23 ก.ย. 2020 เวลา 14:29 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
Good Bye Lenin!
การปฏิวัติ การเปลี่ยนผ่าน การจมอยู่ในห้วงอดีต - Part 4 of 4 (ภาคจบ)
เนื่องจากขณะนี้ประเทศเราได้เปลี่ยนเป็นประเทศทุนนิยมไปเรียบร้อยแล้ว ระบอบการปกครอง พรรคสังคมนิยมแห่งชาติ หรือแนวคิดตามลัทธิเลนินก็สลายไปเรียบร้อยแล้ว
Alex จึงเริ่มดำเนินการเขียนบทหนังลวงแม่ครั้งสุดท้ายเพื่อสื่อสารให้แม่ได้รู้ความจริงว่าประเทศเยอรมันตะวันออกหรือ DDR ของแม่นั้นได้ล่มสลายไปแล้ว แต่จะเมคเรื่องอย่างไรให้บทสรุปนี้เป็น Happy Ending แบบไม่ทำร้ายจิตใจ Christiane แม่ของเขา
วีรบุรุษนักบินอวกาศหรือไอดอลในวัยเด็กของเขาอาจช่วยได้ Alex ไปตามหาพี่แท็กซี่ที่หน้าตาคล้าย Sigmund Jähn เอามาเป็นนักแสดงนำในภาพยนตร์เรื่องนี้ซะเลย
โดยมี Denis เพื่อนร่วมงานตัวแสบของ Alex ที่มีความฝันอยากเป็นผู้กำกับหนังอยู่แล้วก็เต็มใจช่วยเต็มที่ ถือว่าได้โอกาสโชว์ฝีมือที่เขาอยากจะทำมานานนั่นคือการถ่ายทำและตัดต่อภาพยนตร์ โดยการเอาแฟ้มภาพเหตุการณ์เก่ามาตัดต่อกับที่ถ่ายทำใหม่โดยให้พี่โชเฟอร์แท็กซี่ได้รับบทเป็นถึงผู้นำคนใหม่ของประเทศ DDR
พี่แท็กซี่งงกับคำขอของ Alex ที่ให้เค้าเล่นบทผู้นำคนใหม่ของประเทศ DDR
Alex ไปหาชุดทหารจากตลาดมือสองมาให้พี่แท็กซี่ใส่ และใช้ห้องสมุดจัดฉากให้ดูเหมือนห้องทำงานของท่านผู้นำประเทศคนใหม่นี้เพื่อกล่าวปราศรัยกับประชาชนชาวสาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนี DDR เนื่องในโอกาสที่เข้ารับตำแหน่งใหม่ในวันชาติ 7 ตุลาคม
ระหว่างถ่ายทำในห้องสมุด ทุกคนรอบๆที่อ่านหนังสือกันอยู่ล้วนหันมามองการปราศรัยของท่านผู้นำปลอมๆนี้แบบงงๆ นี่ใครทำไมยังมากล่าวอะไรเกี่ยวกับประเทศ DDR อีก ประเทศมันไม่มีอีกแล้วนี่เจ้าพวกนี้เพี้ยนหรือไง?
ใช้ห้องสมุดจัดฉากเป็นห้องทำงานของท่านผู้นำ
Denis ทำหน้าที่ผู้อ่านข่าวปลอมๆเหมือนทุกทีและก็รับหน้าที่ตัดต่อหนังเรื่องสุดท้ายอย่างสุดฝีมือ จนเขาเองก็รู้สึกเสียดายว่ามีแต่ Christiane แม่ของเพื่อนรักคนเดียวเท่านั้นที่มีโอกาสได้ดูหนัง Masterpiece ของเขา
แผนการของ Alex นั้นต้องมีการตระเตรียมเป็นอย่างดีและด้วยความเป็นห่วงแม่ที่อาการไม่สู้ดีนักจะเหลือเวลาอีกไม่นาน จึงต้องรีบรวบรัดฉลองวันชาติก่อนกำหนดโดยโกหกว่าวันนี้ (2 ตุลาคม 1990) เป็นวันที่ 7 ตุลาคม
ภารกิจลวงแม่ครั้งสุดท้ายก็เริ่มต้นด้วยการเปิดข่าวเก๊จากวีดีโอเทปเหมือนเดิม แต่ข่าวการเฉลิมฉลองวันชาติ DDR (ล่วงหน้า) คราวนี้มันจะสำคัญกว่าทุกๆปี
Alex บอกบทสุนทรพจน์ให้ผู้นำ (เก๊) กล่าวแก่ประชาชน
เริ่มต้นข่าวเก๊ด้วยภาพข่าวของ Erich Honecker เลขาธิการพรรคสังคมนิยมแห่งชาติกล่าวเนื่องในวันสถาปนาชาติ DDR ว่าข้าพเจ้าขอยุติบทบาททางการเมืองทั้งหมด เหตุการณ์ 2-3 เดือนที่ผ่านมา (การต้อนรับผู้อพยพชาวทุนนิยมเข้ามาประเทศเรา) ถือเป็นการปิดฉากหน้าที่ของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าขอตัดสินใจสละทุกตำแหน่งและยกตำแหน่งให้ Sigmund Jähn สืบทอดตำแหน่งต่อจากข้าพเจ้าเนื่องจาก Jähn นั้นเป็นวีรบุรุษของประเทศ DDR ของเราที่ทุกคนนับถือเพราะเป็นชาวเยอรมันคนแรกที่ได้เดินทางท่องอวกาศ
Denis รายงานข่าวการสละตำแหน่งของท่านเลขาธิการพรรค
โดยการเอาแฟ้มภาพเหตุการณ์ตอนที่ Erich Honecker ประกาศลาออกเนื่องจากประเทศ DDR ล่มสลายมาตัดต่อภาพกับช่วงที่ Sigmund Jähn (ตัวจริง) เข้าพบท่านเลขาธิการในฐานะที่เป็นบุคคลสำคัญของประเทศ
แต่เมคข่าวไปว่าท่านเลขาฯ Honecker สละตำแหน่งให้วีรบุรุษนักบินอวกาศคนนี้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่ง Christiane นั้นดูไปตกใจไปว่านักบินอวกาศ Jähn คือเลขาธิการพรรคคนใหม่หรือนี่?
ภาพข่าวจริง ตอนที่ Sigmund Jähn เข้าพบท่านเลขาธิการพรรค
และแล้วก็ถึงเวลาที่ท่านผู้นำคนใหม่จะกล่าวสุนทรพจน์แก่ประชาชน ความว่า “ประชาชนแห่งประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนีที่รักทุกท่าน สำหรับคนที่มีโอกาสได้มองดูความมหัศจรรย์ของโลกนี้มาจากอวกาศ อาจจะมีมุมมองที่ต่างออกไป"
"บนนั้นมันช่างกว้างใหญ่นักจนมองเห็นชีวิตบนโลกนั้นเล็กมาก เราควรจะทำชีวิตเล็กๆของเรานั้นให้มีคุณค่า เช่นทำอะไรให้กับมนุษยชาติได้บ้าง มีเป้าหมายอะไรและสามารถทำสำเร็จตามเป้าหมายได้บ้างหรือไม่”
ท่านผู้นำ (ปลอม) คนใหม่กล่าวสุนทรพจน์ในห้องทำงานปลอมๆ
“วันนี้เป็นวันสถาปนาประเทศเล็กๆประเทศหนึ่งที่มองมาจากนอกโลก เนื่องจากปีที่แล้วมีประชากรหลายพันคนอพยพเข้ามาอยู่ คนที่เราเคยมองพวกเขาว่าเป็นศัตรูแต่ตอนนี้พวกเขากลับอยากมาอยู่ประเทศเรา"
"เรารู้ว่าเราเป็นประเทศที่ไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่อุดมการณ์ของเราจะยังคงอยู่เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้คนทั้งโลกต่อไป บางครั้งเราอาจจะต้องมองข้ามเป้าหมายไปบ้างแต่เราก็จะเรียกสติกลับมาได้เสมอ"
ภาพตอนกำแพงแตก
"สังคมนิยมไม่ใช่การสร้างกำแพงปิดตัวเอง หากแต่เป็นการเข้าไปหาคนอื่นและเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกัน นี่ไม่ใช่การฝันถึงโลกที่ดีขึ้นแต่เป็นการทำความฝันให้เป็นจริงขึ้นมา ดังนั้นข้าพเจ้าจึงตัดสินใจเปิดพรมแดนประเทศของเรา”
ข่าวเก๊ดำเนินต่อไปว่า ทันทีที่กำแพงถูกเปิดออก ชาวเยอรมันตะวันตกหลายคนก็เดินทางมาเยือนฝั่งตะวันออก โดยวิดีโอภาพข่าวตอนกำแพงเปิดออกก็ถูกนำมาตัดต่อให้ Christiane ดู
เนื้อข่าวก็โม้ต่อไปว่าชาวตะวันตกหลายคนเดินทางมาฝั่งตะวันออกและตั้งใจจะมาตั้งรกรากที่นี่เลย เพราะหลายคนหนีชีวิตที่ดิ้นรนแข่งขันกันและเร่งรีบของระบบทุนนิยม
ซึ่งเป็นเรื่องที่ Alex และ Denis กุขึ้นมา หากแต่ว่าในความเป็นจริงก็มีประชากรบางคนที่ไม่ชอบในระบบทุนนิยมและยินดีเลือกที่จะอยู่ในประเทศตะวันออกตั้งแต่ตอนที่เริ่มแบ่งประเทศใหม่ๆ
ตลอดเวลาที่ดูข่าวนี้ Christiane แอบมอง Alex อยู่ตลอดเวลาและยิ้มอย่างซาบซึ้งเพราะเธอรู้ความจริงหมดแล้วจากที่ Lara ได้เคยแอบเฉลยความจริงทั้งหมดให้เธอฟังแบบงงๆ
ฉะนั้นตอนนี้เธอนั่นแหล่ะคือคนที่เล่นละครตบตาลูกชายจอมโกหกว่าเชื่อในเรื่องราวที่เขาสร้าง เธอแอบมองดู Alex ด้วยความซาบซึ้งใจที่ลูกชายคนนี้รักและเป็นห่วงเธอ ทุ่มเทจัดฉากสร้างเรื่องราวสร้างละครใหญ่โตเพียงเพราะจะให้เธอสบายใจ
และแล้ว ก็ถึงเวลาเฉลิมฉลองในวันที่ 3 ตุลาคม 1990 ซึ่งเป็นวันรวมชาติอย่างเป็นทางการของประเทศเยอรมันตะวันตกและตะวันออก (Tag der Deutschen Einheit) ผู้คนออกมาเฉลิมฉลองโห่ร้องกันตามถนนและทั่วทุกหัวระแหงของกรุงเบอร์ลิน หลายคนนั่งดื่มฉลองกันเต็มคราบบนสันกำแพงเบอร์ลิน
Christiane นอนดูพลุดอกไม้ไฟอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล และนี่ก็เป็นการชมดอกไม้ไฟครั้งสุดท้าย เธอจากไปโดยมีอายุยืนกว่าประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนีที่เธอเชื่อมั่น 3 วัน
โดยที่ Alex ยังไม่รู้ว่าแม่นั้นรู้ความจริงหมดแล้ว เขาจึงรู้สึกดีใจที่อย่างน้อยแม่ก็ตายอย่างมีความสุขโดยไม่ได้รู้ว่าประเทศของแม่ล่มสลายไป เธอได้สั่งเสียก่อนตายไว้ว่าให้เอาเถ้าอัฐิของเธอโปรยไปตามสายลมบนประเทศที่เธอรักและเชื่อมั่นมาตลอด
หลังจาก Christiane จากโลกนี้ไป ทุกๆคนที่รักเธอขึ้นมาบนดาดฟ้าตึกเพื่อร่วมทำพิธีไว้อาลัย ทั้งครอบครัว เพื่อนๆสหายอดีตสมาชิกพรรคแม้กระทั่ง Robert สามีของเธอ
Alex เอาอัฐิแม่บรรจุลงในกระบอกรูปกระสวยอวกาศเหมือนที่เขาเคยทำการทดลองวิทยาศาสตร์ตอนเด็กเพราะ Alex เคยฝันอยากเป็นนักบินอวกาศเหมือน Sigmund Jähn ไอดอลของเขา
กระสวยอวกาศที่มีลายธงชาติประเทศ DDR แปะอยู่ ถูกจุดพุ่งขึ้นไปบนฟ้าและระเบิดออกเป็นดอกไม้ไฟสีสวยงาม ฝุ่นอัฐิของ Christiane ฟุ้งกระจายไปตามสายลมตามที่เธอปรารถนาและ Alex ก็รู้ว่าแม่ของเขาอยู่ข้างบนและเฝ้ามองพวกเราทุกคนอยู่
เรื่องราวก็จบลงด้วยการจากไปของ Christiane ในประเทศที่เธอรักและเชื่อมั่นถึงแม้ในที่สุดจะรู้ความจริงในเรื่องโกหกที่ลูกชายรังสรรค์ขึ้นมาแต่ละฉาก แต่ด้วยความรักที่มีต่อลูกชาย เธอจึงกลับเป็นคนที่เล่นละครหลอกลูกเสียเองว่าเชื่อไปตามนั้น
อาจจะเป็นบทสรุปจากภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ว่า ไม่ว่าเราจะมีอุดมการณ์หรือแนวคิดในการดำเนินชีวิตแบบไหน จะสังคมนิยมสุดโต่งหรือทุนนิยมแบบหัวสมัยใหม่ แต่การเรียนรู้ที่จะอยู่ด้วยกันด้วยความรักน่าจะเป็นคำตอบของมนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะอยู่ในระบบการปกครองแบบไหน
ส่วนตัวผมเองชอบประโยคที่ว่า “สังคมนิยมไม่ใช่การสร้างกำแพงปิดตัวเอง หากแต่เป็นการเข้าไปหาคนอื่นและเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกัน” หากเราลองดูคำว่า สังคม+นิยม ลองเล่นคำแบบซื่อๆผมอาจแปลแบบติดตลกได้ว่า “นิยมการมีสังคม ไม่นิยมการอยู่สันโดษ"
ฉะนั้นการที่จะอยู่ร่วมกันในสังคมให้เกิดประสิทธิผล นอกเหนือจากแนวทางการปฏิบัติโดยมุ่งให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดแก่ส่วนรวมแล้ว สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรจะลืมคือการให้ความรักแก่กันและแคร์ความรู้สึกของคนที่คุณจะอยู่ร่วมด้วย
หวังว่าทุกคนจะสนุกกับหนังตลกเยอรมันแนวเสียดสีสังคมที่ให้แนวคิดดีๆเรื่องนี้นะครับ หากใครได้มีโอกาสดูหนังเรื่องนี้แล้วมีแนวคิดอะไรก็มาแชร์กันได้นะครับ
หรือท่านใดที่มีประสบการณ์อยู่ในประเทศเยอรมนี (ตะวันตกหรือตะวันออก) ในช่วงก่อนกำแพงแตกก็อาจอธิบายเหตุการณ์ต่างๆได้ชัดเจนกว่าผมครับ
ขอบคุณที่ติดตาม ขอให้ทุกท่านมีความสุขและแบ่งปันความสุขให้คนรอบข้างด้วยนะครับ
โฆษณา