จากบทความเรื่อง Remote Work Is Killing the Hidden Trillion-Dollar Office Economy ของ Steve LeVine ที่ลงใน Marker (บล็อคบทความทางธุรกิจของ Medium) เมื่อวันที่ 1 กันยายน ปีนี้ ได้บอกเล่าถึงผลกระทบของการล็อคดาวน์ ต่อ ภาคธุรกิจของอเมริกาได้อย่างน่าสนใจ ซึ่งผู้เขียนจะขอนำมาสรุปเล่าให้เพื่อนๆฟังกันดังต่อไปนี้
ในช่วง 5 เดือนแรกของการประกาศล็อคดาวน์ของอเมริกา นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับผลกระทบของโควิด-19 ต่อธุรกิจร้านค้าที่มีหน้าร้าน เช่น โชห่วย Retail Stores บาร์ ร้านอาหาร แต่ Steve ชี้ให้เห็นว่านักวิเคราะห์มองข้ามผลกระทบใหญ่ของการล็อคดาวน์ที่มีต่อภาคธุรกิจโดยรวม ซึ่งถือเป็น GDP ก้อนใหญ่ มูลค่าหลายล้านล้านดอลล่าร์ สิ่งนั้นก็คือธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับพนักงานออฟฟิศ
การที่บริษัทตามเมืองใหญ่ทั่วอเมริกาต้องเลื่อนการเปิดออฟฟิศออกไปเนื่องจากการขยายการล็อคดาวน์ ทำให้ย่านธุรกิจที่เคยคึกคัก มีสภาพเป็นเมืองร้าง ตึกระฟ้า ออฟฟิศคอมเพล็กซ์ว่างเปล่าเนื่องจากนโยบาย Work from Home ได้มีการประมาณกันว่าจำนวนพนักงานที่หายไปเพราะนโยบายนี้สูงถึง 100 ล้านคน
ยิ่งไปกว่านั้นการ Work from Home ก็เริ่มได้รับความสนใจจากบริษัทชั้นนำของอเมริกา สถาบันการเงินชั้นนำอย่าง JP Morgan Chase, Ford Motor, Twitter, และ REI (บริษัทผลิตอุปกรณ์ เดินป่า แคมส์ปิ้ง) ประกาศถึงแผนการ Work from Home อย่างถาวรในอนาคต โควิด-19 ทำให้ธุรกิจเหล่านี้ได้เห็นว่าการ Work from Home สามารถเป็นไปได้ และในบางกรณีอาจทำให้การทำงานได้ผลดีกว่าการให้พนักงานมาทำงานที่ออฟฟิศเสียอีก
Steve ยังได้อ้างถึง การวิเคราะห์ของ นักเศรษฐศาสตร์จาก MIT - David Autor ซึ่งเค้าได้กล่าวไว้ว่า การระบาดครั้งนี้ทำให้ธุรกิจส่วนใหญ่หันไปใช้การทำงานแบบทางไกล หรือ Work from Home ซึ่งสิ่งนี้จะส่งผลให้พนักงานในธุรกิจที่มีฐานลูกค้าเป็นกลุ่มพนักงานออฟฟิศ ต้องตกงาน! ธุรกิจนั้นได้แก่ ธุรกิจร้านอาหาร การขนส่ง เครื่องนุ่งห่ม และ ธุรกิจบันเทิง
เมื่อเดือนที่แล้ว American Hotel and Lodging Association ทำหนังสือถึงสภาคองเกรส ร้องขอการพักชำระหนี้ Marriott ยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมโรงแรม ประกาศยอดขาดทุนที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่เคยมีมาในไตรมาสที่ 2 และ บริษัท MGM รีสอร์ทได้ปลดคนงานออกถึง 18,000 คน ซึ่งเป็นตัวเลขถึง 1 ใน 4 ของจำนวนคนงานก่อนการระบาดของโควิด
โควิดยังส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในเมืองใหญ่ของสหรัฐ เมื่อพนักงานไม่จำเป็นต้องเข้าออฟฟิศ ความจำเป็นที่จะต้องพักอาศัยในเมืองใหญ่ที่มีค่าเช่าแพง เช่น New York หรือ San Francisco ก็หมดไป คนเหล่านี้อพยพออกไปอาศัยยังที่ ๆ มีค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่า เช่น Carolina, Georgia, Florida อพาร์ทเม้นท์ใน Manhattan ว่างเป็นสองเท่าเมื่อเทียบกับปีก่อน ยอดผู้เช่าลดลง 6.1 % ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่ำที่สุดใน 9 ปี ใน San Francisco ยอดผู้เช่าก็ตกลงถึง 11 % เทียบกับปีที่แล้ว
เมื่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจตามเมืองใหญ่ลดลงก็ส่งผลให้รายได้ซึ่งมาจากภาษีของเมืองเหล่านี้ลดลงด้วยตามลำดับ จากข้อมูลของ National League of Cities คาดว่ารายได้ของเมืองใหญ่จะลดลง 13 % ในปีหน้า ยกตัวอย่าง เช่น Houston ในรัฐ Texas รายได้จาก Sale Tax ลดลง 13 % ในเดือนพฤษภาคม, 17 % ในเดือนเมษายน, และ 10 % ในเดือนมีนาคม สิ่งนี้คือปัญหาใหญ่ที่รัฐทั้ง 50 รัฐ ของสหรัฐกำลังเผชิญอยู่
Steve ยังกล่าวไว้ในตอนท้ายว่าอย่างไรก็ตามสภาพเศรษฐกิจก็จะค่อยๆกลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้ง ซึ่งระยะเวลาก็ขึ้นอยู่กับตัวแปรต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม ธุรกิจสายการบินและโรงแรมน่าจะต้องหดตัวลง ปิดกิจการ หรือ มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการให้บริการแบบใหม่ และเนื่องจากคนหันไป Work from Home สิ่งนี้น่าจะทำให้ราคาค่าเช่าสำนักงาน และที่พักอาศัยตามเมืองธุรกิจที่สำคัญ เช่น New York หรือ San Francisco มีราคาที่ถูกลง เปิดโอกาสให้นักธุรกิจ และ พนักงานออฟฟิศที่มีรายได้ปานกลางสามารถเข้าไปอยู่อาศัยในเมืองเหล่านี้ได้ ส่วนธุรกิจที่อาศัยพนักงานออฟฟิศเป็นหลัก เช่น บาร์ ร้านอาหาร ร้านซักแห้ง อาจจะต้องปิดตัวลงไปถาวร แต่อย่างไรก็ตามก็จะมีธุรกิจที่มีฐานลูกค้าอื่นเข้ามาแทนที่ แม้โควิดจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ต่อธุรกิจโดยรวม อย่างไรก็ตามธุรกิจที่เหลืออยู่ก็ต้องมีการปรับตัวและดำเนินต่อไป