20 ต.ค. 2020 เวลา 20:01 • นิยาย เรื่องสั้น
EP 4: นิวยอร์กได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่มีค่าครองชีพสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลกเลย เอาง่ายๆ อย่างข้าวเปล่าที่นี่เนี่ยก็กล่องล่ะสองสามเหรียญ คิดเป็นเงินไทยก็เกือบร้อยนึง โอ้ว แม่เจ้า! (ตอนมาใหม่ๆ จะซื้ออะไรทีกรูคูณสามสิบสองหมด!) ข้าวยังขนาดนี้ ที่อยู่ล่ะจะขนาดไหน? ไม่ต้องเดาก็พอจะบอกได้ว่า แค่ห้องเล็กๆ ที่แค่วางเตียงได้เตียงนึง เอาไว้ซุกหัวนอนให้มันก็มีราคาค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่ $700-$1,000 แล้วล่ะครับ แพงไหมล่ะ ผมเองก็โชคดีที่มีบ้านคุณอาให้อยู่อาศัยตอนมาถึง ไม่ต้องไปขลุกขลักหาบ้านเช่าเองให้เดือดร้อนยุ่งยาก แต่ว่าอุตส่าห์หอบเสื่อผืนหมอนใบมาใช้ชีวิตถึงเมืองนอกทั้งที จะให้พักอยู่อาศัยกับอาไปเรื่อยๆ อย่างนั้นมันไม่ใช่วิสัย มันต้องแรดให้เต็มที่! แบบว่าต้องให้เจอสถานการณ์จริงด้วยตัวเอง ไม่มโนสร้างภาพไปเรื่อย
หลังจากอาศัยอยู่กับคุณอาได้ประมาณเกือบเดือนนึง ผมก็ขอย้ายออกไปหาที่อยู่ข้างนอก หลังจากที่ไปดูบอร์ดห้องพักให้เช่าที่ร้านน้ำตาล* (เอะอะก็ร้านน้ำตาลจริงๆ นะตอนนั้นเนี่ย) ผมก็พบห้องว่างห้องนึง เป็นห้องราคาประหยัด แค่ $400 เท่านั้นรวมค่าไฟแล้วด้วย (นี่ราคาเมื่อสิบปีก่อนนะครับ ตอนนี้เนี่ยห้องนอนเดี่ยว ห้องน้ำรวมเนี่ย ราคาเดือนนึง $800 เป็นอย่างต่ำ) ผมไม่ลืมเลยถึงความใจดีและความรักของเจ้าของห้องที่มีให้กับผม ป้าแกชื่อป้าจัยครับ
ลองนึกถึงภาพตัวตึกที่ชาคริตอยู่ในหนังอย่างเรื่องกุมภาพันธ์ หรือเรื่อง Begin again ที่นางเอกนอนก็ได้ครับ ที่เราจะเห็นตึกสูงตระหง่านเป็นร้อยชั้นย่านใจกลางเมืองแมนแฮตตั้นที่สวยหรู นั่นล่ะไม่ใช่ที่ผมจะเข้าไปเฉียดได้แน่ๆ ครับ มันก็เป็นได้แค่ฉากหลังให้กับย่าน Sunny Side ใน Queens ที่ผมกำลังจะย้ายเข้าไปอยู่ต่างหากล่ะ ย่านนี้เป็นย่านที่มีพี่โก้หรือชาวแม๊กซิกันอาศัยกันอยู่เยอะ ลักษณะเฉพาะตัวของพวกพี่โก้ก็คือ ตัวเตี้ยตัน หัวเราะเสียงดังและกวนส้นตีน! ไว้ว่างๆ จะมาเล่าให้ฟังถึงเรื่องกวนส้นเท้าของพี่โก้เหล่านี้นะครับ
เพราะวันนี้เราจะเล่าถึงหนุ่มกระเหรี่ยงหัวดำตัวโตๆ เดินลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่เน่าๆ ที่นอกจากล้อพังไปข้างนึงแล้ว ซิบด้านข้างก็ยังปริแตก มีริบบิ้นสีเหลืองรัดอยู่บนที่จับกระเป๋าเอาไว้เป็นสัญลักษณ์ให้เห็นชัดเพราะกลัวว่าใครจะหยิบผิดไป (พ่อเจ้าประคูณเอ๊ย สภาพอย่างนั้นเนี่ย ไม่มีใครเค้าจะเอาหร๊อก 555) ก่อนที่จะหยุดอยู่ที่หน้าตึกอิฐเก่าๆ ตึกหนึ่ง
“นี่คือสถานแห่งบ้านทรายทอง...” เพลงบ้านทรายทองดังก้องไปมาในหัวของผม พร้อมกับมโนว่าตัวเองเป็นพจมานในใจ ก่อนจะมองไปที่คุ้มกะลาหัวหลังใหม่ของผม มันไม่ใช่บ้าน มันเป็นตึกที่มีความสูงประมาณห้าชั้น เป็นตึกอิฐสีแดงหรือที่นี่เรียกกันว่า Brick แบบที่เรามักจะเห็นกันในหนังฝรั่ง แต่อิฐตึกนี้เหมือนจะผ่านลมหนาวมาเป็นร้อยปีเพราะอิฐสีแดงกลายเป็นสีน้ำตาลไหม้เก่าๆ ไปเรียบร้อย
“คูลว่ะ” ผมคิดในใจ พร้อมกับกดกริ่งเรียกที่ห้อง 4F ซึ่งเป็นห้องของป้าจัย ผมเจอประกาศห้องว่างของป้าจัยที่ร้านน้ำตาลเมื่อวันก่อน เห็นว่าราคา $400 รวมหมดทุกอย่าง เรียกได้ว่าถูก เหมาะกับคนที่ไม่มีเงินอย่างผมเป็นอย่างยิ่งในตอนนั้น (ปัจจุบันมีเงินแล้วเร๊อะ? ก็ยังไม่มีเหมือนเดิมน่ะแหละว่ะ 555) ภาพตัดไปที่ข้างในเห็นทางขึ้นตึกเป็นบันไดวนสร้างจากไม้ สภาพเอี๊ยดอ๊าดเหมือนจะพังมิพังแหล่
“ได้อยู่ตึกอิฐแดง บันไดวนเหมือนในหนังเลย นี่สินะ หนทางแห่งนิวยอร์กเกอร์” ผมคิดในใจก่อนจะมองหาลิฟท์ เอ ลิฟท์อยู่ไหนน้า... แต่หลังจากมองซ้ายขวาแล้วก็ไม่เจอ อ้าว ไม่มีลิฟท์นี่หว่า สลัด! วันมาดูห้องไม่มีกระเป๋าก็เดินตัวปลิว ไม่ได้ดูว่ามีลิฟท์หรือเปล่า แต่วันนี้ผมต้องแบกกระเป๋าเดินทางใบเขื่องๆ ไอ้ที่ล้อพังอันนั้นน่ะแหละขึ้นบันไดไปชั้นสี่ แถมบันไดที่นี่ก็โคตรจะกว้าง กว้างแบบสองคนเดินสวนกันมีไหล่ชนกันอ่ะคับ มันจะมินิมอลอะไรเบอร์นั้น! หลังจากปล้ำกับกระเป๋าเดินทางอยู่นาน ผมก็มาถึงหน้าห้องที่ชั้นสี่จนได้
“ป้าจัย ผมอ็อตโต้ครับ มาถึงแล้วครับ” ผมเคาะประตูเรียกป้าจัย สักครู่เดียวก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินที่มาพร้อมกับเสียงเอี๊ยดอ๊าดของพื้นตึก ก่อนที่ประตูจะเปิดออก
”ยินดีต้อนรับค่ะ อ็อตโต้” ป้าจัยพูดเสียงใสพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะเชิญให้เข้าไปข้างในห้อง
ป้าจัยเป็นคุณป้ามือใหม่วัยเกษียณ แต่ยังดูแข็งแรงดีอยู่ มีผมขาวแซมบ้างแต่พองามและแม้จะอยู่ในวัยเกษียณแล้ว แต่แกก็ยังคงทำงานอยู่ โดยแกรับจ๊อปทำงานในครัวเป็นคนห่อพวกของกินเล่นอย่างปอเปี๊ยะ, ขนมจีบและกะหรี่พัฟตามร้านอาหารไทยอยู่ ชีวิตต้องสู้จริงๆ ครับป้า!
ห้องของป้าจัยอยู่ชั้นสี่ ด้านหน้า ก็เลยเรียกว่า “4F” มาจากคำว่า “4 Front” อีกฝั่งทางเดินก็จะเป็นอีกห้องนอนนึง เห็นมีตัวหนังสือแปะอยู่ว่า “4R” ก็คงมาจาก “4 Rear” ห้องของป้าจัยเป็นสองห้องนอน มีห้องนั่งเล่นตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างห้องของผมกับห้องของป้าจัย ดูจากสภาพกำแพงที่ดูทรุดโทรมแล้ว พื้นไม้ก็คงเก่าแก่ตามสภาพตึก เวลาเดินพื้นไม้ก็มักจะแอ่นยวบลงไปบ้างตามน้ำหนักคนเดิน ทำให้มีเสียงเอี๊ยดแอ๊ดเบาๆ ออกมา
ห้องนั่งเล่นที่อยู่ตรงกลางนั้นมีโต๊ะกินข้าวตัวใหญ่ขนาดซักสี่คนนั่งได้ตัวนึงอยู่ตรงกลางห้อง มีทีวีกับโซฟาตั้งอยู่ที่มุมทางฝั่งห้องป้าจัย กับมีชั้นวางของกระจุกกระจิกที่มีพวกพระเครื่อง หนังสือสวดมนต์วางอยู่ตรงฝั่งประตูหน้าห้องผม ห้องนอนผมขนาดกว้างขนาดประมาณ 2.5 x 4 เมตร มีหน้าต่างบานใหญ่บานนึงติดกับบันไดหนีไฟ ที่ค่าเช่า รวมน้ำไฟทุกอย่างแต่จ่ายแค่สี่ร้อยเหรียญนั้น เพราะว่านอกจากขนาดห้องที่เล็กประมาณรูหนูตายแล้วเนี่ย มันยังเดินไกลจาก Subway เกือบๆ สามบล็อคถนนแล้ว อีกเหตุผลนึงก็เพราะว่ามันเป็นห้องเปล่าไม่มีเฟอร์นิเจอร์เลยแม้แต่อย่างเดียว โชคดีที่อาผมให้ผ้าห่มเด็กติดตัวมาผืนนึงก็เอามาปูพื้น ผ้าเช็ดตัวก็กลายมาเป็นผ้าห่ม ที่หนุนหัวก็เป็นกระเป๋าสะพายใบเล็กที่ติดตัวมาจากไทย อาจจะเหมือนสร้างภาพว่าจน แต่บอกเลยว่า ไม่ได้ดราม่า แกล้งทำตัวจนนะ แต่กรูจนจริงจริ๊ง!
“มีอ็อตโต้เข้ามาอยู่ด้วยก็เหมือนมีลูกมีหลานในบ้าน หายเหงาไปเยอะเลย” ป้าจัยพูดรับขวัญพลางส่งน้ำให้ผมดื่ม เล่นเอาผมแอบรู้สึกเขินๆ เหมือนกัน คือไม่เคยย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านกับคุณป้ารุ่นใหญ่กันสองต่อสองอ่ะนะ ญาติก็ไม่ใช่ ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงอ่ะนะ
“เผื่อวันนึง...ป้าเป็นอะไรไปก็ช่วยพาป้าไปโรง’ บาลด้วยนะ” ป้าจัยพูดต่อ เล่นเอาซะกรูน้ำแทบพุ่ง! เดี๋ยวครับป้า ผมเพิ่งมาอยู่นิวยอร์กยังไม่ประสีประสา ป้าอย่าเพิ่งรีบไปสวรรค์ซิครับ
ชีวิตหลังอยู่กับป้าจัยเป็นไปอย่างราบรื่นครับ ป้าแกเป็นคนใจดี ด้วยความที่ผมเองก็เพิ่งมา แกก็เป็นห่วงเอ็นดูตามประสาผู้ใหญ่ มีเด็กๆ มาอยู่บ้านก็เป็นห่วง มักจะถามว่าเป็นไงบ้าง ผมไปไหนมา ทานอะไรมาแล้วหรือยัง เวลาแกไปทำงานกลับมาก็มักจะมีของกินกลับมาด้วย ก็พวกเปาะเปี๊ยะ พวกขนมจีบที่แกห่อนั่นแหละ มีเต็มตู้เย็นกินได้ทั้งเดือนอ่ะ ป้าจัยบอกผมเสมอว่าทานได้ไม่ต้องเกรงใจ ป้าจัยใจดีม๊ากกส์ขนาดที่ว่าเดือนแรกที่ผมเข้าอยู่ แกบอกจ่ายแค่ค่าเช่าก่อน ค่ามัดจำห้องค่อยจ่ายก็ได้ ทั้งที่โดยทั่วไปแล้วต้องจ่ายมัดจำเดือนนึงและจ่ายค่าอยู่ของเดือนนั้นตอนต้นเดือน แต่ผมเพิ่งมา งานก็เพิ่งได้ ไหนต้องจ่ายค่าเรียนอีก ก็เลยคุยกับแกเรื่องเงินค่ามัดจำบ้านว่าขอผ่อนเป็นสิ้นเดือนได้ไหม
”ไม่เป็นไร ไว้จ่ายตอนสิ้นเดือน หรือตอนมีตังก็ได้ ป้าไว้ใจอ็อตโต้” ป้าจัยพูด นี่ป้าจัยหรือนางงามจักรวาลวะเนี่ย! น้ำตาจิไหล 555
ป้าจัยคนนี้คือหนึ่งในความดีงามแรกๆ ของเมืองนิวยอร์กสำหรับผมเลยครับ หลังจากนั้นผมก็เริ่มลงตัวกับชีวิต มีงานทำ มีข้าวกิน มีที่ซุกหัวนอน ไปโรงเรียนเรียนภาษา ผมอยู่กับป้าจัยอย่างปรกติดี แต่เริ่มไม่ค่อยเจอหน้ากันแล้ว เพราะว่าป้าจัยตื่นไปข้างนอกก่อนผมไปโรงเรียน ผมไปทำงานกลับมาป้าก็หลับแล้ว ก็ทักทายตามประสาคนอยู่ร่วมกันที่นานๆ เจอกันที แต่ผมแอบสังเกตุเห็นว่าเวลาผมอุ่นกับข้าวแล้วนั่งกินอยู่ในห้องนั่งเล่นนั้น ป้าจัยแกจะชอบหิว ออกมาหาอุ่นอาหารตามแล้วก็บอกว่าขอนั่งกินด้วยคน รู้นะป้า เหงาล่ะซิ๊ 555 แต่ว่าหลังจากที่ผมอยู่กับป้าจัยได้ประมาณครึ่งปี ก็มีเหตุการณ์ให้ผมตัดสินใจต้องย้ายออก...
มันเริ่มตะแหง่วๆ ในช่วงกลางคืนของช่วงฤดูร้อน บอกก่อนว่าอากาศที่นิวยอร์กเนี่ย มันรุนแรงมาก บทจะหน้าหนาวก็หนาวไข่หด พอบทจะหน้าร้อนก็ร้อนไข่ย้อยเลยอ่ะครับ คืนหนึ่งในฤดูร้อนแรกของผมที่นี่ หลังจากนอนเหงื่อแตกพักใหญ่ ผมเองก็สะลึมละลือตื่นออกจากห้องนอนจะเดินไปเอาน้ำเย็นลูบหัวลูบตัวแก้ร้อนซะหน่อย อย่าถามว่าห้องไม่มีแอร์เหรอ เตียงกรูยังไม่มีเล๊ย! ขณะกำลังเดินผ่านห้องนั่งเล่น ผมก็สะดุ้งตกใจฉี่แทบเล็ดเพราะเห็นเงามืดๆ อยู่ที่แถวชั้นวางของที่หน้าห้อง
“เหรี้ย!!” ผมร้องเสียงหลงแต่พอตั้งสติได้ อ้าว ป้าจัยนี่หว่า มานั่งทำไรเงียบๆ หน้าห้องผมเนี่ย ตายหรือเปล่าวะ! แต่พอชะโงกดูดีๆ แกนั่งพนมมือสวดมนต์พึมพำอยู่ โธ่...ป้าจัยคร้าบ ตีสองตีสามหน้ามาสวดมนต์หน้าห้องคนอื่น เกิดผมตกใจถีบป้าตายไป ผมติดคุกหัวโตพอดีซิครับ
หลังจากคืนนั้นป้าจัยก็เริ่มสวดมนต์บ่อยขึ้นครับ คือแทบจะทุกคืนเลยครับ ใต้บานประตูห้องผมก็จะมีแสงสีเหลืองอร่ามของแสงไฟจากเปลวเทียนที่มันพริ้วไหวในห้องนั่งเล่นยามค่ำคืน บางทีออกไปเข้าห้องน้ำแสงเทียนก็ทำให้เงาของป้าจัยที่แปะอยู่บนกำแพงใหญ่เกินกว่าตัวจริงและก็ออกจะพริ้วๆ หลอนประสาทหน่อยๆ ทุกคืนผมก็นอนท่ามกลางเสียงสวดมนต์ไปแล้วก็ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงค์ พร้อมดับขันติ เตรียมเดินทางไปสู่สัมปรายภพ! เย้ย! ไม่ใช่ว๊อย กูยังไม่ตาย! บางครั้งบางคืนก็เป็น 4D มาแบบกลิ่นธูปก็โชยเข้ามาตามประตูห้องก็มี บางทีมาแบบเป็นเสียง ไม้ลั่นเอี๊ยดๆ เหมือนคนเดินจงกรมอยู่หน้าห้องตลอดเวลา หลอนว๊อย! ผมอยู่ในสภาพนั้นได้ประมาณเกือบสองเดือน ก็บอกตัวเองว่ากรูอยู่ไม่ไหวแล้วว๊อยยย! อยู่ต่อเดี๋ยวได้ไปสู่สุขคติ บรื๋ย!
ผมบอกป้าจัยว่าอยากย้ายออกไปหาที่อยู่ใหม่ ให้เหตุผลว่าเพื่อนชวนไปอยู่ด้วยกัน และก็สะดวกกับการไปทำงานมากกว่า ป้าจัยก็ทำหน้าเศร้าเป็นหมาเหงาอยู่พักใหญ่ ก่อนจากกันป้าจัยก็พูดอยู่บ่อยๆ ว่าไม่อยากให้ผมย้ายไปเลยอย่างนั้นอย่างนี้ แหม่ ถ้าป้าไม่เล่นของใส่ผม ผมก็ยังอยู่ต่อไปแหละคร้าบ 555
ปัจจุบันผ่านมาเป็นสิบปี ผมก็ยังอดคิดไม่ได้ว่าโชคดีจริงๆ เลยที่ตอนนั้นผมได้ป้าจัยให้ที่พักอยู่อาศัยในราคาที่ไม่แพงมาก หากเป็นสมัยนี้ ก็คงมี $800 เป็นอย่างต่ำ มันก็ช่วยให้ผมไม่ต้องพะวงกับเรื่องเงินทองมากนัก เริ่มทำงานตั้งเนื้อตั้งตัวได้ ว่าแล้วก็อยากขอบคุณป้าจัยจริงๆครับ ไม่เหมือนกับไอ้โจ้เพื่อนผมที่เล่าให้ฟังว่า มันถูกรับขวัญโดยป้าอีกคน ที่ชื่อว่าป้าจู...
**
ร้านน้ำตาล* คือร้านขายของชำของคนไทยที่อยู่ย่าน Elmhurst ใน Queens จะมีบอร์ดประกาศเรื่องของงานกับที่พักมาปักหมุดอยู่เสมอๆ
พี่โก้** หมายถึง พี่แม๊กซิโก เป็นชาวอพยพกลุ่มใหญ่มากของอเมริกา คนไทยมักเรียกว่า ‘พี่โก้’

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา