24 ก.ย. 2020 เวลา 03:38 • ปรัชญา
คนสนิทของพระพุทธเจ้า
นายฉันนะเป็นคนสนิทของพระพุทธเจ้าตั้งแต่ตอนยังเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เกิดก็พร้อมกัน โตมาด้วยกัน ไปด้วยกันทุกหนแห่ง แม้ตอนเจ้าชายตัดสินใจออกบวช ก็มีเพียงนายฉันนะคนเดียวที่พระองค์ทรงไว้ใจบอกกล่าว และพาเดินทางออกจากวังไปด้วยกัน
ครั้นหลังจากพระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ และประกาศศาสนา จนมีอัครสาวกเบื้องซ้ายเบื้องขวา และพุทธศาสนามั่นคงอยู่ระยะหนึ่งแล้ว
นายฉันนะเห็นใครๆก็พากันบวช ก็เลยออกบวชตามเค้า
แต่พอบวช ก็กลับถือตนว่าเป็นคนสนิทของพระพุทธเจ้า แม้แต่พระโมคคัลลา และพระสารีบุตร จะสอนวัตรปฏิบัติ หรือวินัย และภาวนา ก็ไม่ฟัง พระฉันนะกลับเถียงทอต่อว่า ว่าตอนพาเจ้าชายสิทธัตถะออกบวช ไม่เห็นหัวใครสักคนนอกจากตน ความถึงพระพุทธเจ้า พระองค์จึงทรงเรียกภิกษุฉันนะไปตักเตือน ภิกษุฉันนะก็นิ่งเฉย พอออกไป ก็ไปด่าว่า พระโมคคัลลา พระสารีบุตร และภิกษุรูปอื่นๆอีก ด้วยความถือตนว่าตัวเป็นคนสนิทของพระพุทธเจ้าอย่างเหนียวแน่น
พระพุทธเจ้าต้องเรียกมาตักเตือนอีกหลายครั้ง ก็ไม่ได้ผล จนพระองค์ตรัสว่า คงต้องรอเราตายก่อนกระมัง ฉันนะถึงจะรู้สึก
ครั้นกาลเวลาผ่านไปจนพระพุทธเจ้าใกล้จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระฉันนะก็ยังคงยึดถือความเป็นคนสนิทของพระพุทธเจ้ามาอย่างยาวนาน ใครก็ยังคงว่า ตักเตือนอะไรไม่ได้ จนกระทั่งพระอานนท์ได้ทูลถามพระพุทธเจ้าว่าจะปราบทิฎฐิของพระฉันนะยังไงดี พระพุทธองค์จึงทรงให้ลงโทษด้วยวิธีพรหมทัณฑ์ คือ ไม่ให้ภิกษุรูปใดพูดคุยกับพระฉันนะเลย ถ้าท่านคุยด้วย ก็ให้ทำไม่สนใจเหมือนดังเป็นอากาศ
พอเวลาผ่านไป 1 เดือน พระฉันนะทนไม่ได้อีกต่อไปกับความทรมานที่ไม่มีใครพูดคุยด้วย เลยไปกราบเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าด้วยน้ำตา จนพระพุทธองค์เห็นว่าจิตของพระฉันนะอ่อนโยนพร้อมควรแก่ธรรมแล้ว จึงทรงแสดงธรรม จนพระฉันนะเกิดดวงตาเห็นธรรมสำเร็จเป็นพระอรหันต์
ผมเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อสะท้อนให้เราเห็นสิ่งต่างๆเหล่านี้ในสังคมไทย
ไม่ว่าจะวงการไหนๆ
คนสนิท มักจะสำคัญตนว่ายิ่งใหญ่เทียบเท่า หรือมากกว่าเจ้านายเสมอ
ขนาดพระฉันนะเป็นคนสนิทของพระพุทธเจ้า ยังเกือบเอาตัวไม่รอดเลย ถ้าท่านไม่บรรลุธรรม ก็คงมีอบายเป็นที่ไป ด้วยจิตที่ไม่สำรวม กล้าด่าทอว่ากล่าวกระทั่งพระโมคคัลลา พระสารีบุตร พระอรหันตมหาสาวก
กว่าจะสำนึกและลดทิฎฐิได้ ก็ใช้เวลาหลายสิบปี จนอายุปาเข้าไปถึง 80 ปี
เราควรได้อะไรบ้างจากเรื่องนี้?
สิ่งที่ควรได้ที่สุดคือ
การเข้าใจว่าการยึดถือในฐานะ ในยศ ในตำแหน่ง สรรเสริญ ลาภ ชื่อเสียง นั้นเป็นของหนัก เป็นผ้าดำปิดตาให้ตนหลงคิดว่ายิ่งใหญ่ สูงส่งกว่าผู้อื่น
ทั้งที่จริงๆแล้ว
ลาภ ยศ สรรเสริญนั้น ถ้าเราอยู่บนโลกใบนี้เพียงลำพัง
สิ่งเหล่านี้จะไม่มีความหมายเลย
อยากฝากให้ใครก็ตามที่ผ่านมาอ่านได้พิจารณาว่า
สมมุติต่างที่เราแบกไว้ทุกวันนี้
มันเป็นสุข หรือว่าเป็นภาระ เป็นทุกข์
การแบ่งแยกชนขั้น วรรณะ มันทำให้เราดูสูงส่งขึ้นได้จริงหรือ
ไม่เลย
มันมีแต่ความหนัก จากการหลงเชื่อแบบผิดๆครับ
โฆษณา