24 ก.ย. 2020 เวลา 16:08 • ประวัติศาสตร์
24 กันยายน ปี ค.ศ.1877 วันนี้ในอดีต : ศึกตัดสินในสมรภูมิชิโรยามะ สมรภูมิสุดท้ายของ “ไซโก ทากาโมริ” (The Last Samurai)
หากใครเคยดูภาพยนตร์เรื่อง The Last Samurai (ค.ศ.2003) ที่นำแสดงโดยทอม ครูซ และเคน วาตานาเบ้ ที่รับบทเป็น “ไซโก คัตสึโมโตะ” คงจะรู้สึกได้ถึงความยิ่งใหญ่ของฉากสมรภูมิท้ายเรื่อง เชื่อหรือไม่ว่าเหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นจริง โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากชีวิตของซามูไรคนสุดท้ายของญึ่ปุ่นอย่าง “ไซโก ทากาโมริ” ในช่วงสงครามปราบกบฏซัตสึมะ
The Last Samurai คือเรื่องราวที่ได้รับแรงบันดาลใจจากชีวิตจริงของ“ไซโก ทากาโมริ” ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นซามูไรคนสุดท้ายในหน้าประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น
กบฎซัตสึมะสงครามครั้งสุดท้ายของนักรบซามูไร!!!
ช่วงปลายของการกบฏซัตสึมะ (Satsuma Rebellion) ในปี ค.ศ.1877 ที่กินระยะเวลายาวนานหกเดือน กองกำลังซามูไรกลุ่มสุดท้ายในญี่ปุ่นที่นำโดย " ไซโก ทากาโมริ (Saigo Takamori)" ได้ลุกขึ้นมาต่อสู้กับทหารของรัฐบาลจักรพรรดิเมจิ ในสมรภูมิตัดสินที่ภูเขาชิโรยามะ (Shiroyama) ในจังหวัดคาโกชิมะ (Kagoshima) บนเกาะคิวชู (Kyushu)
ในช่วงเช้ามืดวันที่ 24 กันยายน ปี ค.ศ.1877 ศึกครั้งนี้นับเป็นจุดเปลี่ยนในประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญของญี่ปุ่น เพราะเป็นการกำจัดชนชั้นศักดินาจากยุคเก่าเข้าสู่สมัยปฏิรูปตามกระแสตะวันตกเพื่อเริ่มยุคสมัย "เมจิ" อย่างแท้จริง และปิดฉากตำนานซามูไรคนสุดท้ายอย่างไซโก ทากาโมริ ผู้นำซามูไรแห่งแคว้นซัตสึมะ
ด้วยกำลังของฝ่ายจักรพรรดิที่มากกว่า 400,000 คนพร้อมด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์สมัยใหม่ เข้าห้ำหั่นกับกองกำลังของกบฏซามูไรที่มีเพียง 40,000 คนพร้อมด้วยอาวุธแบบยุคเก่า จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ซามูไรจะชนะศึกนี้ แต่พวกเขามีเพียงทักษะการต่อสู้ประชิดตัวที่ยอดเยี่ยมพร้อมกับกำลังใจที่ล้นเปี่ยม
ในศึกช่วงแรกทหารฝ่ายจักรพรรดิระดมยิงปืนใหญ่แบบปูพรมเข้าใส่ที่มั่นกบฎ แต่ดูเหมือนว่าฝ่ายซามูไรจะไม่ยอมแพ้พวกเข้าวิ่งเข้าชาร์จใส่ทหารจักรพรรดิที่มีเพียงปืนและดาบสั้นแบบตะวันตก การต่อสู้ช่วงเเรกจึงดูเหมือนฝ่ายซามูไรจะเป็นฝ่ายได้เปรียบจากทักษะดาบอันเหลือล้นของพวกเข้าเมื่อต่อสู้แบบประชิดตัว
แต่ด้วยกำลังของทหารฝ่ายจักรพรรดิที่มากกว่าซามูไรถึง 60 ต่อ 1 พร้อมด้วยอาวุธพิฆาตอย่างปืนกลกัลลิ่ง พวกซามูไรจึงถูกยิงตายเป็นใบไม้ร่วง จนสุดท้ายหัวหน้าหน่วยที่เหลือรอดพร้อมกับผู้นำอย่าง ไซโก ทากาโมริ ก็ถูกยิงบาดเจ็บสาหัสก่อนจะลาถอยกลับไป เมื่อ ไซโก ทากาโมริ รู้ว่าตัวเองจะไม่รอดเขาจึงตัดสินใจปลิดชีพตัวเองด้วยการคว้านท้องหรือเซ็ปปุกุ (Seppuku) ปิดฉากตำนานซามูไรคนสุดท้ายในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นลง
สมรภูมิชิโรยามะ (Shiroyama) การประทะกันครั้งสุดท้ายของซามูไรและกองกำลังทหารแบบตะวันตกขององค์จักรพรรดิเมจิ ในช่วงเช้ามืดวันที่ 24 กันยายน ปี ค.ศ.1877
“ไซโก ทากาโมริ” (The Last Samurai) จากซามูไรนักปฏิรูปสู่ซามูไรคนสุดท้าย!!!
ไซโก ทากาโมริ เกิดในปี ค.ศ.1828 ที่แคว้นซัตสึม่า (จังหวัดคาโกชิม่าในปัจจุบัน) เดิมทีเขามีตำแหน่งเป็นซามูไรชั้นล่างที่รับใช้เจ้าแคว้นซัตสึม่า แต่ด้วยบุคลิกความเป็นผู้นำและนักกลยุทธเค้าจึงได้รับหน้าที่สำคัญเป็นตัวแทนแคว้นเพื่อติดต่อธุระต่างๆ
ในยุคนั้นเป็นช่วงที่ชาติตะวันตกเริ่มล่าอาณานิคมและคุมคามชาติอื่นเรื่อยๆ ตัวไซโก เองเขาก็รู้ดีถึงภัยคุกคามนี้ ทั้งจากบทเรียนจากชาติมหาอำนาจอย่างจีนในช่วงสงครามฝิ่นที่แทบสู้ชาติตะวันตกไม่ได้ แต่รัฐบาลบากุฟุของโซกุนตระกูลโตกุกาวะ ที่ดูเหมือนจะไม่แย่แสต่อกระแสโลกที่เปลี่ยนไปกำลังทำให้ญี่ปุ่นอ่อนแอลงอย่างช้าๆ
การเข้ามาของกองเรือกลไฟของพลเรือจัตวาแมทธิวซีเพอร์รี่ ในปี ค.ศ.1854 บีบบังคับให้เกิดสนธิสัญญาคานากาว่าเปิดประเทศญี่ปุ่นเพื่อการค้ากับชาวอเมริกัน
ด้วยเหตุนี้ในปี ค.ศ. 1854 เขาจึงรวบรวมเหล่าซามูไรและกองกำลังพิทักษ์องค์จักรพรรดิ เพื่อก่อกบฎต่อต้านรัฐบาลโตกุกาวะและคืนอำนาจให้แก่องค์จักรพรรดิ นักประวัติศาสตร์เรียกสงครามนี้ว่า "สงครามโบชิน" ที่รบพุ่งกันตั้งแต่ ค.ศ. 1868 ถึง 1869
ในท้ายที่สุดฝ่ายกองกำลังที่มุ่งถวายอำนาจการเมืองแก่ราชสำนักจักรพรรดิที่นำโดยขุนนางและไดเมียวจากแคว้นทางใต้อย่างซัตสึมะ โจซู และโทสะ ก็เอาชนะกองกำลังของโซกุนได้ในท้ายที่สุด โดยเฉพาะกองกำลังจากซัตสึมะที่นำโดยทากาโมริมีบทบาทสำคัญมากในทางการเมืองและการทหารในช่วงปฏิวัตินี้
สงครามโบซินที่กินระยะเวลาในช่วงปี ค.ศ. 1868 ถึง 1869 เพื่อล้มล้างอำนาจโซกุนโตกุกาวะที่ปกครองประเทศมากว่าสองร้อยปี นำไปสู่การคืนอำนาจให้จักรพรรดิและการปฏิรูปประเทศสมัยใหม่จากยุดเอโดะเข้าสู่ยุคเมจิ
แต่ทว่าหลังจบสงครามโบซินพร้อมกับการปิดฉากระบอบโชกุนและเริ่มเปิดการค้าเสรีให้ชาติตะวันตก นำไปสู่การปฏิรูปประเทศครั้งใหญ่ในยุคสมัยที่เรียกว่า "ยุคเมจิ"( ค.ศ. 1868 - ค.ศ. 1912) บทบาทของเหล่าชนชั้นซามูไรที่ร่วมต่อสู้ให้กับองค์จักรพรรดิกลับถูกลดบทบาททั้งทางการเมืองและสังคมอย่างมาก ทำให้พวกเขาปรับตัวไม่ทันและขาดรายได้เลี้ยงครอบครัวจากระบบศักดินาเดิม เรื่องนี้ทำให้ทากาโมริกังวลใจอย่างมาก ที่ตังเองช่วยเหลือเหล่าซามูไรชนชั้นล่างพวกนี้ไม่ได้
ด้วยเหตุนี้ในปีเดียวกันนี้ ไซโก ทากาโมริจึงประกาศลาออกจากตำแหน่งทางการเมืองทั้งหมดและกลับไปอยู่บ้านเกิด แต่รัฐบาลเมจิก็กังวลว่าเขาจะก่อกบฎล้มล้างการปกครองอีก จึงส่งคนมาลอบสังหารไซโกแต่ไม่สำเร็จ ด้วยความคับแค้นใจจากเหตุลอบสังหารนี้ ประกอบกับความเห็นใจเหล่าซามูไรชั้นล่าง ไซโกผู้ที่เคยได้ชื่อว่าผู้กอบกู้และปฏิรูปประเทศจึงตัดสินใจก่อกบฎขึ้นต่อต้านรัฐบาลเมจิ!!!
แม้จะได้ชื่อว่าเป็นหวหน้ากบฏแต่ด้วยคุณงามความดีที่ ไซโก ทากาโมริ ทำให้กับประเทศชาติชื่อของเค้าจึงถูกจดจำในฐานะวีรบุรุษผู้กอบกู้และปฏิรูปประเทศ
ท้ายที่สุดหลังจากต่อสู้อย่างยาวนานกับฝ่ายรัฐบาลเมจิถึงหกเดือน สมรภูมิตัดสินก็เกิดขึ้นที่ภูเขาชิโรยามะ พร้อมด้วยชีวิตของไซโก ทากาโมริ ปิดฉากตำนาน "ซามูไรคนสุดท้าย (The Last Samurai)" ของประเทศญี่ปุ่น แม้จะได้ชือว่าเป็นหัวหน้ากบฎแต่ด้วยคุณงามความดีในการช่วยกอบกู้และปฏิรูปประเทศให้เข้าสู่ยุคสมัยใหม่และเป็นซามูไรผู้เห็นประโยชน์ต่อส่วนรวมที่ยึดมั่นในอุดมการณ์อย่างเหนี่ยวแน่นเป็นที่น่าเคารพแก่คนรุ่นหลัง
ไซโก ทากาโมริ จึงได้รับพระราชทานอภัยโทษจากองค์จักรพรรดิในปี ค.ศ. 1889 เหลือไว้เพียงคุณงามความดีและเกียรติยศให้คนรุนหลังได้พูดถึง จึงได้มีการสร้างอนุเสาวรีย์ของเขาพร้อมทั้งปั้นสุนัขคู่ใจ ตั้งอยู่ที่สวนสาธารณะอุเอโนะ ณ กรุงโตเกียว เพื่อย้ำเตือนถึงคุณงามความดีและวีรกรรมอันน่าทึ่งของผู้ที่ได้ชื่อว่าซามูไรคนสุดท้ายของประเทศ
อ้างอิงข้อมูลจาก
โฆษณา