27 ก.ย. 2020 เวลา 06:35 • ท่องเที่ยว
เรียงความเรื่องไปเที่ยวเขาเขียว :
ผมเชื่อว่าชาวไทยเกือบทุกคนล้วนเคยมีโอกาสไปเที่ยว “สวนสัตว์เปิดเขาเขียว” มาแล้วอย่างน้อยสักครั้งในชีวิต ซึ่งผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ถึงแม้จะจำไม่ได้ว่าครั้งล่าสุดที่ไปตอนอายุเท่าไหร่ก็ตาม แต่เอาเป็นว่าสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสกลับไปเยี่ยมสถานที่แห่งนี้อีกครั้ง ด้วยมุมมองที่แตกต่างไปจากตอนเด็กๆ เลยมาบันทึกประสบการณ์เพื่อเก็บไว้เป็นความทรงจำ ดังนี้
1. เริ่มจากเห็นหน้าปกเป็นยีราฟเคี้ยวงั่มๆ แบบนี้ อย่าเพิ่ง Drama เหมารวมด่า “เขาเขียว” ว่าไปเกี่ยวข้องกับโศกนาฏกรรมเคลื่อนย้ายพี่คอยาว จนเป็นเหตุให้เกิดความสูญเสียเมื่อช่วงต้นปีล่ะ เพราะสถานที่แห่งนี้ เป็นหนึ่งในสวนสัตว์ภายใต้ “องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย” (อสส.) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจในกำกับดูแลของกระทรวงทรัพยากรฯ คนละหน่วยงานกับอันที่เกิดเรื่องซึ่งเป็นของเอกชนนู่น
2. เขาเขียวเพิ่งกลับมาเปิดอีกครั้งเมื่อไม่นานนี้เองหลังจากโดน COVID เล่นงานไปสะหลายเดือน เลยไม่น่าแปลกใจที่การ Come Back ครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ต้องจัดเตรียมมาตรการรองรับเป็นจำนวนมาก อาทิ วัดไข้ ใส่หน้ากาก ปิดบริการในบางพื้นที่ และห้ามขับรถเข้าไปในจุดต่างๆ แบบที่เคยเป็น สำหรับ New Normal ของสวนสัตว์เปิดแห่งนี้คือ เค้าจะมีรถรางดัดแปลงไว้คอยให้บริการ (ฟรี) หรือหากชอบความเป็นส่วนตัวหน่อยเค้าก็มีรถกอล์ฟไว้คอยให้เช่าด้วยเช่นกัน (ครั้งละ 500 บาท) แน่นอนว่าสาย Pay อย่างผม ไม่บอกก็รู้ว่าเลือกใช้บริการรถรางอยู่แล้ว
3. สถานที่ท่องเที่ยวเค้าจะแบ่งออกเป็น Zone ต่างๆ อาทิ Zone Wildlife Wonderland ก็จะมีสัตว์แปลกๆ อย่าง ตัวกินมดขนาดยักษ์ที่หากเจอแบบตัวๆ ในป่าคงจะตกใจแทบสิ้นสติ/จระเข้ Caymann ที่วันๆ ไม่ทำไรนอกจากนอนแช่น้ำ/ นากเล็บสั้นที่ซนมาก เดี๋ยววิ่งเดี๋ยวว่ายน้ำ/ส่วนชั้นล่างเป็นอุโมงค์โลกใต้ทะเล ที่มีเต่า ปลา และแมวน้ำว่ายไปมาเต็มไปหมด แต่ถ้าจะให้โหวตว่าประทับใจไรสุดใน Zone นี้คงหนีไม่พ้นแพนด้าแดงที่หน้าตาเหมือนแมวนอนตากแอร์อยู่แน่นอน
4. เขยิบไปอีกหน่อยก็จะเป็น Australia Zone โดยบริเวณนี้จะเป็นแหล่งรวมสัตว์จากซีกโลกใต้ อย่างจิงโจ้/Koala/วอมแบท/นกแก้วที่มีหงอนบนหัว แถมตรงทางออกยังมี Standy รูปจิงโจ้ที่เว้าบริเวณท้องให้ผู้มาเยือนไปโผล่หน้าถ่ายรูปอีกด้วย ถ้าเป็นสมัยเด็กๆ มาเห็นคงจะตื่นเต้นไม่เบา
5. Zone ถัดไปเค้าเรียกว่า “สถานีช้าง” ช้างที่นี่ตัวใหญ่มาก ถ้าเกิดสมัยอยุธยาเจ้าพระยาปราบหงษาอาจมีหนาว จริงๆ แล้วช่วงที่ไปเค้ามีจัดรอบโชว์ช้างเล่นน้ำพอดี แต่โตขึ้นมาไม่ค่อยตื่นตาตื่นใจกับการแสดงอะไรของพวกสัตว์สักเท่าไหร่อยู่แล้ว เพราะมันดูไม่ค่อยธรรมชาติ แถมตอนฝึกไม่รู้โดนตีมากขนาดไหน เลยนั่งรถผ่านไปดู Zone สัตว์จากแอฟริกาแทน
6. สำหรับ Zone สัตว์จากแอฟริกามีพื้นที่กว้างสุดลูกหูลูกตา โดยมียีราฟที่เดินเยื้องย่างไปมา เป็นพระเอกของ Zone นี้ จะว่าไป ที่สวนสัตว์เค้าออกแบบมุมถ่ายรูปดีนะ โดยเค้าจัดพื้นที่ให้เราเดินขึ้นไปด้านบนเพื่อจะได้ถ่ายรูปกับพี่คอยาวแบบใกล้ชิด เอาจริงๆ หน้าตายีราฟเวลาเคี้ยวเอื้องมันดูเด๋อๆ แถมเคี้ยวอาหารช้ามาก หญ้าเส้นนึงแทนที่มันจะเคี้ยวแนวขวาง ดันไปเคี้ยวแนวยาว เห็นแล้วก็ตลกดี
7. สิ่งที่ผมไม่ชอบเลยสำหรับสวนสัตว์นี้ก็คือ “เจ้าลิงป่า” หากคุณเคยมีประสบการณ์โดนลิงกัด 2 ครั้งในวัยเยาว์อย่างผม จะรู้ได้เลยว่าลิงไม่ใช่สัตว์ที่น่าไว้วางใจแต่อย่างใด ลิงเจ้าถิ่นเหล่านี้มักจะกระเตงลูกเดินเพ่นพ่านไปมา บางทีมันก็อยู่บนหลังคาร้านขายของที่ระลึก บางทีมันก็แอบมาขโมยทิชชู่เปียกกับน้ำอัดลมจากเป้ของฝรั่ง แถมพอเอาไปได้แล้วยังมาทำหน้าเยาะเย้ยถากถางเจ้าของอีกด้วย และหลายครั้งมันก็ปีนไปแจมอยู่กับกรงสัตว์ชนิดต่างๆ ทั่วบริเวณ (ยกเว้น Zone จรเข้กับสิงโต) จำได้ว่าวันนั้นผมเห็นลิงลงไปแย่งอาหารตัว Wallaby แถมยังต่อยจิงโจ้ต่อหน้าต่อตาอีกด้วย เกเรจริงๆ
8. และแล้วก็มาถึง Highlight ของสวนสัตว์แห่งนี้ที่ผมรอคอย จะเป็นใครไปได้นอกจากฮิปโป “แม่มะลิ” ขวัญใจชาวไทยน่ะสิ จำได้ว่าผมมาเยี่ยมแม่มะลิครั้งก่อนที่สวนสัตว์ดุสิตก็น่าจะเกือบ 30 ปีที่แล้ว ความน่ารักเป็นกันเองของแม่มะลิที่ดำผุดดำว่ายกระดิกหูสั้นๆ ไปมา อาจทำให้คนไทยหลงลืมไปว่าโดยธรรมชาติแล้วฮิปโปโปเป็นสัตว์ที่มีอุปนิสัยดุร้าย ขี้โมโห เอะอะวิป เอะอะปรี๊ด มีการรายงานว่าในแต่ละปี มีคนในทวีปแอฟริกาถูกฮิปโปทำร้ายมากกว่าจรเข้และสิงโตอยู่หลายเท่าตัว
9. ทีนี้ขอกลับมาเล่าย้อนถึง “แม่มะลิ” เสียหน่อยว่ามีความสำคัญอย่างไร คือเอาจริงๆ ที่สวนสัตว์เค้าทำ Board เรื่องน่ารู้ของของแม่มะลิไว้ดีมาก เท่าที่ผมพอจำมาเล่าต่อได้ก็คือ แม่มะลิเกิดที่เมืองโคโลญจ์ ประเทศเยอรมนี ก่อนย้ายบ้านไปเนเธอร์แลนด์ แล้วค่อยมาบ้านเราที่สวนสัตว์ดุสิต และสวนสัตว์เปิดเขาเขียวตามลำดับ ถือว่าเป็นฮิปโปที่อายุยืนที่สุดในประเทศไทย (เกิด2508) อายุอานามก็ปาไป 55 ปีแล้ว ผ่านเหตุการณ์รัฐประหารมานับครั้งไม่ถ้วน ชอบกินหญ้าสด กล้วยและถั่วฝักยาว สามารถหายใจใต้น้ำได้นานถึง 6 นาที ที่สำคัญเค้าจะมีเหงื่อสีแดงเป็นเมือกตามตัว เพื่อทำหน้าที่คล้ายๆ ครีมกันแดด ปัจจุบันมีลูกทั้งสิ้น 14 ตัว โดยส่วนตัวผมคิดว่าสรีระของฮิปโปเวลานอนเกยคางแช่น้ำ มันมีลักษณะหยึยๆ หยุ่นๆ เหมือน “คากิ” ในหม้อพะโล้ที่ผักคะน้าแนมข้าง เสียนี่กะไร
หลังจากอิ่มเอมกะแม่มะลิ ผมก็ได้พบเจ้าหน้าผู้ดูแลซึ่งเค้าอธิบายว่าฮิปโปตัวใหญ่ที่ผมถ่ายรูปไปจริงๆ แล้วเป็นตัวลูกไม่ใช่แม่มะลิ ส่วนเจ้าฮิปโปตัวเล็กที่ผมเข้าใจผิดว่าเป็นลูกแม่มะลิ จริงๆ แล้วเป็นฮิปโปแคระ ไม่มีความเกี่ยวพันใดๆ กะแม่มะลิอีกเช่นกัน ส่วนแม่มะลิตัวจริงเค้าดำอยู่ใต้น้ำโผล่มาแต่หลังนูนๆ ที่ผมเข้าใจว่าเป็นก้อนหินน่านแหละ!!!
10. ก่อนกลับผมได้เดินผ่านดูกรงแรดขาวที่กำลังทะเลาะกันอยู่ (ไม่ใช่เรื่องผู้ชาย) ให้ตายเหอะ!!! แรดของจริงมันตัวใหญ่และดูแข็งแรงกว่าที่คิดเยอะ อารมณ์ประมาณไดโนเสาร์พันธุ์สามเขา (Triceratops) ก็ว่าได้ แถมเพิ่งรู้ว่าเวลาแรดคำราม เสียงมันดังกังวานเหมือนเรายืนอยู่หน้าท่อ Big Bike ที่กำลังเบิ้ลเครื่องพร้อมๆ กัน 3 คัน อย่างไงอย่างงั้น แต่ขอโทษนะครับ เห็นตัวโต แข็งแรง เสียงดังแบบนี้ เจ๊แกเป็น Vegan นะเออ...ตอนเดินมาเอารถผมคิดทบทวนเหล่าสรรพสัตว์ที่เจอวันนี้แล้วทำให้นึกถึง Post นึงใน FB ที่เค้าบอกว่า “สัตว์จำพวกมังสวิรัติมักจะอ้วนกว่าสัตว์กินเนื้อเสมอ” ไตร่ตรองดูแล้วเห็นว่าบทความนี้จะไม่ได้กล่าวเกินจริงแต่อย่างใด
ใครว่างๆ ก็ลองไปเที่ยวกันดูนะครับ เห็นเค้าบอกว่า 1 ต.ค. นี้ เขาเขียวจะมีปรับโฉมใหม่อีกรอบ ในช่วงเวลาที่มนุษยชาติยังเที่ยวที่ไกลๆ ไม่ได้ ผมว่าชลบุรีเป็นอีกจังหวัดที่น่าสนใจไม่เบาเลยทีเดียว
โฆษณา