29 ก.ย. 2020 เวลา 01:42 • นิยาย เรื่องสั้น
Ep.22 ไปโรงเรียน
วันนี้ผมตื่นเช้ากว่าทุกวัน ตั้งแต่เสียงไก่ขันครั้งแรกก็รีบสลัดผ่าห่ม ออกมานั่งหัวบันไดก่อนใคร แต่ถึงเช้ายังไงก็ตื่นหลังแม่อยู่ดี มองไปรอบๆ ภายนอกยังคงมืดสนิท เสี่ยงไก่ขันรับกันเป็นทอดๆ มีแสงตะเกียงของแม่วับแวมอยู่ในครัว กำลังง่วนหุงข้าวเช่นทุกวัน
เสียงพ่อขยับตัวอยู่ในมุ้งแต่ยังไม่ลุกขึ้นมา วันนี้เป็นวันพิเศษ ผมต้องไปโรงเรียนวันแรก เมื่อคืนตื่นเต้นจนนอนเกือบไม่หลับ หลายวันก่อนพ่อบอกว่าผมถึงวัยที่ต้องเข้าโรงเรียนแล้ว จะได้อ่านออกเขียนได้ เลิกซนเป็นลิงเป็นค่างซะที ได้ยินครั้งแรกผมก็ใจเหี่ยว นึกถึงครูดุๆ กับไม้หวายโตๆ แถมยังอดเล่นสนุกยิงนกตกปลาอีก แต่พอรู้ว่าซี้สองสหายก็ต้องไปโรงเรียนด้วย ก็ตื่นเต้นดีใจที่มีเพื่อนไปด้วย นึกอยากไปโรงเรียนเร็วๆ ก็ดี
หมอกขาวลอยอ้อยอิ่งอยู่รอบบ้าน พ่อตื่นมาล้างหน้า แม่ไล่ผมให้ลงไปอาบน้ำในตุ่มข้างบ้าน ผมตักน้ำราดสองสามขัน ถูสบู่ แล้วรีบเช็ดตัวด้วยความหนาว รีบขึ้นบ้านมาแต่งชุดนักเรียนตัวใหม่เอี่ยม ที่แม่ซื้อมาให้หลายวันแล้ว แม่จับผมแต่งตัวทาแป้งหน้าขาว แล้วเพ่งมองอย่างภูมิใจ ก่อนลุกไปตักข้าวในครัวมาให้ผมเป็นมื้อเช้าก่อนไปโรงเรียน พ่อนั่งยิ้มสูบใบจากมองอยู่ที่หัวบันไดบ้าน ผมรู้สึกราวกับตัวเองเป็นพระเอกหนัง ในชุดนักเรียนสีขาวหอมกรุ่น
เสียงเดี่ยวมาตะโกนเรียกแย้วๆ อยู่ริมป่าข้างบ้าน ผมคว้ารองเท้าแตะคู่ใหม่มาสวม แล้วก้าวลงบันไดฉับๆ ไปตามเสียงเรียก โดยมีพ่อเดินตามมาติดๆ เดี่ยวยืนรออยู่ก่อนแล้ว เขาใส่ชุดใหม่เหมือนกันท่าทางดูเรียบร้อย ตัดผมสั้น สลัดคราบเสื้อสีมอๆ สะพายย่ามเหน็บหนังสติ๊กอย่างทุกวัน แม่ของเดี่ยวเอ่ยปากชมว่าดูหล่อทั้งคู่ เรายิ้มกันแก้มแทบปริ
แล้วทั้งหมดก็เดินเท้าไปตามทางในป่าที่คดเคี้ยว มีกระรอกตัวน้อยโผล่มามองเหมือนไม่เคยเห็นชุดนักเรียน เดี่ยวคันมือยิกๆ แต่ไม่ได้พกอาวุธคู่กายมาด้วย เพราะพ่อบอกว่าครูห้ามเอาหนังสติ๊กไปโรงเรียน เดินกันมาพักใหญ่เราก็มาโผล่ตรงถนนลูกรังสายใหญ่ สายหลักที่ทุกคนต้องใช้เดินทางไปในเมือง กว้างประมาณรถยนต์ แล่นสวนกันพอดี แต่นานๆ ที่จะมีรถแล่นผ่าน หรือนานเป็นวันจะผ่านมาสักคัน เราเดินไปตามถนนใหญ่อีกประมาณเกือบสองกิโลก็มาถึงหมู่บ้านทับคริสต์ อันเป็นที่ตั้งโรงเรียน เมื่อไปถึงพบโมทย์มารออยู่ก่อนแล้ว พร้อมทั้งเด็กและผู้ปกครองอีกจำนวนมาก มีทั้งเสียงเด็กร้องให้ และเสียงผู้ใหญ่พูดคุยกันจอแจไปหมด
เมื่อรวมทีมกันครบหน้า ผมก็ลดความตื่นเต้นลงไปเยอะ มีความอยากรู้อยากเห็น ของชีวิตการเรียนหนังสือแทรกเข้ามาแทน โรงเรียนอุปถัมภ์วิทยาพนมหรือโรงเรียนในคริสต์ เป็นโรงเรียนศาสนาคริสต์ มีคุณพ่อบาทหลวงแต่งชุดยาวสีขาวเป็นผู้ดูแล และมีซิสเตอร์เป็นครูใหญ่ มีครูชายหญิงซึ่งเป็นคนในละแวกนั้นประมาณหกเจ็ดคน ตอนแรกสอนถึงปอสี่ ตอนผมเข้ามาเปิดสอนตั้งแต่อนุบาลถึงปอหก จัดว่าเป็นโรงเรียน ที่ใหญ่สุดในละแวกนั้น สมัยนั้นเลยที่เดียว
ตัวอาคารเรียนก่อปูนมุงกระเบื้อง ห้องปอหนึ่งถึงปกหกอยู่ด้านหน้า อนุบาลอยู่ด้านหลังสองห้อง ด้านหลังไปอีก เป็นสระน้ำขนาดใหญ่ลึกท่วมหัวมีหญ้าปกคลุมรอบสระ บริเวณนี่ห้ามเด็กเข้าไปเล่นเด็ดขาด ยกเว้นแต่จะไปตักน้ำรดผัดสวนครัว ถัดไปด้านบนี้เป็นโรงอาหารขนาดใหญ่ เวลาคดปิ่นโตมากินมื้อเที่ยงก็ต้องนำมาวางรวมกันที่นี่ รอเวลาพักเที่ยงค่อยมานั่งกินรวมกัน ถัดขึ้นไปบนเนินด้านบน อีกเป็นร้านขายขนมและอุปกรณ์การเรียน สมุดดินสอ ถัดสูงขึ้นไปอีกเป็นบ้านพักคุณพ่อและโบสถ์คริสต์สำหรับประกอบพิธี และปิดท้ายกั้นเป็นฉากหลัง ด้วยทิวเขาขนาดใหญ่ติดกับตัวโบสถ์ ที่เขียวครึ้มไปด้วยต้นไม้ใหญ่
สมัยนั้นสัตว์ป่ามีชุกชุมมาก สัตว์ที่ล่าได้มีเกือบทุกชนิด ห้องเรียนแต่ละห้องมีจุดที่เด็กๆ สนใจ กันมากคือตรงหลังห้องเรียนของทุกห้อง จะมีตู้กระจกโชว์สัตว์ป่าสตาฟเอาไว้ มากมายหลายชนิด ทั้ง เสือ หมี กวาง ลิง ค่าง งูฯลฯ เสียดายที่การสตาฟสัตว์ในสมัยนั้น ยังไม่ทันสมัยเหมือนในปัจจุบันแค่ผ่าเอาเนื้อออก รมควัน แล้วยัดด้วยฟางหรือนุ่น ทำให้อยู่ได้ไม่นาน ผมอยู่ประมาณปอสาม เขาก็ย้ายออกเอาไปทิ้ง เพราะมันผุพัง จึงไม่มีให้เด็กรุ่นหลังได้ดู
หลังจากไปโรงเรียนวันแรก ทำการมอบตัวเรียบร้อยแล้ว และโรงเรียนไม่น่ากลัวอย่างที่คิด วันหลังๆ พ่อกับแม่ก็เริ่มไปส่งประปราย สักพักเราก็ตั้งทีมเดินกันไปเอง โดยไม่ต้องมีใครไปส่ง มีพี่ชายโมทย์ซึ่งอยู่ปอหกเป็นคนนำทีมเดินไปโรงเรียน เว้นแต่ตอนเลิกเรียน พ่อกับแม่ผลัดกันไปรับเป็นครั้งคราว
ที่โรงเรียนยังคงมีเด็กใหม่ร้องไห้อยู่แทบทุกวัน นานๆ ไปเล่นสนุกก็เลิกร้องไปเอง ที่นี่เรามีเพื่อนใหม่มากมาย มีกิจกรรมแปลกๆ สรรหามาเลนกันไม่หยุดหย่อน เวลาพักเราสามคนก็จะนำทีมเด็กอื่นๆ ไปตกปลาหลังโรงเรียนบ้าง เล่นซ่อนหาริมสระบ้าง โดนตีกันบ่อยจนครูเมื่อยมือ ยิ่งห้าม ยิ่งไป
อีกจุดนึงที่ครูห้ามขึ้นไปเด็ดขาด คือบนเขาหลังโรงเรียน เพราะยังมีสัตว์อาศัยอยู่ แต่เราก็ยังแอบขึ้นไปบ่อยๆ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เด็กคริสต์ทั้งหมดต้องเข้าไปทำพิธีในโบสถ์ กลุ่มเด็กพุทธซึ่งมีจำนวนน้อยกว่าก็จะว่าง ครูจะให้เก็บขยะ ทำความสะอาดรอบโรงเรียน เราก็จะหมอบคลานไปตามชายป่า หายขึ้นไปบนเขา หาลูกหวายลูกไม้กินไปเรื่อย พอครูรู้ก็โดนตีกันยกทีม
มีเพียงช่วงเวลาเดียวที่ครูอนุญาตให้ขึ้นไปได้ คือช่วงเทศกาลคริสต์มาสและฉลองวัด ทางโรงเรียนจะจัดกิจกรรมยิ่งใหญ่ ต้องช่วยกันตกแต่งประดับประดาโรงเรียนให้สวยงาม ครูจะให้ขึ้นไปบนเขาไปหาดอกไม้ใบไม้สวยๆ มาตกแต่งจัดซุ้ม จัดเวที เป็นงานที่จัดขึ้นปีละครั้ง มีการแสดงของนักเรียน จับรางวัล แจกของขวัญ เป็นงานสำคัญของชาวคริสต์ในละแวกนั้น
ช่วงเวลาเลิกเรียน ก็เป็นเวลาที่รอคอยสำหรับผมเหมือนกัน ไม่ใช้ที่จะได้กลับบ้านอย่างเดียว แต่เป็นเวลาแห่งความสนุกระหว่างทาง ครูจะแบ่งสายให้เดินเป็นแถวกลับบ้าน มีหัวหน้าเดินนำ สายของผมอยู่กันพร้อมทีมที่เพราะบ้านอยู่ใกล้กัน พอมาถึงกลางทางแถวเริ่มหดเพราะเพื่อนคนอื่นแวะเข้าบ้านไปแล้ว เหลือเพียงทีมเราสามสี่คน ก็เริ่มแตกแถว แวะหยิบอาวุธที่ซ่อนไว้ริมทางตั้งแต่ตอนเช้า เดินลัดเลาะยิงนก จับปลาระหว่างทางไปเรื่อยๆ กว่าจะถึงบ้านก็เกือบเย็น แถมเสื้อผ้ามอมแมมเลอะเทอะเกือบทุกวัน จนแม่เริ่มบ่นหนักขึ้น จึงลดความซ่าลงมาหน่อย
เวลาเล่นของเรายามอยู่ที่บ้านจึงเหลือแค่วันเสาร์อาทิตย์ โดดคลอง เล่นน้ำ ยิงนก ตกปลาน้อยลง ซนได้น้อยอย่างที่พ่อว่า แต่เราก็ได้ความสนุกที่โรงเรียนมาทดแทน พร้อมเพื่อนใหม่อีกมากมาก จนถึงช่วงปิดเทอมนั่นแหละ จึงจะได้หัวหกก้นขวิดกันเต็มที่อีกครั้ง แถมยังลากพรรคพวกที่โรงเรียนมาโดนน้ำที่บึงน้าพรให้น้ำข้นคลั่กยิ่งไปกว่าเดิมเข้าไปอีก
เวลานั้นได้ผ่านไปนานแล้ว ปัจจุบันโรงเรียนมีถึงมอสามแล้ว มีอาคารใหญ่ๆ เพิ่มอีกหลายหลัง ภาพนั้นมองไปไม่เหมือนเดิมในสายตา แต่ยังเหมือนเดิมในความรู้สึก มีครูมาเพิ่มใหม่ๆ หลายคน ครูคนเก่าที่เคยเคี่ยวเข็ญเราเหล่าเด็กซน ก็มีเหลืออยู่ไม่กี่ท่าน ครูยังคงเคี่ยวเด็กรุ่นใหม่ที่เข้ามาอยู่เหมือนเดิม เหมือนท่านไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เพื่อนเก่าๆ ที่เคยเล่นหัว กระโดดถีบ ตีลังกา เปิดกระโปรง เริ่มห่างไกลไปตามวัย ต่างคนต่างดิ้นรนเพื่อเลี้ยงชีวิตและครอบครัว บ้างยังอยู่ บ้างห่างหาย ไปตามกาลเวลา แต่ความทรงจำดีๆ ในวัยเด็กยังคงอยู่ และมันจะคงอยู่ในใจเราทุกคน ไม่เลื่อนหายไปตามกาลเวลาแน่นอน
โฆษณา