17 ก.ย. 2020 เวลา 09:00 • ประวัติศาสตร์
จักรพรรดินีแห่งต้าถัง! 'บูเช็กเทียน' ฮ่องเต้หญิงองค์แรกและองค์เดียวในประวัติศาสตร์จีน
WIKIPEDIA CC SY
ร่วมเป็นผู้สนับสนุนให้เรามีกำลังผลิตงานต่อไปได้ทาง บัญชีกสิกรไทย
0698966939
บริษัท สโป๊คดาร์ค จำกัด
พระนางบูเช็กเทียนเดิมทีเป็นเพียงลูกสาวพ่อค้าที่พอมีฐานะแต่ได้รับโอกาสให้เข้ามาเป็นขุนนางชั้นสามัญธรรมดาในหัวเมืองรอบนอก พระนางบูเช็กเทียนเดิมมีนามว่า “อู่จ้าว” เป็นลูกขุนนางระดับล่าง ปกติแล้วหญิงชาวจีนในสมัยโบราณจะได้รับการศึกษาในเรื่องของการเย็บปักถักร้อย งานฝีมือต่างๆ ถ้าเรียนหนังสือก็จะเรียนให้พออ่านออกเขียนได้เท่านั้น
แต่พ่อของอู่จ้าวคิดไม่เหมือนชาวบ้าน ทำให้อู่จ้าวได้มีโอกาสได้รับการศึกษาไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของประวัติศาสตร์ การเมืองการปกครอง วรรณกรรม ดนตรี เรียกได้ว่าผู้เป็นบิดานั้นสนับสนุนให้ลูกสาวได้เรียนรู้ศาสตร์ต่างๆ เป็นอย่างดี ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องที่หาได้ยากในสมัยนั้น
123RF
ย้อนกลับไปในสมัยที่อู่จ้าวยังเป็นทารก แม่ของอู่จ้าวนั้นมักจะแต่งกายให้ลูกสาวของตนเองด้วยเสื้อผ้าของเด็กผู้ชายอยู่เป็นประจำ ซึ่งอาจเป็นเพราะนางอยากได้ลูกชายแต่ดันมีลูกสาวนั่นเอง จึงทำให้มักจะมีคนเข้าใจผิดอยู่เสมอว่าอู่จ้าวเป็นเด็กผู้ชาย วันหนึ่งได้มีขุนนางใหญ่จากราชสำนักเดินทางมายังเมืองที่อู่จ้าวและครอบครัวอาศัยอยู่ ผู้เป็นพ่อจึงพาครอบครัวออกไปต้อนรับ เมื่อขุนนางที่มีนามว่า “หยวนเทียน” ซึ่งมีตำแหน่งเป็นโหรใหญ่ประจำราชสำนักได้เห็นหน้าของเด็กน้อยอู่จ้างก็ทักขึ้นมาว่า “ถ้าหากเด็กคนนี้เป็นหญิงแล้วล่ะก็ วันหนึ่งจะต้องได้เป็นใหญ่ที่สุดในแผ่นดินอย่างแน่นอน”
วันเวลาผ่านไปจนกระทั่งหนูน้อยอู่จ้าวเติบโตเข้าสู่วัยสาว หน้าสวยงามจนเป็นที่เลื่องลือไปทั่วเมือง กิตติศัพท์ของนางนั้นเป็นที่เลื่องลือจนถึงหูฝ่ายจัดหานางสนม ซึ่งก็ได้มาติดต่อทาบทาบอู่จ้าวเพื่อนำเข้าไปถวายตัวแก่ฮ่องเต้ถังไท่จง หลังจากที่อู่จ้าวเข้ามาอยู่ในวังหลวงก็ได้รับตำแหน่ง “ไฉเหยิน” ซึ่งเป็นตำแหน่งสนมชั้นสามัญ ฮ่องเต้ถังไท่จงทรงโปรดอู่จ้าวมากทั้งเรื่องความสวย ความเฉลียวฉลาดในด้านต่างๆ ถึงขนาดพระราชทานฉายาให้กับอู่จ้าวว่า “เม่ยเหนียง” (แม่สาวพราวเสน่ห์)
WIKIPEDIA PD
แต่ถึงจะมีรูปโฉมงดงามและเฉลียวฉลาดแค่ไหน อู่จ้าวก็ยังได้เป็นเพียงแค่สนมชั้นสามัญเพียงเท่านั้น เพราะว่าฮ่องเต้ถังไท่จงทรงเห็นว่านางมีนิสัยทะเยอทะยานผิดไปจากหญิงคนอื่น โดยกลัวว่าหากนางมีอำนาจมากขึ้นนั้นจะสร้างปัญหาให้กับราชสำนักและเริ่มห่างเหินจากนาง แม้ว่าจะไม่ได้รับการเหลียวแลใดๆ อีกเลย อู่จ้าวหมั่นหาความรู้ใส่ตัวด้วยการอ่านหนังสือจากห้องสมุดของราชสำนักที่มีมหาศาล เพื่อรอว่าสักวันหนึ่งนางจะได้มีโอกาสใช้มัน
อู่จ้าวอยู่ในตำแหน่งสนมชั้นสามัญโดยไม่มีพระโอรสและพระธิดาให้กับฮ่องเต้ถังไท่จงสักคน จนกระทั่ง ย่างเข้าสู่ปีที่ 12 ที่นางอยู่ในวังหลวง ฮ่องเต้ถังไท่จงสวรรคต โดยปกติแล้วราชสำนักมีกฎไว้ว่าหากฮ่องเต้สวรรคตไปแล้วนางสนมที่เหลืออยู่ก็จะต้องโกนหัวเข้าวัดบวชชีไปตลอดชีวิต ซึ่งอู่จ้าวก็เข้าข่ายด้วยจึงต้องเข้าวัดไปทำตัวเฉกเช่นนักบวชในพระพุทธศาสนากินอยู่ในวัดจนกว่าจะตาย
แต่ทว่าฟ้าได้กำหนดให้ฮ่องเต้องค์ใหม่ที่มีนามว่า “ถังเกาจง” ได้เข้ามาทำบุญที่วัดแห่งนี้ ด้วยความที่ฮ่องเต้ถังเกาจงทรงหลงใหลในตัวของอู่จ้าวมาตั้งแต่ได้เห็นหน้าในตอนที่เป็นรัชทายาท ซึ่งพระองค์ก็หลงเสน่ห์อู่จ้าวตั้งแต่แรกเห็น แต่ทำอะไรไม่ได้เพราะนั่นคือสนมของพระบิดาต้องเก็บเอาความปรารถนาไว้มาตลอด แต่เมื่อได้มาเห็นหน้าอีกครั้งหลังจากผ่านไปร่วม 10 ปี ความทรงจำเก่าๆ ก็เข้ามาทำให้ฮ่องเต้ถังเกาจงวุ่นวายใจว่าจะทำยังไงดี
WIKIPEDIA PD
เรื่องนี้ไปเข้าหูหวางฮองเฮาพระมเหสีของถังเกาจง ด้วยความที่ตอนนี้หวางฮองเฮากำลังไม่กินเส้นกับสนมเซียวที่เป็นสนมคนโปรดของฮ่องเต้ถังเกาจงจนถึงขนาดแต่งตั้งให้พระโอรสที่เกิดกับสนมเซียวรับตำแหน่งองค์รัชทายาท นางจึงคิดแผนที่จะใช้อู่จ้าวเป็นอาวุธที่จะเขี่ยสนมเซียวออกไป จึงได้รับสั่งให้คนสนิทไปดำเนินการสึกอู่จ้าวออกมาแล้วส่งตัวเข้าไปถวายงานแก่ฮ่องเต้ถังเกาจง ซึ่งคราวนี้อู่จ้าวก็ได้ถูกแต่งตั้งให้เป็น “จาวหยี” (สนมเอก เป็นตำแหน่งที่รองจากตำแหน่งฮองเฮา ซึ่งในตำแหน่งนี้จะมีด้วยกัน 9 คน ก็ถือว่าตำแหน่งนี้เป็นสนมในลำดับต้นๆ)
สนมอู่กลายเป็นคนโปรดของฮ่องเต้อย่างรวดเร็ว ซึ่งความโปรดปรานในครั้งนี้น่าจะมาจากปมในใจที่ต้องเก็บไว้นับสิบปีกว่าจะได้เชยชมของฮ่องเต้ถังเกาจง พระองค์ทรงโปรดสนมอู่จนถึงขนาดลืมทุกอย่างไม่ว่าจะอะไรก็ต้องสนมอู่ และฮ่องเต้ถังเกาจงก็พระราชทานนามใหม่ให้ว่า ‘เม่ย’ ที่แปลว่า ‘น่ารัก’
เมื่อขจัดเสี้ยนหนามทางการเมืองโดยใช้วิธีเป่าหูฮ่องเต้ได้แล้ว ช่วงปลายปี ค.ศ. 655 สนมเอกอู่จ้าวได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็นพระอัครมเหสี หรือ ฮองเฮา โดยที่ไม่มีผู้ใดกล้าคัดค้านมีอำนาจที่มีแทบจะเทียบเท่าฮ่องเต้ พระนางก็บริหารบ้านเมืองด้วยความเด็ดขาดมากขึ้นกว่าเดิม ใครก็ตามที่ส่อจะกระด้างกระเดื่องพระนางก็จัดการปิดปากซะให้อยู่หมัดจะเหลือก็แต่ขุนนางที่รับใช้ฮ่องเต้อย่างใกล้ชิดที่พระนางยังหาทางจัดการไม่ได้ อีกเรื่องหนึ่งก็คือเป็นธรรมดาที่ใครก็ตามที่ได้ดิบได้ดีนั้นจะต้องมีการนำญาติพี่น้องของตนเองมาช่วยกัน “แชร์” ลาภยศด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตั้งแม่ของตนเองให้เป็น ‘ท่านหญิงแห่งหรง’ พี่สาว, พี่ชาย รวมไปถึงลูกพี่ลูกน้องที่ถึงแม้จะไม่สนิทก็ยังพลอยได้รับการแต่งตั้งอวยยศไปด้วยเช่นกัน
SHUTTERSTOCK
แต่การแต่งตั้งยศให้กับบรรดาญาติๆ นั้นต่อมากลายเป็นปมที่ทำให้พระนางบูเช็กเทียนต้องทำการสังหารญาติตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นหลานสาวของตนเองที่ถูกพระนางบูเช็กเทียนระแวงว่าจะเข้ามาเป็นนางสนมของฮ่องเต้ ก็ถูกวางยาพิษในอาหารและป้ายความผิดให้กับญาติทั้งสองคนที่ทำหน้าที่ยกอาหารเข้ามาให้ ซึ่งทั้งสองคนนี้ถูกตัดสินโทษให้ประหารในภายหลัง หรือจะเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่พระนางบูเช็กเทียนไม่พอใจลูกพี่ลูกน้องสองคนที่แสดงสีหน้าไม่ค่อยดีในงานเลี้ยงฉลองที่แม่ของพระนางบูเช็กเทียนจัดให้ พอพระนางบูเช็กเทียนรู้เรื่องว่าลูกพี่ลูกน้องคู่ดังกล่าวชักสีหน้าใส่แม่ของตน ก็จัดการเนรเทศให้ไปอยู่ชายแดน แต่ทั้งสองคนก็ไปไม่ถึงโดยเสียชีวิตระหว่างเดินทาง ซึ่งมีเสียงร่ำลือว่าอาจจะเป็นเพราะคำสั่งตายของพระนางบูเช็กเทียน จะเห็นได้ว่าพระนางบูเช็กเทียนนั้นเป็นคนที่เด็ดขาด หากใครขวางทางหรือทำอะไรที่เป็นการกระด้างกระเดื่องก็จะต้องถูกเขี่ยให้พ้นทางไม่เว้นแม้แต่ลูกหรือญาติของตนเอง
อำนาจของพระนางบูเช็กเทียนมาถึงจุดที่เหนือกว่าฮ่องเต้ก็ในช่วงที่ฮ่องเต้ถังเกาจงสวรรคตหลังจากครองราชย์มาเป็นระยะเวลากว่า 20 ปี โดยพระนางได้แต่งตั้งโอรสองค์ที่ 3 ของพระนางให้นั่งในตำแหน่งฮ่องเต้ มีพระนามว่า “ฮ่องเต้ถังจงจง” และพระนางบูเช็กเทียนก็ปรับตำแหน่งของตัวเองขึ้นเป็น ‘ฮองไทเฮา’ โดยสถานะของฮ่องเต้ถังจงจงนั้นก็เป็นอะไรไม่ได้มากไปกว่าหุ่นที่นั่งบนบัลลังก์ให้แม่ของตนเองเชิดเพียงเท่านั้น ผ่านไป 2 เดือน ฮ่องเต้ถังจงจงถูกถอดออกจากตำแหน่ง เพราะพระนางบูเช็กเทียนเล็งเห็นว่าลูกตัวเองอาจจะยกสนมขึ้นเป็นใหญ่ในวังหลวง
WIKIPEDIA PD
หลังจากนั้นก็จัดการยกองค์ชายหลี่ต้าน พระโอรสองค์ที่ 4 ขึ้นเป็นฮ่องเต้พระองค์ใหม่มีพระนามว่า “ฮ่องเต้ถังรุ่ยจง” ที่ถูกแต่งตั้งขึ้นมาอย่างลวกๆ โดยพิธีที่เรียบง่ายไม่ได้ใหญ่โตเหมือนกับฮ่องเต้พระองค์อื่นๆ คราวนี้พระนางคงจะขี้เกียจมานั่งเชิดหุ่นให้ทำตามใจตนเอง จึงคิดที่จะออกหน้ามาว่าราชการอย่างเป็นทางการ พระนางใช้โอกาสนี้ในการกวาดล้างเสี้ยนหนามที่ยังทิ่มแทงใจออกไปให้หมด เพื่อปูทางให้พระนางขึ้นมานั่งในตำแหน่งฮ่องเต้ โดยระหว่างที่ฮ่องเต้ถังรุ่ยจงอยู่ในตำแหน่งนั้น พระองค์ไม่เคยได้ออกมาว่าราชการที่ท้องพระโรงเลยแม้แต่น้อย หากแต่ถูกขังให้อยู่ภายในที่ประทับเท่านั้นตลอดรัชกาล
WIKIPEDIA PD
พระนางบูเช็กเทียนเป็นผู้ว่าราชการด้วยตนเองทั้งหมดด้วยความเด็ดขาด ฮ่องเต้ก็มีหน้าที่เป็นเพียงแค่ตราประทับพระบรมราชโองการต่างๆ เท่านั้น ในปี ค.ศ. 686 พระนางบูเช็กเทียนได้ตรัสกับฮ่องเต้ถังรุ่ยจงว่าจะมอบพระราชอำนาจคืนให้กับฮ่องเต้ แต่ฮ่องเต้ถังรุ่ยจงบอกไม่เอาดีกว่า เพราะรู้ดีว่านี่คือคำถามเพื่อลองใจ หากพระองค์ตอบไปว่ายินดี เห็นทีคอของพระองค์ก็คงจะหลุดจากบ่าเป็นแน่
SHUTTERSTOCK
ในปี ค.ศ.690 พระนางจึงทรงยึดอำนาจการบริหาราชการแผ่นดินจากฮ่องเต้ถังรุ่ยจง และตั้งตนเป็นเป็นสมเด็จพระจักรพรรดินี พระนางบูเช็กเทียนเป็น “จักรพรรดินี” พระองค์แรกในประวัติศาสตร์จีนด้วยพระชนมายุ 66 พรรษา โดยไร้เสียงต่อต้านใดๆ และได้จัดการตั้งราชวงศ์ใหม่ขึ้นมาโดยมีชื่อว่า “ราชวงศ์โจว” ซึ่งสิ่งที่ค้ำบัลลังก์ของพระนางบูเช็กเทียนนั้นก็คือ “หน่วยสืบราชการลับ” ที่คอยสอดส่องหาผู้ที่กระด้างกระเดื่อง ซึ่งผู้ที่มีชื่อเสียงที่สุดในหน่วยนั่นก็คือ “ตี๋เหรินเจี๋ย” การบริหารบ้านเมืองของพระนางบูเช็กเทียนนั้นได้สร้างความเจริญให้กับแผ่นดินจีนเป็นอย่างมากไม่ว่าจะเป็นในเรื่องเศรษฐกิจ ความสงบสุข เรียกได้ว่าทำได้ดีกว่าฮ่องเต้ที่เป็นชายหลายๆ พระองค์ในประวัติศาสตร์ซะอีก
พระนางบูเช็กเทียนทรงครองราชย์ในฐานะจักรพรรดินีมาได้ 15 ปี ในปี ค.ศ. 705 พระนางบูเช็กเทียนทรงถูกทำรัฐประหารโดยอดีตจักรพรรดิถังจงจงและขึ้นครองราชอีกครั้ง โดยยังให้พระนางบูเช็กเทียนยังคงใช้พระอิสริยยศ "จักรพรรดิ" หรือ "หวงตี้" ต่อจนกระทั่งพระนางสวรรคตในปีเดียวกันนั้นเองด้วยโรคชรา ซึ่งก่อนที่พระนางจะสวรรคตนั้นได้มีรับสั่งห้ามผู้ใดแกะสลักข้อความใดๆ ที่ป้ายหลุมพระศพ ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำที่กล้าหาญและแหวกแนวเป็นอย่างยิ่งในสมัยนั้น เพราะโดยปกติแล้วป้ายหลุมศพนั้นมีไว้เพื่อบอกคุณงามความดีที่ผู้ล่วงลับเคยทำเอาไว้ ซึ่งพระนางให้เหตุไว้ว่า “ให้คนรุ่นหลังคิดกันเอาเอง ว่าข้าเป็นเช่นไร”
WIKIPEDIA CC 国家公园网(GJGY.com)
ในปี ค.ศ. 706 พระจักรพรรดิ์ถังจงจง ทรงให้มีการฝังพระศพของพระนางบูเช็กเทียนร่วมกับพระศพของพระบิดาในสุสานเฉียนหลิงซึ่งอยู่ใกล้กับเมืองหลวงฉางอานในขณะนั้น ปัจจุบันอยู่ในเขตมณฑลส่านซีทางภาคตะวันตกของประเทศจีน โดยมีการตั้งแท่นศิลาจารึกอยู่บริเวณหน้าสุสาน แท่นศิลาจารึกนี้เป็นหินก้อนเดียว สูงประมาณ 10 เมตร กว้าง 2 เมตร ถูกแกะสลักอย่างประณีต และไม่มีตัวอักษรใดถูกจารึกลงไปเลย
ร่วมเป็นผู้สนับสนุนให้เรามีกำลังผลิตงานต่อไปได้ทาง บัญชีกสิกรไทย
0698966939
บริษัท สโป๊คดาร์ค จำกัด

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา