21 ก.ย. 2020 เวลา 06:47 • สัตว์เลี้ยง
สวัสดีครับเพื่อนๆทุกท่าน พอดีเครียดๆจากงานก็เลยหันมาพักผ่อนด้วยการโพสต์ข้อมูลที่น่าสนใจให้เพื่อนๆได้อ่านกันครับ
วันนี้ผมจะพาเพื่อนๆ มาทำความรู้จักกับเต่าสายพันธุ์หนึ่งที่ชื่อว่า “เต่าซูคาต้า” เป็นเต่าบกที่มีขนาดใหญเป็นอันดับ 3 ของโลก อาศัยอยู่ในทะเลทรายที่พบเจอได้ในตอนเหนือของทวีปแอฟริกา ไปจนถึงตอนใต้ของทะเลทรายซาฮาร่า กระดองจะมีสีน้ำตาลไปจนถึงสีเหลืองทอง มีขาที่แข็งแรง กินเก่ง เดินเก่ง เชื่อง แถมยังมีความกระตือรือร้นตลอดเวลาอีกต่างหาก เมื่อโตเต็มวัยจะมีขนาดใหญ่ได้ถึง 36 นิ้ว และหนักกว่า 100 กิโลกรัม แถมมันยังมีอายุที่ยืนยาวกว่า 70 ปี เพราะฉะนั้นก่อนที่เพื่อนๆ คิดที่จะเลี้ยงเจ้าเต่าซูคาต้า ควรสำรวจและถามตัวเองก่อนว่าเรานั้นพร้อมหรือไม่ และควรมีเวลาว่างเพื่อดูแลเขาอย่างเต็มที่ไม่ขาดตกบกพร่อง ถือเป็นการเตรียมความพร้อมต้อนรับสมาชิกใหม่ที่กำลังจะเข้ามาร่วมชายคาบ้านกับเรา
ในการเลี้ยงในบ้านเรานั้น ก็จะให้กินผักต่าง ๆ ทั่วไป ที่มีขายตามท้องตลาด เนื่องจากหาได้ง่าย และเต่าเองก็สามารถกินได้เกือบหมด แต่ควรจะหมุนเวียนสับเปลี่ยนกันไป เพื่อให้เต่าได้มีสารอาหารที่ครบถ้วน แต่ถ้าจะให้ดี ควรเน้นผักที่มีไฟเบอร์สูง ๆ หรืออาจจะให้พวกหญ้า หรือพวกผักใบเขียวต่าง ๆ ผักที่เน้นให้เต่ากินควรเป็นผักที่มีแคลเซี่ยมสูง เพื่อนำไปใช้ในการสร้างการเจริญเติบโตของกระดอง พยายามอย่าให้พวกผลไม้ที่มีรสหวานบ่อย ๆ เพราะในธรรมชาตินั้น เต่าซูลคาต้าจะกินหญ้าเป็นหลัก หากทานผลไม้ที่มีรสหวานมากจะทำให้เกิดโปรโตซัว และอาจจะทำให้เต่าไม่สบายได้
ปกติตามธรรมชาตินั้น เต่าซูคคาต้าจะถ่ายปัสสาวะประมาณ 0.64 ml ต่อวัน แต่ในที่เลี้ยงที่มีความชื้นหรือได้รับน้ำมากขึ้นจะกลายเป็น 1-2 ml ต่อวันซึ่งมีผลเสียต่อไตของสัตว์เลื้อยคลาน ที่ยังไม่เจริญดีเท่ากับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เมื่อมันขับถ่ายการสูญเสียน้ำที่มากเกินไป อาจจะก่อให้เกิดปัญหากับไต รวมทั้งการติดเชื้อที่ผิวหนังและกระดองได้ เพราะฉะนั้นการเลี้ยงเต่าซูลคาต้าในที่ที่มีความชื้นมาก หรือในสถานที่เปิดอย่างสนามหญ้าที่รดน้ำชุ่ม จึงไม่ใช่วิธีการเลี้ยงเต่าซูลคาต้าที่ดีอย่างแน่นอน
2
เชื่องมากๆ
สถานที่เลี้ยงที่เหมาะสม
การดูแลลูกเต่าบกซูลคาต้า เต่าชนิดนี้โดยธรรมชาติจะชอบอากาศร้อนและแห้ง ดังนั้นสถานที่จะให้เขาอยู่นั้น ควรเลือกบริเวณที่แห้งและอุ่นเข้าใว้ อุณหภูมิประมาณ 30-35 องศาเซลเซียส ไม่ควรย้ายไปย้ายมา ตั้งตรงไหนก็ตั้งตรงนั้น ถ้ามีแดดส่องถึงบางเวลาได้ยิ่งดี ในหน้าหนาว หรือวันที่มีอากาศเย็นเต่าจะเรียนรู้และออกมาตากแดดเอง แต่ควรมีที่หลบแดดให้ ตำแหน่งและวัสดุที่จะทำที่หลบควรพิจารณาอย่างดี เช่น ไม่ควรนำกระถางแตกแล้วนำมาวางกลางแจ้งเพื่อทำที่หลบ เพราะภายในจะร้อนเหมือนเตาอบในเวลาที่มีแสงแดดจัดและส่องเต็ม ๆ
สถานที่เลี้ยงเปียกน้ำได้ฝนตกสาดใส่ได้ แต่ต้องระบายน้ำได้เร็วไม่ควรชื้นแฉะอยู่แบบนั้นเป็นเวลาหลาย ๆ วัน ส่วนกลางคืนจะมีแสงหรือไม่มีก็ได้ แต่หากมืดสนิทก็จะใกล้เคียงธรรมชาติ ความกว้างยาวของคอกก็แล้วแต่สะดวก แต่สำหรับลูกเต่าที่ยังเล็กอยู่ไม่ควรกว้างจนเกินไปนัก ความสูงของคอกควรสูงอย่างน้อยเป็นสองเท่าของความยาวลำตัวเต่า เพื่อป้องกันเต่าปีนหนีออกจากที่เลี้ยง
หากไม่มีบริเวณ สามารถเลี้ยงในตะกร้าหรือกระบะในขณะที่เต่ายังเล็กได้ พยายามเลือกตำแหน่งวางตะกร้าหรือกะบะเลี้ยงในที่มีแสงสว่างส่องถึง อาจไม่ถึงกับต้องโดนแดดแบบเต็ม ๆ ก็ได้ แต่ขอให้ได้ไอแดดบ้าง จะทำให้เต่าแข็งแรงและอยากอาหารมากขึ้น เพราะเต่าต้องใช้รังสียูวีในการดึงแคลเซียมจากอาหารที่กินเข้าไปมาสร้างกระดอง หากเต่าได้ยูวีน้อยเกินไปจะทำให้กระดองบางและไม่เป็นผลดีกับตัวเต่าเอง
การเลี้ยงในตะกร้า ก็มีข้อควรระวังหลายอย่าง เพราะต้องนำลูกเต่าออกไปตากแดด บางทีเราลืมเก็บ ลูกเต่าโดนแดดแรงเกินหรือตากแดดนานเกินไป อาจสุกตายได้ภายในหนึ่งชั่วโมงก็มี ขอสังเกตคือ ถ้าลูกเต่าน้ำตาไหลหรือมีน้ำเปียกบริเวณหน้าตา ให้รีบเก็บเข้าที่ร่มทันที เพราะนั้นคือสัญญานว่าลูกเต่าร้อนเกินไปแล้ว
สำหรับการเลี้ยงเต่าซูลคาต้าแบบ indoor (ภายในที่ปิดไม่ได้ปล่อยกลางแจ้ง) ดูจะเหมาะสมกับเต่าซูคาต้าในขนาดเล็กมากกว่าการเลี้ยงกลางแจ้ง เพราะการเลี้ยงแบบ indoor เราสามารถควบคุมปัจจัยต่าง ๆทั้งอาหาร ความชื้นความร้อนได้ง่ายกว่า และในเต่าขนาดเล็กเมื่อเลี้ยงแบบ outdoor นั้นอาจจะทำให้เต่าสามารถติดเชื้อโรค ปรสิต โปรโตซัว ที่จะก่อให้เกิดโรคที่มีอยู่มากมายในดิน การเลี้ยงเต่าจนกว่าจะมีอายุ 1-2 ปี หรือมีขนาด 12 นิ้วขึ้นไป ในสถานที่เลี้ยง indoor จึงเป็นวิธีป้องกันและลดอัตราการตายในเต่าขนาดเล็กได้ดีที่สุด
ภาชนะที่ใช้เลี้ยงเต่าซูลคาต้าแบบ indoor นั้นควรเลือกชนิดที่เป็นพลาสติก ยาง ไม่ควรใช้ปูนซีเมนต์หรืออิฐก่อ เนื่องจากเต่าซูลคาต้าเป็นเต่าที่ชอบเดินไปมา และเอากระดองดันขูดตามขอบผนังที่เลี้ยง อาจจะทำให้กระดองเกิดรอยหรือบาดแผลถลอกได้ ทำให้เกิดการติดเชื้อที่ผิวหนัง หมา แมวและสัตว์เลี้ยงชนิดอื่นก็เป็นสิ่งพึงระวัง มันจะเข้ามาทำอันตรายกับลูกเต่าซูลคาต้าที่มีขนาดเล็ก และยังป้องกันตัวเองได้ไม่มากนัก หนูก็เป็นสัตว์อันตรายที่เราต้องระวังมาก ๆในเวลากลางคืน
การเลี้ยงเต่าซูลคาต้าแบบ outdoor นั้น ต้องคำนึงถึงสภาพปกติตามธรรมชาติของเขา เนื่องจากเขาเป็นสัตว์ที่มาจากเขตร้อนแห้งแล้ง เพราะฉะนั้น เราจึงควรจัดที่เลี้ยงให้แห้งอยู่เสมอ จัดคอกให้มีทั้งส่วนที่โดนแดด และส่วนที่เป็นที่ร่ม เพื่อให้เขาได้หลบแดดในยามที่แสงแดดร้อนมากเกินไปความกว้างใหญ่ของคอกที่เลี้ยง ก็เป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบถึงสุขภาพการเจริญเติบโตของเต่าซูลคาต้าได้ เนื่องจากขนาดความใหญ่โต และการที่เขาเป็นเต่าที่ active มาก ๆ ในแต่ละวัน มักจะเดินสำรวจสิ่งต่าง ๆรอบตัวอยู่เสมอ เพราะฉะนั้นการเลือกขนาดของคอก จึงควรจะจัดให้ใหญ่มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และไม่ควรจะเล็กเกินกว่า 5 เท่าของขนาดเต่า ความแข็งแรงของรั้วก็เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องพึงระวัง เพราะขนาดและน้ำหนักของเขาสามารถชนพังรั้วที่ไม่แข็งแรงมากได้อย่างง่ายดาย พื้นที่ที่ลาดเอียงหรือวัสดุตกแต่งที่เลี้ยงที่มีความลาดเอียงมาก ๆ ก็เป็นสิ่งที่เราต้องหลีกเลี่ยง เพราะอาจจะทำให้เต่าปีนขึ้นไปแล้วพลิกหงายท้องได้ และถ้าเขาไม่สามารถพลิกตัวกลับมาปกติแล้วล่ะก้อ อาจจะทำให้มันถูกแดดเผาตายได้ หรืออาจจะหายใจไม่ออกเนื่องจากปอดเต่าอยู่ด้านบนของกระดอง เมื่อมันหงายท้องและถูกน้ำหนักของอวัยวะภายในกดทับปอด ก็จะทำให้ปอดไม่สามารถพองตัวและหายใจได้ จนทำให้เขาขาดอากาศหายใจและตายในที่สุด
2
เปิดหลอด UV เพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้น้องๆ
การดูแลให้อาหาร
ในธรรมชาติของเขาที่กล่าวไว้ในตอนต้นว่า 80% ของอาหารพวกเขาคือหญ้า แต่เนื่องจากบ้านเรามีผักต่าง ๆ มากมายอุดมสมบูรณ์ เราจึงสามารถให้อาหารแบบอื่นแก่เขาเสริมเพิ่มเข้าไปได้ เช่น กระเจี๊ยบเขียว ผักบุ้ง กวางตุ้ง ใบยอ ใบหม่อน กระบองเพชรเสมา ใบบัวบก หญ้ามาเลเซีย ถั่วฝักยาว ผักหวาน แครอท ฟักทอง และผักพื้นบ้านทั่ว ๆ ไปเต่าซูลคาต้านั้น ตอบสนองต่อกลิ่นและสีสันของดอกไม้และผลไม้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งสีสันที่ฉูดฉาดสดใส เพราะฉะนั้นการปลูกต้นชบา ต้นพู่ระหงไว้ที่บ้าน แล้วเด็ดดอก และใบมันให้เขากิน ก็เป็นการกระตุ้นอาหารชั้นดี แต่ควรเสริมด้วยหญ้าป่นสำเร็จรูปที่มีขายอยู่ทั่วไป นำมาผสมคลุกเคล้าเข้าไปก็จะเป็นการดีมาก
เรื่องอาหารเต่า แนะนำว่าเก็บผักหรือหญ้าจากธรรมชาติให้เต่ากินจะดีกว่า ทั้งประหยัดและได้สารอาหารที่หลากหลายมากกว่า และที่สำคัญปลอดภัยจากยาฆ่าแมลงอีกด้วย ผักหรือหญ้าอะไรก็ได้
ผักที่เน้นให้เต่ากินควรเป็นผักที่มีแคลเซี่ยมสูง แต่แคลเซี่ยมควรจะถูกใช้หมดไปด้วยโดยไม่สะสมเป็นก้อนนิ้วอุดตันลำไส้ หลักง่าย ๆ คือเต่าต้องได้รังสียูวีจากแสงแดด ในการดึงแคลเซี่ยมไปใช้ หรือการให้ผักที่มีโปรตีนบ้าง เพราะโปรตีนจะเข้าละลายแคลเซี่ยมส่วนที่เหลือ เต่าจะขับออกมาทางปัสสาวะเป็นสีขาวขุ่น หรือมีตะกอนสีขาวปนออกมาพร้อมกัน
เต่าก็เหมือนกับเด็ก ๆ ถ้าชอบผักอะไรแล้วจะไม่ค่อยยอมกินผักแปลก ๆใหม่ ๆ จะรอกินแต่ผักที่ตัวเองชอบ ทีนี้ผู้เลี้ยงก็เกรงว่าเขาจะอดตาย ผู้เลี้ยงส่วนใหญ่จะใจอ่อนเอาผักของโปรดมาให้กิน จนทำให้เต่าเสียนิสัย พยายามอย่าตามใจในเรื่องการกิน เอาแบบที่เราสะดวกจะดีที่สุด เต่าไม่กินอาหารวันสองวันหรือเป็นอาทิตย์เต่าไม่ตายครับ แต่เมื่อเขาหิวเขาจะเปิดใจลองชิมดู ยังงัยก็กินได้ เพราะผักที่เราให้กินมันไม่เป็นอันตราย เพียงแค่ให้เขาได้รับสารอาหารที่หลากหลายขึ้นเท่านั้นเอง จะได้ไม่ต้องไปเสริมวิตามินและแคลเซียมที่สังเคราะห์ขึ้นมา
ใบกระถิน เต่าจะชอบมาก แต่อย่าให้กินแบบสด ๆ เป็นอาหารหลัก ควรตากแห้งหรือผสมกับผักชนิดอื่นอย่าให้เกิน 50% ของผักอื่นในมื้อนั้น ๆ เพราะในกระถินมีสารที่เป็นพิษต่อตับ หากให้กินเดี่ยว ๆ กลัวว่านานไปเต่าจะมีปัญหาได้ ส่วนน้ำดื่มจะมีหรือไม่มีก็ได้ ถ้าเรามีผักใบเขียวหรือผักสดให้เขากิน น้ำก็แทบไม่มีความจำเป็นเลย เพราะเต่าจะได้น้ำจากผักที่กินเข้าไป รับรองว่าเพียงพอต่อการดำรงชีวิตยังคงปัสสาวะตามปกติ แต่ถ้าเลี้ยงแบบให้อาหารแห้ง เช่น หญ้าแห้งในหน้าแล้ง อาหารเม็ด เช่น อาหารกระต่าย เต่าก็ชอบกิน ก็ควรเตรียมน้ำดื่มเอาใว้ให้ด้วย หรือถ้าไม่สบายใจ จะเตรียมจัดหาใว้ให้ก็ไม่เสียหายแต่อย่างไร
อาหารเม็ดสำหรับเต่า แนะนำเป็นยี่ห้อ Rep-Cal ที่มีวิตามินและแคลเซี่ยมครบสมบูรณ์ มีกลิ่นและสีที่เต่าชอบมาก แต่ก็ไม่ควรจะให้กินมากจนเกินไป เพราะเขาจะติดอาหารเม็ด และยังทำให้เกิดอาการกระดองปูดอันเนื่องมาจากการเจริญเติบโตที่เร็วจนเกินไป การให้อาหารเม็ดจึงควรให้สองสัปดาห์ต่อมื้อก็เพียงพอแล้ว
ผักจำพวกกะหล่ำปลีเขียวและบร๊อคเคอรี่นั้น ก็ไม่ควรให้เต่ากินเป็นประจำ เพราะมันทำให้เต่าขาดฮอร์โมน Thyroid ซึ่งทำให้เต่าเกิดอาการของโรคคอหอยพอกได้ ผลไม้ชนิดต่าง ๆ ที่มีรสหวาน เช่น มะละกอ แตงโม มะม่วงสุก สับปะรด สตรอเบอรี่ กล้วย ฯลฯ นี่ก็เป็นอาหารที่ไม่สมควรจะให้พวกเขากินบ่อย ๆ หลีกเลี่ยงได้ ก็ให้หลีกเลี่ยงไปเลยเป็นการดีที่สุด เนื่องจากมีน้ำตาลมากและการกำจัดน้ำตาลออกจากร่างของพวกเขาก็เป็นเรื่องยาก
กระบองเพชรเสมา อาหารอีกชนิดที่มีทั้งแคลเซียมและน้ำ ช่วยให้เต่าที่ป่วยขาดน้ำ และเต่าที่มีปัญหาเรื่องการขับถ่ายกินดีมาก ๆ
จากการที่เต่าซูลคาต้ากินพืชและผักในแต่ละวันเป็นปริมาณที่มาก ดังนั้นในแต่ละวัน ของเสียที่เกิดขึ้น ก็จะมีปริมาณที่มากตามไปด้วย การจะเลี้ยงพวกเขาก็ควรที่จะทำใจยอมรับในเรื่องนี้ให้ได้เช่นกัน เราต้องกำจัดสิ่งปฏิกูลที่เต่าขับถ่ายออกมาให้หมดสิ้นจากสถานที่เลี้ยง เพราะอาจจะทำให้ที่เลี้ยงเกิดการหมักหมมของเชื้อโรค กลิ่น และยังมีโอกาศทำให้เต่าตัวอื่นมากินอุจจาระของเต่าตัวอื่น ซึ่งอาจจะนำมาซึ่งการติดเชื้อโรค แบคทีเรีย โปรโตซัวได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเรามีการวางถาดน้ำไว้ในที่เลี้ยง เต่ามักจะคลานและถ่ายอุจจาระในน้ำเป็นประจำ ถ้าเราไม่รีบเปลี่ยนน้ำก็จะทำให้เต่าตัวอื่นที่มากินน้ำ มีโอกาศติดเชื้อโรคของเต่าตัวที่เป็นโรคได้ เพื่อตัดวงจรของเชื้อโรคพวกนี้ การทำความสะอาดที่เลี้ยงทุก ๆ วันจึงเป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่คนรักเต่าต้องกระทำให้เป็นนิสัย
3
เป็นอย่างไรกันบ้างครับ ได้อ่านแล้วมีใครอยากเลี้ยงน้องเต่าซูคาต้าบ้างมั้ยครับ
เดี๋ยววันนี้เลิกงานกลับบ้านจะถ่ายรูปน้องเต่าที่เลี้ยงไว้ที่บ้านให้ชมกันน่ะครับ
ฝากกดติดตามเพจเล็กๆของผมเพื่อเป็นกำลังใจกันด้วยน่ะครับ
โฆษณา