22 ก.ย. 2020 เวลา 02:57 • ความคิดเห็น
ใช้ กฎ แรงดึงดูด ให้เป็น
กฏแห่งแรงดึงดูด คือสิ่งที่เรามุ่งความคิดไปยังสิ่งๆหนึ่ง สมองจะดึงดูดสิ่งที่เราคิดเข้ามาสู่ชีวิตเรา เช่น เราเป็นเหมือนแม่เหล็ก ที่คอยดึงดูดความสำเร็จ โดยมีความพยายามเป็นตัวขับเคลื่อน หรือเราคิดถึงสิ่งต่างๆว่าเราจะทำได้ จะมี จะรวย จะมีความสุข พลังอำนาจของความคิดเหล่านี้ก็จะบงการให้เกิดการกระทำ (เหมือนกับการบอกตัวเอง) สิ่งใดที่คุณคิดถึงอยู่เสมอและมีความเชื่อมั่น จะถูกดึงดูดเข้าหาคุณเสมอ ควรนึกถึงและเชื่อมั่นในเรื่องบวก เรื่องที่ดี ผลักความคิดที่เลวร้ายให้ถอยห่างออกไป อย่าเป็นคนวิตกจริต หรือนึกถึงแต่สิ่งเลวร้าย หรือความล้มเหลว หรือเป็นคนย้ำคิดย้ำทำแต่เรื่องที่ชวนหดหู่ ท้อแท้ สิ่งเหล่านี้จะอยู่ในจิตใต้สำนึกของคุณอยู่ตลอดเวลา ถ้ากำลังนึกถึงเรื่องไม่ดีให้ตั้งสติ กำหนดจิตเราให้ได้ รู้ทันจิตของตัวเอง หัดรู้จักปล่อยวาง ไม่วิตกกังวล เพราะคนที่วิตกกังวลจะตัดสินใจอะไรไม่ถูก สมองจะคอยนึกถึงแต่สิ่งไม่ดี และมันจะเคว้งคว้างหลงทางไปหมด หากมีใครมาพูดแล้วไม่พอใจ รู้สึกขวาง เราจะรีบโต้ตอบ สวนออกไปทันที่ แบบคนบ้า ไร้สติ พูดไปโดยไม่คิด เราจะเอาความไม่ดีของคนที่ทำให้เราโกรธ เราจะขุดเอาความไม่ดีในอดีตที่เคยทำกับเราออกมา แล้วถ้าอีกฝ่ายเป็นคนอารมณ์ร้อน คราวนี้ความบรรลัย จะเข้ามาในชีวิต บางทีอาจจะถึงขั้นลงมือใช้กำลังกับอีกฝ่าย
มีเพื่อนสนิทคนหนึ่งปกติจะเป็นคนที่ไม่เคยพูดคำหยาบกับครอบครัว แต่ช่วงนี้แฟนเขาสังเกตความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ว่าเขาชอบหลุดคำว่า แม่งเอ้ย บ่อยๆ เมื่อแฟนเขาถามว่าทำไม เขาก็แปลกใจเพราะไม่รู้สึกว่าตัวเองสบถคำนั้นออกมาได้ไง แต่พอมานึกว่า ช่วงนี้ที่ทำงานเขาจะไปคุยกับเพื่อนร่วมงาน ที่จำเป็นต้องไปคุยด้วยบ่อยๆ เพื่อนจะพูดคำว่า แม้งเอ้ย ออกมาบ่อยมากแทบจะนับไม่ถ้วน ผ่านมาร่วม2 เดือน เขาเลยติดคำสบถมาโดยไม่ได้ตั้งใจ นี่คือแรงดึงดูดของคนใกล้ชิด เคยสังเกตุว่า หากช่วงไหนละครดังๆ จะมีเพลงในละครออกกอากาศมาให้ได้ยินแทบจะทุกช่องทาง จนบางครั้งเราว่างๆ เราจะฮัมเพลงนั้นออกมาแบบไม่รู้ตัว สามีภรรยายบางคู่ เหมือนเป็นคู่สร้างคู่สม ที่เหมาะกันเหลือเกิน สามีเป็นคนพูดเพราะ ภรรยาเป็นคนใจเย็น ยิ้มง่าย น่าคบหา ความจริงต่อให้คู่ครองเคยมีนิสัย ใจคอที่ต่างกันบ้างมากมาย เมื่อมาอยู่ร่วมกัน มักจะปรับตัวเข้าหากัน จากผู้ชายที่เคยเที่ยวกลางคืน พอมีครอบครัว เขาจะเปลี่ยนไป ยิ่งมีลูกที่น่ารัก ต่อให้เพื่อนชวน จากเมื่อก่อนไม่เคยปฎิเสธ ก็พยายามหาเหตุผล บ่ายเบี่ยงไม่เข้าร่วมสังสรรค์ หากคน2 คนมีพื้นฐานใจคอที่เป็นคนดี จะมีแรงดึงดูดที่ดีเข้าหากัน หรือหากต่างคนต่างใจร้อนไม่ยอมลดลา วา ศอก ยอมหักไม่มีวันยอมงอ ต้องแตกยับกันไปข้าง จะติดนิสัยพฤติกรรมไม่ดีออกมา เริ่มจากจิตใต้สำนึก แล้วค่อยๆแพร่ไปยังจิตสำนึก ปล่อยไปนานๆเข้า ก็จะเป็นตัวตน ที่ก้าวร้าว ชอบใช้ความรุนแรงในการตัดสินปัญหา
"จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ (Imagination is more important than knowledge) ว่ากันว่าประโยคสุดคมจนบาดลึกเข้าไปในใจใครต่อใครประโยคนี้ หลุดออกมาจากปากของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) ซึ่งเป็นประโยคหนึ่งที่อยู่ในบทสัมภาษณ์ของไอน์สไตน์ ที่ชื่อ What Life Means to Einstein : An Interview by George Sylvester Viereck
(อาจแปลไทยง่ายๆ ว่า ชีวิตคืออะไร? สำหรับไอน์สไตน์ บทสัมภาษณ์โดยจอร์จ ซิลเวสเตอร์ วีเร็ค)
“I believe in intuitions and inspirations. I sometimes feel that I am right. I do not know that I am. When two expeditions of scientists, financed by the Royal Academy, went forth to test my theory of relativity, I was convinced that their conclusions would tally with my hypothesis. I was not surprised when the eclipse of May 29, 1919, confirmed my intuitions. I would have been surprised if I had been wrong. Then you trust more to your imagination than to your knowledge? I am enough of the artist to draw freely upon my imagination. Imagination is more important than knowledge. Knowledge is limited. Imagination encircles the world.”
แปลเป็นไทยได้ว่า
“ผมเชื่อในสหัชญาณ (คือการหยั่งรู้ที่เกิดขึ้นในใจ) และแรงบันดาลใจทั้งหลาย บางครั้งผมรู้สึกว่ามันใช่ ผมไม่รู้หรอกว่ามันใช่อย่างไร เมื่อคราวที่ กลุ่มนักวิทยาศาสตร์เดินทางไปทดสอบทฤษฎีสัมพันธภาพทั่วไปของผม ด้วยทุนสนับสนุนจากรอแยล อคาเดมี ผมมั่นใจว่าข้อสรุปของพวกเขาจะช่วยยืนยันสมมติฐานของผม ผมไม่ได้ประหลาดใจอะไรเลยเมื่อ (สุริย) คราส ในวันที่ 29 พฤษภาคม ค.ศ.1919 จะยืนยันถึงสหัชญาณของผมเอง ผมจะแปลกใจก็ต่อเมื่อผมเป็นฝ่ายผิดต่างหาก แล้วตอนนี้คุณเชื่อใจในจินตนาการของตัวเองมากกว่าความรู้ที่คุณมีบ้างหรือยัง? ผมมีความเป็นศิลปินจงเชื่อมั่นว่าความฝัน ที่เราตั้งใจจะลงมือทำมากพอที่จะแต่งแต้มอะไรลงไปในจินตนาการของผมอย่างอิสระ จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ ความรู้มีข้อจำกัด จินตนาการเป็นสิ่งที่หมุนโลก”
ลองเปลี่ยนทัศนคติ จินตนาการหรือความคิดใดๆ ที่จะทำให้เรามีความสุข แบบสุดๆไปเลย ให้คิดว่าเราปรารถนามันมาก เราคาดหวัง และมองเห็นภาพตัวเองไขว่คว้าความสำเร็จ ให้ลองนึกภาพว่า เราได้สิ่งของนั้นมาแล้วและเรากำลังมีความสุขกับมันอยู่ เรากำหนดจิต กำหนดความคิดตัวเองได้ และหากวันหนึ่งเกิด สำเร็จขึ้นมา ให้คิดแบบนี้ทุกๆวัน มองความสำเร็จอยู่ข้างหน้าและเริ่มลงมือทำไปเรื่อยๆ อย่าท้อ อย่ากลัวความลำบาก พยายามให้กำลังใจตัวเอง เราทำได้ เราทำได้ ย้ำกับตัวเองบ่อยๆ ให้คิดแบบนี้ทุกวันเป็นการกระตุ้นจิตใต้สำนึก หรือสะกดจิตตัวเองให้เรามีแรงบันดาลใจที่จะทำในสิ่งที่เราฝันและให้ได้มาซึ่งความสุข อย่าคิดในเชิงลบที่ตรงกันข้ามจะทำให้เราท้อ เราทำไม่ได้
หลายครั้งที่เราให้ความสำคัญกับคนอื่นมาก จนลืมโฟกัสที่ตัวเอง อย่างที่เห็นกันทุกวันนี้ว่า Social media เข้ามามีบทบาทกับการใช้ชีวิตอย่างมากมาย ไม่ว่าจะ Facebook Line Instagram หันไปทางไหน ดูเหมือนผู้คนจะก้มหน้าก้มหน้าดูแต่มือถือ คอยติดตามการใช้ชีวิตที่ดีของผู้อื่น แทบทั้งนั้น อย่างการไปนั่งคาเฟ่ ร้านอาหาร ถ่ายรูปสวยๆ หรือการใช้ชีวิตแบบสถานที่เที่ยวที่มีคน Check in เยอะๆ จนทำให้เรากลับมารู้สึกเฟลกับตัวเอง คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องเหล่านั้น วันหยุดเราน่าจะไปที่นั่น ไปที่นี้ตามรีวิว อยากให้เข้าใจก่อนว่า ในโลกโซเชียลมีเดียคง ไม่มีใครอยากโพสต์อะไรที่ดูไม่ดี ออกไปใช่ไหม ตอนเรานั่งกินมาม่าอยู่ในบ้าน หรือแต่งตัว แบบบ้านๆ ไม่แต่งหน้าไม่ทำผม หรือในวันที่เครียดๆ คงมีหลายๆใครโพสต์ด้านลบหรือสิ่งที่แย่ออกไป แบบอยากระบายให้คนอื่นฟัง แต่ไม่แคร์คนที่อยู่ด้วยกันว่าเขาจะรู้สึกอย่างไร แบบสะใจที่ได้ระบาย ยิ่งรูปหรือข้อความที่เราแชร์ไปให้ ถ้าใครไม่มากดไลค์จะเป็นเรื่องใหญ่แบบโวยวายไป 3-4 วัน ว่าไม่สนใจ ที่กับคนอื่นยังไปกดไลท์เขา อยากให้ เลิกโฟกัส เลิกสนใจในสิ่งต่างๆ เหล่านั้น และกลับมาดูในโลกของความเป็นจริง ว่า ชีวิตทุกวันนี้ เราจะมีการจัดการกับรายจ่ายที่ต้องใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ทำอย่างไร ให้พอกับรายรับที่ได้มา ไหนจะค่าอาหาร ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าน้ำมันรถ จะไปไหนที่ก็มีแต่รายจ่าย ทางที่ดีควรลดการใช้โซเชียลมีเดียให้น้อยลง เลิกก้มหน้า ไล่ดูข่าวที่ไม่สร้างสรรค์ ไม่ FC ของที่ไม่จำเป็น อาจจะคุยกับเพื่อน ทำกิจกรรมกับเพื่อนให้มากขึ้น ทำงานบ้าน ไปออกกำลังกาย หรือลองอ่านหนังสือ เพื่อดึงตัวเองกลับมา สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ มีความสุขเพิ่มขึ้นได้ หัดหาความสุขจากสิ่งใกล้ๆตัว มองฟ้าเห็นก้อนเมฆ ลองจินตนาการเป็นรูปต่างๆ มองธรรมชาติข้างทางที่ผ่านไปมาทุกวัน ยิ้มให้กับเรื่องเล็กๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิต หาความสุขง่ายๆโดยที่เราไม่ต้องลงทุนไปไหนไกลๆ อยู่กับครอบครัว มีความสุขตามอัตภาพ ไม่ใช้จ่ายเกินตัว รู้จักค่าของเงิน ใช้ชีวิตอย่างพอเพียง ไม่ติดหรู อยู่ง่าย กินง่าย พอใจในสิ่งที่มี ภูมิใจในสิ่งที่เราเป็น แค่นี้ ชีวิตเราก็ไม่เดือดร้อน อยู่ได้อย่างสบายๆ
โฆษณา