25 ก.ย. 2020 เวลา 07:35 • ความคิดเห็น
ค่าของเวลา
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาเรามีโอกาสไปร่วมทำบุญไหว้กระดูกตายายและญาติฝั่งแม่ หรือ ที่เรียกกันว่าทำบังสุกุลนั่นแหละ ไปกันที่วัดชื่อดังใจกลางกรุงเทพฯ ซึ่งพวกเราก็ถือเอาวันนี้เป็นวันรวมญาติประจำปีไปด้วยเลย
 
โกศบรรจุเถ้ากระดูกของบรรดาญาติเราถูกฝังไว้ในผนังด้านหนึ่งของห้องใต้ถุนพระอุโบสถ มาปีนี้เราลองคำนวณคราว ๆ ดู ปรากฎว่านับจำนวนรูปญาติที่อยู่บนผนังได้รวมกันกว่ายี่สิบรูป จำได้ว่าเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาตัวเลขยังอยู่ที่หลักสิบต้นๆเองนะ เฮ้อ! ของทุกอย่างมันก็ย่อมมีเวลาของตัวเอง ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาญาติผู้ใหญ่หลายคนก็ทยอยจากพวกเราไปติด ๆ กันอย่างน่าใจหาย
 
ใช่แต่จะมีเพียงญาติผู้ใหญ่ที่จากเราไปในวัยอันควร ยังมีรูปของกลุ่มญาติที่อายุยังน้อย ซึ่งเราก็คิดไม่ถึงว่าเค้าจะอยู่กับเราได้เพียงแค่นั้น
ใต้ถุนโบสถ์ที่บรรจุโกฐไม่ได้มีแต่ครอบครัวเราเท่านั้น ยังมีอีกหลายครอบครัวที่ใช้วันนี้มาทำการไหว้เคารพญาติผู้ล่วงลับ กลิ่นธูปพร้อมน้ำอบไทยอบอวนคละคลุ้งจนเราต้องรีบจูงมือแม่ที่วัย 80 กว่าขวบแล้วออกมาสูดอากาศข้างนอก
แม่ซึ่งวันนี้เดินเหินไม่ค่อยคล่องตัวเพราะปวดเมื่อยขาเข่า ปกติคอยแต่จะนั่งจับเจ่าอยู่กับบ้านวันนี้แต่ตัวสวยงามเพราะอยากมาพบปะญาติพี่น้อง ซึ่งรุ่นของแกก็เหลืออยู่เพียงแค่ 3 จาก 9 คนที่เคยมีอยู่
เมื่อพวกเราเดินกลับมาถึงศาลาที่จัดงาน ญาติพี่น้องเริ่มทยอยกันมา บางคนเห็นหน้าก็จำได้ทันที่แม้จะเปลี่ยนแปลงไปบ้างตามกาลเวลา หนุ่มขึ้น สาวขึ้น แก่ขึ้น แต่ก็มีอยู่หลายคนที่ถ้าออกไปเจอกันข้างนอกคงบอกไม่ได้ว่าเป็นญาติกัน
ญาติหลายคนที่เคยวิ่งเล่นด้วยกันเมื่อครั้งเป็นเด็ก ตอนนี้กลายเป็นพ่อเป็นแม่มีลูกวิ่งล้อมหน้าล้อมหลัง ส่วนพ่อแม่ของเด็กเมื่อวันวานมาถึงวันนี้หลายคนก็ยังคงแข็งแรง แต่ก็มีบางคนที่ร่างกายเปลี่ยนแปลงไปมากเพราะความเจ็บป่วยทางกาย
ไม่ต้องดูคนอื่นไกลดูแค่ตัวเราเอง ด้วยวัยที่เลยช่วงกลางคนมาไกล ร่างกายเริ่มถดถอย ผิวเริ่มแห้ง หน้าเริ่มหย่อนคล้อย ผมเริ่มเปลี่ยนสี... ทำให้เราได้คิดว่าเวลามันทำหน้าที่ของมันอย่างซื่อตรงเสมอ
เวลาเป็นสิ่งมหัศจรรย์ มันมีแต่เดินไปข้างหน้าไม่หวนย้อนกลับ ในทุกวินาทีที่เข็มนาฬิกาเคลื่อนผ่านไป มันทิ้งไว้เพียงอดีต จนทำให้เราอดคิดไม่ได้ว่า ช่วงเวลาปัจจุบันที่เรากำลังหายใจอยู่นั้นมันช่างสั้นเสียจริง ๆ
คนเรามักให้ความสำคัญกับอนาคต นัยว่าเพื่อทำให้เรามีความหวัง หวังถึงสิ่งที่จะดีกว่าอดีต ดีกว่าปัจจุบัน นั่นจึงทำให้เราสนใจกับอนาคต
เพราะความมุ่งหวังในอนาคตที่ดีกว่า เราจึงมักวาดฝันและสร้างแผนการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนเพื่อทำให้ฝันมันเป็นจริง โดยหลงลืมองค์ประกอบที่สำคัญที่สุด คือ การลงมือทำ...
เราลองตอบคำถามตัวเองอย่างซื่อสัตย์กันดีไหมว่า กี่ครั้งแล้วในชีวิตนี้ที่เราตั้งใจจะทำอะไรให้สำเร็จซักอย่างหนึ่ง แต่มันก็ไปไม่ถึงฝั่ง เพราะเราเลิกล้มมันระหว่างทาง
โดยส่วนตัวยังจำได้ว่าเมื่อต้นปีที่ผ่านมาเคยตั้งเป้าอย่างแน่วแน่ว่าภายในปีนี้จะทำ 3 ข้อให้สำเร็จ 3 ข้อนั้น คือ
1. จะลดน้ำหนักให้ได้อย่างถาวร 10 กิโล
2. จะฝึกทักษะการเขียนบทความภาษาอังกฤษให้มันถูกหลักไวยกรณ์
3. จะออกกำลังกายตอนเช้าให้ได้ 5 วันต่อสัปดาห์
 
ผ่านมาจนถึงเดือนที่ 9 แล้วความพยายามในสามข้อยังห่างไกลจากเป้าหมายอยู่มาก เรียกได้ว่าบางข้อยังไม่ได้เริ่มต้นด้วยซ้ำ
เชื่อว่าก็ไม่ได้มีแต่เราหรอกนะที่เป็นแบบนี้ คนเรามักตั้งเป้าหมายไว้สวยหรู แต่คงมีแต่คนที่มีความอดทนและมีวินัยจริง ๆเท่านั้นถึงจะทำมันได้สำเร็จ หลายคนเมื่อเริ่มต้นมีวินัยและความอดทนที่เต็มเปี่ยม แต่พอผ่านไปไม่เท่าไหร่ก็พ่ายแพ้แก่กิเลสของความเกียจคร้าน
คำพูดที่ว่า “เอาไว้ก่อนแล้วกัน”, “เดี๋ยวก่อนแล้วกัน”, “พรุ่งนี้ค่อยทำก็ได้” เป็นศัตรูตัวฉกาจที่บั่นทอนความมุ่งมั่นไปสู่ความสำเร็จ ย้อนกลับมาดูตัวเองก็พบว่า เราทิ้งเวลาปล่อยผ่านกิจที่ควรทำตามเป้าหมายที่เคยตั้งไว้ ทิ้งเวลาผ่านไปจากวันเป็นเดือน กลายเป็นปี และหลาย ๆ ปีในที่สุด เมื่อรู้สึกตัวอีกที่ อ้าว! ฉันยังย่ำอยู่กับที่เองหรอกเหรอ...
เคยฟังดีเจชื่อดังท่านหนึ่งเล่าเรื่องเกี่ยวกับการทำตามเป้าหมายให้สำเร็จ ซึ่งเราจำรายละเอียดชัดเจนไม่ได้ แต่เพราะมันน่าสนใจเราเลยเอาที่จำได้คร่าว ๆ มาเล่าให้ฟัง เรื่องมันมีอยู่ว่า
ในการสำรวจขั้วโลกในอดีตครั้งหนึ่งมีทีมนักสำรวจสองทีมแข่งกันว่าใครจะไปถึงขั้วโลกได้ก่อนกัน ทั้งคู่เริ่มที่จุดสตาร์ทพร้อมกัน เดินทางไปในเส้นทางเดียวกัน แต่เมื่อเวลาหลายเดือนผ่านไป มีเพียงทีมเดียวที่ประสบความสำเร็จมาถึงเส้นชัย แต่อีกทีมปรากฏว่าสมาชิกล้วนเจ็บป่วยอ่อนล้า บ้างล้มตายระหว่างการเดินทางจนไม่สามารถมาถึงขั้วโลกได้ตามที่ตั้งใจ
เมื่อมีคนไปสัมภาษณ์ทีมที่ชนะว่า เพราะเหตุใดจึงสามารถผ่านสภาพอากาศที่หนาวเย็นจนมาถึงขั้วโลกได้โดยไม่มีผู้เสียชีวิตระหว่างทาง หัวหน้าทีมให้คำตอบว่าเค้าใช่หลัก 30 ไมล์
หลักการณ์ที่ว่านั้นก็คือ ไม่ว่าสภาพอากาศและสภาพร่างกายของหมู่คณะจะเป็นเช่นไร ในหนึ่งวันเค้าจะต้องเดินทางให้ได้ 30 ไมล์ทุกวัน ถึงแม้ว่าวันนั้นอากาศจะอบอุ่น สามารถเดินได้ระยะทางมากกว่านั้นแต่พวกเค้าก็จะหยุดไว้แค่ 30 ไมล์ แล้วใช้เวลาที่เหลือในการพักผ่อนเพื่อซ่อมแซมร่างกาย ในทางกลับกันแม้ในวันที่อากาศเลวร้ายพวกเค้าก็จะกัดฟันเดินทางให้ได้ระยะทาง 30 ไมล์ตามที่กำหนด ด้วยวิธีนี้เองพวกเค้าจึงวางแผนการเดินทางได้ค่อนข้างแน่นอน และประสบความสำเร็จเดินทางถึงขั้วโลกได้ในสุด
ต่างจากอีกทีมซึ่งไม่ได้วางแผนการเดินทาง ทีมนี้ใช้หลักฟรีสไตล์ คือ ในแต่ล่ะวันจะใช้เวลาในการเดินและระยะทางไม่เท่ากัน เช่นถ้าอากาศดีก็จะเดินเป็นระยะทางที่มาก แต่ถ้าวันไหนอากาศปิด คนกลุ่มนี้ก็จะหยุดการเดินทางแล้วค่อยไปเร่งทำเวลากันในวันที่อากาศสดใส ด้วยวิธีนี้นี่เองทำให้คนในทีมนี้ต้องโหมใช้ร่างกายอย่างหนักหน่วงเพื่อเร่งทำเวลาให้ไปถึงที่หมายก่อนหน้าทีมคู่แข่ง ซึ่งในสภาพของขั้วโลกที่อากาศเปลี่ยนแปลงและหนาวเย็นอย่างสุดขั้วทำให้สมาชิกในทีมเริ่มเจ็บป่วยล้มตาย จนในที่สุดก็ต้องออกจากการแข่งขันไป
เปรียบเทียบทีมสำรวจขั้วโลกก็เหมือนกับการดำเนินชีวิตไปตามเป้าหมายของคนเรา การที่จะทำให้ชีวิตประสบความสำเร็จได้ดังหวัง ต้องอาศัยความมุ่งมั่น อดทน และระยะเวลา ในระหว่างการเดินทางสู่เป้าหมาย อาจมีสิ่งที่ทำให้เหนื่อยให้ท้อ แต่ถ้าเราไม่หยุด ไม่เลิก ยังคงเดินหน้าสู้ต่อไป ปรับแผนรับกับสถานการณ์ที่ผ่านเข้ามา ไม่ช้าเราก็จะทำได้สำเร็จ
ทุก ๆ นาทีเรากำลังก้าวเดินมุ่งหน้าไปสู่วันสุดท้ายของชีวิต ควรหรือที่เราจะปล่อยเวลาให้ผ่านไปอย่างสูญปล่าว ? สิ่งใดที่ตั้งใจไว้ควรทำทันที อย่าผัดวันประกันพรุ่ง เพราะอย่างที่รู้ ๆ กันว่า “ปัจจุบัน” ของเรานั้นมันช่างสั้นเสียเหลือเกิน และอนาคตของเราก็อาจไม่ได้ยาวนานพอที่จะเหลือเวลาให้เราได้ผัดผ่อนกันอีกต่อไป…
ภาพ time จาก unsplash.com
ภาพประกอบจาก unsplash.com by Harry Sandhu
โฆษณา