21 ก.ย. 2020 เวลา 11:08 • การเมือง
2 จิตวิทยา+1ปรากฎการณ์ ที่อาจทำให้วัยรุ่นกำลังตกอยู่ในอันตรายทางการเมือง
"สิทธิเสรีภาพย่อมตามมาด้วยความรับผิดชอบต่อสิทธิที่ได้ใช้" นี่คือกติกาพื้นฐานที่เหล่านักประชาธิปไตยทุกคนล้วนแต่ต้องรู้จักกันดี เพราะสิทธิเสรีภาพที่ไร้ซึ่งความรับผิดชอบ นั่นไม่ได้หมายถึงสิทธิเสรีภาพ แต่หมายถึง"ความเห็นแก่ตัว"
แต่จากประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่ผ่านมา เราก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า สิทธิเสรีภาพส่วนใหญ่นั้นล้วนแล้วแต่ต้องจบด้วยปลายกระบอกปืน เพราะ ความเห็นแก่ตัว เป็นสิ่งที่มนุษย์เราไม่สามารถแก้ได้เลย ตั้งแต่เกิดจนตาย....
และสิ่งที่เราต้องคำนึงต่อมาก็คือ หากสุดท้ายแล้วสิทธิเสรีภาพที่เหล่าผู้ชุมนุนเยาวชนปลดแอกได้ใช้สิทธินั้นต้องจบด้วยประวัติที่เสื่อมเสียต่อชีวิตของตัวเอง เช่น การติดคุก การติดคดี การถูกทำร้ายร่างกาย ๆลๆ จะเกิดอะไรขึ้น?
และยิ่งถ้าเป็นวัยรุ่นที่ไปชุนนุมด้วยแล้ว ประโยคข้างต้นจะเป็นสิ่งที่พวกเขาแทบจะไม่ได้เห็นเลยด้วยซ้ำ เพราะมันมีสิ่งที่เรียกว่า "ภาพลวงตา" ที่คอยปิดบังพวกเขาจนทำให้พวกเขาอาจต้องประสบกับอันตรายที่ไม่คาดคิด
แล้วภาพลวงตาที่ว่านั้นคืออะไร Near us จะอธิบายให้ฟังครับ
Rolf Dobelli อดีต CEO บริษัทสวิสแอร์และนักเขียนหนังสือจิตวิทยาที่ขายดีในเยอรมันได้อธิบายถึงจิตวิทยาและภาพลวงตาที่เราได้สร้างขึ้นมาเพื่อบดบังไม่ให้เราได้มองเห็นความจริงอย่างที่ควรจะเป็น ซึ่งท้ายที่สุดจะทำให้เราเกิดการตัดสินใจที่ผิดพลาดโดยกว่าที่เราจะรู้ตัว เราก็ต้องพบกับความสูญเสียที่ไม่อาจหวนกลับคืนมาได้อีก
Rolf Dobelli
และจิตวิทยา+ปรากฎการณ์ที่อาจทำให้เด็กวัยรุ่นกำลังตกอยู่ในอันตรายทางการเมืองมีอยู่ด้วยกัน 3 อย่าง ได้แก่
1.จิตวิทยา "ภาพลวงตาที่ว่าด้วยการควบคุม"
Rolf Dobelli ได้อธิบายว่า "ภาพลวงตาที่ว่าด้วยการควบคุมคือการที่คนเรามีแนวโน้มเชื่อว่าตัวเองสามารถควบคุมหรือมีอิทธิพลต่อสิ่งต่างๆ ทั้งที่ความจริงเราไม่มีทางควบคุมมันได้เลย"
จากเหตุการณ์ในการชุมนุมเมื่อวันที่ 19-20 กันยายน 63 กลุ่มวันรุ่นทุกคนล้วนแล้วแต่มาชุมนุนเพื่อเรียกร้อง 10 ข้อในการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์เพื่อให้พระมหากษัตริย์ทรงอยู่ภายใต้กฎหมายบ้างเมืองที่เหมาะสมและเท่าเทียมกับประชาชน ซึ่งก็นับว่าเป็นสิ่งที่วันรุ่นทุกคนเชื่อว่าเป็นสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ส่วนตัว Near us เองก็เห็นด้วยครับ(บางข้อ)
แต่สิ่งที่กลุ่มเยาวชนปลดแอกอาจจะลืมคิดไปแล้วคิดไปเองว่าตัวเองกำลังจะอยู่ตรงปากเหวแล้วมีอยู่ 3 อย่าง ได้แก่
1.ฝ่ายผู้ชุมนุมขาดเอกภาพไม่มียุทธศาสตร์ที่ชัดเจน และมีแนวร่วมไม่มากหลังจากมีข้อเสนอเกี่ยวกับสถาบัน 10 ข้อ เพราะถูกชี้นำโดน “สมศักดิ์-ปวิน” ขณะที่ “ติ่งลุงตู่”ยังมีอีกมาก
2.แกนนำทุกคนจะถูกดำเนินคดีด้วยมาตรา 112 และท้ายที่สุดแล้วนักการเมืองก็อาจจะปล่อยลอยแพในที่สุด(เหมือนในกรณีของ จตุ... พรหม... ที่ต้องติดคุกในที่สุด)
3.ข้อเรียกร้องแก้ไขรัฐธรรมนูญก็สำเร็จยาก เพราะ รธน.2560 เขียนล็อกไว้แล้วโดยมี ส.ว.250 คนและองค์กรอิสระคอยค้ำบัลลังก์ เพราะในรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ชัดเจนว่า การแก้รัฐธรรมนูญแบบยกร่างใหม่ทั้งฉบับ ติดที่การตั้ง ส.ส.ร. ลงประชามติต้องการเสียง ส.ว.และต้องอาศัยอำนาจ ส.ว. อย่างน้อย 84 เสียง ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
4.ม็อบในไทยมีสหรัฐฯ หนุนหลัง ผ่าน NED ที่เป็นเหมือนซีไอเอภาคพลเมืองโดยใช้กลุ่มคน หรือกลุ่ม NGO ที่ตัวเองสนับสนุนอยู่ หรือตัวเอง โดยเอาพวกนี้ฝังตัวเองเอาไว้ในเครือข่ายของคนที่เป็นแกนนำและเครือข่ายในการชุมนุนต่างๆทั่วประเทศ
https://mgronline.com/onlinesection/detail/9630000093027
คำถามก็คือ
1. ส.ว.มาจากไหน
2. รัฐธรรมนูญปี 60 ใครได้ประโยชน์บ้าง
3. พระมหากษัตริย์จะเห็นด้วยหรือไม่ถ้าต้องสูญเสียผลประโยชน์ตรงนี้ไปจาก 10 ข้อเรียกร้อง และ พวก"โหนเจ้า"ที่ชอบเอาคำว่า"เจ้า"มาทำมาหากิน จะเห็นด้วยหรือไม่ที่จะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้
ซึ่งแน่นอนว่า 3 คำถามนี้ ใครๆก็รู้ดีว่าคำตอบอยู่ที่ไหน และรู้ด้วยว่ามันจะจบอย่างไร
และที่น่าเสียดายก็คือ จริงแล้วยังมีจุดอ่อนอีกมากที่กลุ่มเยาวชนปลดแอกยังสามารถโจมตีรัฐบาลได้อีกมาก ไม่ว่าจะเป็น
1.องค์กรอิสระที่ไม่อิสระของ ป.ป.ช.ที่อยู่ภายใต้การครอบงำของ พล.ต.อ. พัชร...ท วงษ์...วรรณ ผู้เป็นน้องชายของ พล.ต.อ. ประ... วงษ์...วรรณ(กรณีของแหวนแม่นาฬิกาเพื่อนก็เป็นหนึ่งในนั้น)
2.ความล้มเหลวในกระบวนการยุติธรรมในกรณีของนาย บ...ส อยู่....ยา ที่ตามประติจะต้องไปจบที่ศาลฎีกา แต่มาจบที่อัยการแทน
3.การทุจริต คอรัปชั่นงบประมาณแผ่นดินของรัฐบาล ทั้งการทุจริตนโยบายและการเปิดทางให้ประเทศจีนเข้ามาแย่งพื้นที่ทำมาหากินในไทย เช่น Platform La...da
4.การเอื้อประโยชน์มากมายให้กับเจ้าสัวมากกว่าการช่วยสนับสนุน SME (ถึงแม้ว่ารัฐบาลจะสนับสนุน SME ผ่านธนาคารภารัฐต่างๆ แต่ด้วยผลประโยชน์มากมายที่อื้อแก่เจ้าสัว มันก็ทำให้เจ้าสัวมีปีกกล้าขาแข็งมา Disrupt SME ได้เหมือนกันครับ)
Rolf Dobelli ยังได้อธิบายต่ออีกว่า "จงจดจ่ออยู่กับสิ่งสำคัญเพียงหยิบมือที่คุณสามารถควบคุมได้จริงๆ แล้วปล่อยให้สิ่งที่อยู่เหนือนอกการควบคุมเป็นไปตามทางของมันดีกว่า"
2.จิตวิทยา "การคิดแบบพวกมากลากไป"
https://hilight.kapook.com/view/187459
Rolf Dobelli ได้อธิบายว่า "คุณเคยปิดปากเงียบไม่พูดอะไรเลยตลอดการประชุมบ้างหรือป่าว คุณจะนั่งเฉยๆและพยักหน้าเออออตามที่คนอื่นพูด อาจเป็นเพราะคุณไม่แน่ใจ 100% ว่าทำไมคุณถึงไม่เห็นด้วยและไม่อยากทำตัวเป็นพวกหัวแข็งเจ้าปัญหา แถมคนที่ฉลาดกว่าก็ดูเออออไปหมด ก็เป็นไปได้ว่าจะเกิดการคิดแบบพวกมากลากไปแล้วล่ะ"
หากว่าใครที่เคยติดตามเพจ Royal.... คุณก็จะรู้ได้ทันทีว่า เพจนี้ได้โจมตีสถาบันกษัตริย์แบบหนักหน่วงและรุนแรงพอสมควร ทำให้หลายๆครั้งอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิด เช่น สถาบันกษัตริย์เป็นสถาบันที่.....(เป็นคำพูดด้านลบที่รุนแรง)
ซึ่งสิ่งที่เพจ Royal....ได้สร้าง Content ขึ้นมานั้นก็ได้มีการแชร์ต่อใน Twitter Facebook และ Social อื่นๆ ซึ่งทำให้จิตวิทยาการคิดแบบพวกมากลากไปแพร่สะพัดไปได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะ Twitter เพราะเป็น Platform ที่สามารถแสดงรูปภาพที่ฉาวโฉ่พร้อมกับประโยคเพียง 280 ตัวอักษรที่ทำให้ดูเตะตาได้ภายในระยะสั้น ทำให้สามารถสร้าง Fake news และ Half truth news(ข่าวความจริงครึ่งเดียว) ได้เป็นวงกว้าง ผลก็คือทำให้คนรุ่นใหม่สามารถมีความเกียจชังสถาบันกษัตริย์ได้อย่างรวดเร็ว
แต่ถ้ามองในอีกมุมมองหนึ่ง เราก็จะรู้ได้ว่า สถาบันกษัตริย์ก็สร้างคุณงามความดีไว้ให้กับแผ่นดินมากเหมือนกัน ได้แก่
1.โครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา
2.โครงการฝนหลวง
3.เกษตรทฤษฎีใหม่
4.มูลินิธิโครงการหลวง
5.โครงการฝายแม้ว
6.โครงการแกล้งดิน
7.โครงการไบโอดีเซลและแก๊สโซฮอล์
8.โครงการแก้มลิง
9.โครงการหญ้าแฝก
10.โครงการเศรษฐกิจพอเพียง
11.และอีกกว่า 1400 โครงการ
และในหลวงรัชกาลที่ 10 ก็นำเอาโครงการพระราชบิดามาสานต่อเพื่อให้งานเกิดความคืบหน้าขึ้น(ไม่รวมเรื่องที่ท่านเสด็จไปเยอรมันพร้อมกับ....นะครับ)
แต่ถามว่าคนที่ไม่เห็นกับสถาบันกษัตริย์รู้เรื่องนี้ไหม คำตอบก็คงมี 2 อย่าง นั่นก็คือ 1.ไม่รู้ และ 2.แสร้งไม่รู้
เออร์วิง แจนิส ศาสตราจารย์สาขาจิตวิทยาสรุปว่า ความล้มเหลวทั้งหลายล้วนมีรูปแบบที่เหมือนกันก็คือ กลุ่มที่ผูกพันธ์อย่างเหนียวแน่นจะสร้างภาพลวงตาบางอย่างออกมาโดยไม่รู้ตัว หนึ่งในนั้นก็คือความเชื่อมั่นว่าตัวเองจะไม่เพลี่ยงพล้ำ ยิ่งไปกว่านั้น มนุษย์เรายังอยากเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม เราจึงหลีกเลี่ยงการทักท้วงเพราะมันอาจทำให้เราถูกขับออกจากกลุ่มได้
และนี่จึงเป็นอีก 1 เหตุผลครับว่า ทำไมคนที่ไม่เห็นด้วยกับสถาบันกษัตริย์จึงมีมากขึ้น
ปิดท้ายด้วยจิตวิทยาเสริมที่น่าในใจ จิตวิทยา"อคติจากข้อมูลที่หาได้ง่าย"
Rolf Dobelli ได้อธิบายเอาไว้ว่า "คนเราให้ความสำคัญกับสิ่งที่ดูหวืหวา น่าตื่นเต้น แต่กลับละเลยสิ่งที่ดูธรรมดาหรือมองเห็นได้ยาก สรุปง่ายๆก็คือ คนเราชอบนึกถึงผลลัพธ์ที่สุดโต่ง ไม่ใช่ผลลัพธ์ตามความจริง"
และนี่จึงเป็นอีก 1 เหตุผลที่คุณไม่ควรอ่านข่าวใน Twitter หรือบทความที่สั้นๆและฉาวโฉ่เตะตาตาม Social Media มากเกินไป เพราะมันจะทำให้การคิดแบบพวกมากลากได้เร็วแบบสายฟ้าแล็บเลยล่ะครับ
3.ปรากฎการณ์"คิดไปเองว่าคนส่วนใหญ่เห็นพ้อง"
https://pantip.com/topic/30960740
Rolf Dobelli ได้อธิบายว่า "เราสามารถพบเห็ยปรากฎการณ์นี้ได้ในแวดวงการเมืองและกลุ่มคนที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยประเมิณจำนวนคนที่สนใจเรื่องเดียวกับตัวเองไว้สูงเกินไปเสมอ ไม่ว่าคุณจะคิดว่าปัญหานั้นรุนแรงมากแค่ไหน คุณก็จะเชื่อว่าคนส่วนใหญ่คิดเหมือนคุณ"
หลายๆคนอาจจะยังสงสัยว่า ปรากฎการณ์นี้มันเกี่ยวข้องอะไรกับการชุมนุมด้วย ก่อนอื่นเราลองมาทำความเข้าใจกับ Generation ME กันก่อนครับ
Generation ME หมายถึง คนที่เกิดในช่วงปี ค.ศ.1980-2000 โดยจะมีนิสัย
1.หลงตัวเองเป็นสามเท่าของคนรุ่นพ่อแม่ เพราะพ่อแม่ไม่อยากให้ลูกต้องรู้สึกเสียใจไปกับความพ่ายแพ้ แต่เมื่อลูกต้องพบความพ่ายในชีวิตจริงขึ้นมานอกจากจะรู้สึกรับไม่ได้แล้ว ยังมีอาการต่อต้านอย่างรุนแรงด้วย
2.ทนไม่ได้กับการถูกวิพากษ์วิจารณ์ จะมีปฏิกิริยาต่อต้าน โกรธแค้น สร้างความน่าละอายขายหน้า ความอัปยศน่าอดสู
3.เอาเปรียบผู้อื่นและตอบสนองความต้องการชนะ หรือวัตถุประสงค์ของตัวเอง
4.มีใจหมกมุ่นกับจินตนาการ แฟนตาซี ในเรื่องความสำเร็จ พลัง อำนาจ ความงาม สติปัญญา หรือความรักในอุดมคติที่ไม่อาจจะมาโครจรกันได้ในโลกแห่งความเป็นจริง
5.คิดหมกมุ่นอยู่กับผลประโยชน์และความต้องการของตนเอง ไล่ตามเป้าหมายผลประโยชน์แก่ตนเอง
ผลก็คือ เมื่อ Generation ME มารวมตัวกันชุมนุมกันเป็นกลุ่มเยาวชนปลดแอก โดยมีพื้นฐานในความหลงตัวเองมารวมตัวกัน ปรากฎการณ์"คิดไปเองว่าคนส่วนใหญ่เห็นพ้อง" ก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปอีก นั่นก็เพราะว่า เขาได้เข้าไปอยู่ในกลุ่มคนที่อยู่ด้วยกันทั้งใน offline ในงานชุมนุม และใน online ใน Social Media ต่างๆ แล้วแบบนี้เขาจะเห็นมุมมองอีกด้านหนึ่งของคนที่ไม่เห็นด้วยกับเขาได้อย่างไรกันครับ?
https://www.matichon.co.th/politics/news_2005103
และที่น่าคิดเข้าไปอีกก็คือ พวกผู้หลักผู้ใหญ่ส่วนใหญ่มักจะรักและฟังเด็กที่ตัวเองรู้สึกว่ามีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีมารยาทที่ดีและรู้จักให้เกียรติผู้อื่น แต่หากเด็กวัยรุ่นยิ่งทำแบบนี้ ผู้ใหญ่หลายๆคนก็ยิ่งปิดกั้นความคิดของเด็ก ผลก็คือ มันก็จะกลายเป็นโลกคนละโลกที่ไม่สามารถมาโครจรกันได้เลย
คำถามก็คือ แล้วเด็กวัยรุ่นแล้วผู้ใหญ่จะเดินมาพบกันครึ่งทางแล้วจับมือกันเดินหน้าประเทศไทยต่อไปได้อย่างไร ถ้ายังต่างคนต่างอยู่กันคนละโลกแบบนี้?
และอีกคำถามก็คือ หากความเป็น Generation ME ของกลุ่มวัยรุ่นทำให้เขาเกิดหัวร้อนขึ้นมาจนรู้เท่าไม่ถึงการณ์ทำผิดกฎหมายจนต้องทยอยขึ้นศาลเป็นเป็นขบวน ใครต้องรับผิดชอบเรื่องนี้?
Rolf Dobelli ยังได้อธิบายต่ออีกว่า "คุณต้องระลึกไว้เสมอว่าความคิดเห็นของคุณกับคนอื่นไม่ได้เหมือนกันเสมอไป และที่สำคัญก็คืออย่าทึกทักเอาเองว่าคนที่คิดต่างจากคุณเป็ยพวกไร้สมอง สิ่งที่คุณควรทำก็คือการตั้งคำถามกับความคิดของตัวเองแทนที่จะไปตั้งแง่กับพวกเขา"
บทความนี้ไม่ได้มีเจตนาที่จะเข้าข้างฝ่าย"โหนเจ้า" หรือฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลแต่อย่างใด เพียงแต่อยากให้วัยรุ่นนิศิตนักศึกษา"ร่วมรุ่นด้วยกัน"มีความปลอดภัยในการชุมนุมและไม่ตกเป็นเครื่องมือของใครให้มาหาผลประโยชน์จากเรา
ในตอนหน้า Near us จะมีบทความทางจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับจุดอ่อนของ ประ... โดยเฉพาะ รับรองว่าสนุนแน่นอน อย่าลืมติดตามนะครับ
โฆษณา