่าต้องบุกหนานจิงซึ่งเป็นเมืองหลวงให้ราบคาบให้สงครามโดยเร็วและข่มขวัญคนจีนให้ได้มากที่สุด ผลลัพธ์เลยกลายเป็นการสังหารหมู่ที่ป่าเถื่อนสุดๆ ประชาชนผู้หญิงและเด็กถูกฆ่าข่มขืน แบบไร้ความเป็นมนุษย์จำนวนมาก มีการประมาณการว่ามีเหยื่อแห่งความป่าเถื่อนในครั้งนี้มากถึง 3 แสนคนเลยทีเดียว
1
หลังจากที่หนานจิงแตก ญี่ปุ่นก็ตั้งรัฐบาลจีนหุ่นเชิดขึ้นมาที่หนานจิง และไปตาม วัง จิงเว่ย อดีตลูกน้องของ ซุน ยัตเซน ที่เป็นก๊กมินตั๋งหัวเอียงซ้าย ที่ไม่ถูกกับ เจียง ไคเชก มาเป็นประธานธิบดีแทน ส่วนเจียง ไคเชก ย้ายเมืองหลวงลึกเข้าไปทางตะวันตกที่เมืองฉงชิ่ง ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้
WIKIPEDIA PD
สงครามจีนกับญี่ปุ่นก็ดำเนินต่อไปจนถึงช่วงประมาณปี 1939-1940 ญี่ปุ่นไม่สามารถยึดพื้นที่เพิ่มได้ และไม่สามารถตีเมืองฉงชิ่งให้แตกได้ ทรัพยากรของกองทัพญี่ปุ่นเริ่มหมดแบบที่เจียง ไคเชก คิดเอาไว้จริงๆ ญี่ปุ่นต้องหันมาบุกเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเริ่มประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกาในสมรภูมิแปซิฟิก เดินหน้าเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 แบบเต็มตัว ซึ่งก็ทำให้ญี่ปุ่นก็เริ่มเสียเปรียบในที่สุด
1
ในขณะที่ญี่ปุ่นเสียเปรียบเพราะรบกับอเมริกากองทัพก๊กมินตั๋งเอง ก็เสียหายมากเพราะต้องรบกับญี่ปุ่นเหมือนกัน โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับกองทัพคอมมิวนิสต์ของ เหมา เจ๋อตง ที่ช่วยกันรบ เพราะในการรบกับญี่ปุ่นก็จะเกิดความสูญเสียมากเป็นพิเศษเมื่อเป็นการรบเพื่อปกป้องเมืองสำคัญๆ ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของ ก๊กมินตั๋ง เป็นส่วนใหญ่ ผิดกับทางด้านคอมมิวนิสต์ที่จะรบอยู่ตามเขตทุรกันดาร ซึ่งญี่ปุ่นไม่ได้ให้ความสำคัญนัก
1
และอีกสิ่งที่ทำให้ เจียง ไคเชก เสียเปรียบคอมมิวนิสต์มากขึ้นก็เพราะ เจียง ไคเชก เริ่มเสื่อมความนิยมลงอย่างรวดเร็วเพราะความป่าเถื่อนที่ยอมสละชนบทเพื่อปกป้องเมืองหลวง เช่นในปี 1938 เจียง ไคเชก ไม่ต้องการให้ญี่ปุ่นยึดเมืองอู่ฮั่นซึ่งเป็นชุมทางรถไฟที่สำคัญไปได้ จึงตัดสินใจระเบิดเขื่อนแม่น้ำเหลือง ปล่อยให้น้ำท่วม หยุดญี่ปุ่นไม่ให้มาที่อู่ฮั่น ทำให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ในชนบทไปสามถึงสี่มณฑล ประชาชนเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก จนไม่สามารถเก็บตัวเลขได้ มีการประมาณการไว้ว่า 5 แสนคน บางตำราก็ประเมินไว้ 1 ล้านคน มีคนเดือดร้อนจากการขาดแคลนอาหาร และ เจ็บป่วยจากโรคติดต่ออีกราว ๆ 3 ล้านคน เหตุการณ์นี้ถูกเรียกว่า 1938 Yellow River flood ซึ่งถ้านับกันจริงๆ จำนวนผู้เสียชีวิตเยอะกว่าที่ญี่ปุ่นทำกับคนจีนที่หนานจิงเสียอีก
เหตุการณ์ปล่อยน้ำจากเขื่อนในครั้งนี้ ทำให้ประชาชนโกรธแค้นเจียง ไคเชก มากขึ้น และไปเข้ากับคอมมิวนิสต์ กลายเป็นว่าช่วงที่ญี่ปุ่นเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 คือช่วงเวลาที่พรรคคอมมิวนิสต์ฟื้นตัวกลับมาได้ในที่สุด จากที่เดินทัพทางไกล เหลือกำลังไม่ถึงหมื่น กลับเพิ่มขึ้นเป็นหลักล้านคน!
2
และในที่สุดปี 1945 ทันทีที่ญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 สงครามกลางเมืองระหว่างคอมมิวนิสต์ กับ ก๊กมินตั๋ง ก็เริ่มต่อทันที เจียง ไคเชก กลับมาตั้งเมืองหลวงที่หนานจิงเหมือนเดิม แต่อีกตัวละครที่เข้ามาสร้างความแตกต่างให้การรบครั้งที่สองก็คือ สหภาพโซเวียต เพราะในกลุ่มผู้ชนะสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่มาร่วมกันก่อตั้งสหประชาชาติ ก็แบ่งหน้าที่ให้โซเวียตเข้ามาปลดอาวุธญี่ปุ่นในดินแดนแมนจูเรีย มองโกลเลีย และเกาหลี สหภาพโซเวียตจึงยกแมนจูเรียให้กับพรรคคอมมิวนิสต์ของเหมา เจ๋อตง สร้างความได้เปรียบให้ฝ่ายคอมมิวนิสต์เข้าไปอีก
1
WIKIPEDIA PD
สงครามกลางเมืองครั้งที่สอง ดำเนินไปตั้งแต่ปี 1945 โดยที่คอมมิวนิสต์ใช้ยุทธวิธีป่าล้อมเมือง จัดตั้งชาวนามาเป็นทหาร ใช้วิธีรบแบบกองโจร ซึ่งได้ผลดีมากๆ มีความพร้อมสุดๆ เพราะเตรียมตัวมาดี ค่อยๆ ล้อมฝ่ายก๊กมิ่นตั๋ง มาจากทางเหนือคือแมนจูเรีย และ จากภาคตะวันตก ค่อยๆ บีบเข้ามาที่ลุ่มแม่น้ำแยงซี ในขณะที่ ก๊กมินตั๋ง ไม่มีความพร้อมเหลืออยู่ เพราะบอบช้ำจากสงครามกับญี่ปุ่น และ เจียง ไคเชก ถูกโดดเดี่ยวให้รบกับญี่ปุ่นมานานมาก โดยไม่มีการสนับสนุนจากชาติสัมพันธมิตรอื่นๆ มากนัก
ในที่สุดระหว่างปี 1947 -1948 พรรคก๊กมินตั๋ง เริ่มเสียเปรียบมากขึ้นจนรู้ตัวว่าจะแพ้สงคราม ต้องเริ่มอพยพไปที่เกาะฟอร์โมซา หรือ ไต้หวันในปัจจุบัน สุดท้ายก็ประกาศตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นที่นั่นมาจวบจนถึงปัจจุบัน และในวันที่ 1 ตุลาคม 1949 เหมา เจ๋อตง ก็ประกาศสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งก็คือการประกาศชัยชนะเหนือก๊กมินตั๋ง และเปลี่ยนจีนแผ่นดินใหญ่ให้เป็นประเทศคอมมิวนิสต์ไปในที่สุด
4
ร่วมเป็นผู้สนับสนุนให้เรามีกำลังผลิตงานต่อไปได้ทาง บัญชีกสิกรไทย
0698966939
บริษัท สโป๊คดาร์ค จำกัด
นะครับ ขอบพระคุณมากครับ
WIKIPEDIA PD
31 บันทึก
30
1
19
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
สงครามในประวัติศาสตร์โลก
ประวัติศาสตร์ I
31
30
1
19
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย