30 ก.ย. 2020 เวลา 01:45 • นิยาย เรื่องสั้น
Ep. 23 บางทรายนวล
เฮลิคอปเตอร์ลำใหญ่พร้อมเสียงใบพัดดังสะท้านฟ้า ค่อยๆ โผล่มาจากขอบฟ้าด้านทิศตะวันออก เด็กทุกคนถูกสั่งให้ลุกขึ้นยืนตรง ทุกคนจับตามองไปที่เฮลิคอปเตอร์ลำนั้น ด้วยความตื่นเต้นดีใจที่จะ ได้เห็นมันแบบใกล้ชิด
มันช่างเป็นเรื่องเหลือเชื่อที่เหล็กขนาดใหญ่บินได้บนฟ้าโดยไม่หล่น มันบินตรงมาใกล้จุดที่เรายืนอยู่ แล้วค่อยๆ ลดระดับบินต่ำวางขาจอดลงบนสนามหญ้า ตรงจุดที่มีวงกลมสีขาวโรยด้วยปูนขาวรออยู่ก่อนแล้ว เศษฝุ่นเศษหญ้าฟุ้งตลบ เมื่อเฮลิคอปเตอร์สัมผัสพื้น และบัดยังหมุนติ้วอยู่ จนทุกคนต้องยกมือขึ้นบังตาบังจมูกกันฝุ่น
เมื่อมันจอดสนิท บุรุษในชุดสีเทาผู้มาเป็นประธานพิธีในวันนี้ก็ก้าวลงมา ท่านคือนายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น นายกเปรม ติณสูลานนท์ ได้เดินทางมาเป็นประธานในพิธีเปิด อ่างเก็บน้ำบางทรายนวล ผมและนักเรียนทุกคน พร้อมทั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ครู หมอ ประชาชนทั่วไป มาตั้งแถวรอรับกันตั้งแต่เช้า
เบื้องหน้าคือกำแพงอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ มีผ้าแพรตกแต่งประดับอย่างสวยงาม นั่นคืออางเก็บน้ำบางทรายนวลที่กั้นกักเก็บน้ำคลองบางทรายนวลไว้ใช้ในยามหน้าแล้ง เราตื่นเต้นดีใจเมื่อรู้ว่าเขามาสร้างอ่างเก็บน้ำ จะมีทะเลสาบขนาดย่อมๆ เกิดขึ้นในละแวกบ้านเรา จะได้มีที่เล่นโดดน้ำลึกๆ จะได้จับปลาตัวโตๆ เท่าขา ตอนนั้นแค่คิดก็สนุกแล้ว
ช่วงก่อสร้างเขื่อนเราก็มักจะแอบไปดูการก่อสร้างกันบ่อยๆ ตั้งแต่เริ่มกั้นดิน ตัดต้นไม้ และระดับน้ำค่อยสูงขึ้นเรื่อยๆ จนเต็มหุบเขาและสันเขื่อนที่กั้นอยู่ ต้นไม้น้อยใหญ่ต่างจมอยู่ใต้น้ำ โผล่ยอดเห็นเป็นเรียวแหลมทั่วไปหมด บางวันก็ไปนั่งดูรถตักดิน รถบรรทุกวิ่งไปมาฝุ่นตลบ อยากลองนั่งขับดูบ้าง ตามประสาเด็ก
วันนั้นไม่เกินชั่วโมงก็เสร็จพิธีเปิด นายกทักทายผู้มาต้อนรับ เดินดูงานไม่นานก็กลับ เพราะท่านติดภาระกิจที่อื่นอีก เฮลิคอปเตอร์หมุนใบพัดลอยขึ้นฟ้า เหล่าเด็กฮือฮากันอีกครั้ง มันลอยขึ้นบินหายไปตรงขอบฟ้าทางเดิมที่มันโผล่มา หลังจากเมื่อเสร็จพิธี ทุกคนต่างก็แยกย้ายกันกลับบ้านทันก่อนเที่ยงวัน
เที่ยงวันนึง แดดไม่ร้อนมากนัก ลมเอื่อยๆ พัดพาแพไม้ไผ่ลำเก่าที่ผมยืนอยู่ ลอยไปช้าๆ โดยไม่ต้องออกแรงพายมากนัก วันนี้เป็นอีกวันนึงที่ผมกับเหล่าวัยซนรวมสี่ห้าคน แอบมาเลนน้ำที่อ่างอีกจนได้ หากบอกแม่ก็คงจะไม่ให้มาเหมือนเดิม แม่กลัวผมจะจมน้ำ ซึ่งผมเองก็ว่ายน้ำไม่เก่งซะด้วย แต่ผมก็ยังหาโอกาสแอบหนีมาหลายครั้งแล้ว
วันนี้เรานัดกันมาเจอที่ตรงปากซอย บางคนเดินหลบเข้าในสวน บางคนบอกไปบ้านเพื่อนคนนู้น อ้างกันไปเรื่อย พอมารวมทีมกันครบที่ปากซอย ก็เร่งเดินเข้าไปในอ่างเก็บน้ำทันที ขึ้นไปบนสันอ่างจะเห็นเวิ้งน้ำกว้างใหญ่ ที่โอบล้อมด้วยภูเขาทั้งสามด้าน กั้นน้ำอยู่ตรงกลาง มีก้อนหินขนาดใหญ่วางเรียงรายลึกลงไปตรงด้านที่เป็นขอบอ่างด้านใน มีแพไม้ไผ่เก่าๆ และไม้ซีก ที่พวกหาปลาใช้พายข้ามไปอีกฝั่ง เพื่อหาปลาและล่าสัตว์
เราจัดการปลดเชือกที่ผูกแพ หาไม่ไผ่ซีกมาใช้ทำไม้พาย ผมกับเดี่ยวขึ้นแพไม้ไผ่ ส่วนโมทย์กับคนอื่นๆขึ้นขี่ไม้ซีก แล้วแพทั้งคู่ก็ค่อยๆ ลอยออกไปกลางเวิ้งน้ำตามแรงพาย ต่างตะโกนโหวกแหวกกันด้วยความสนุกสนาน แต่ละคนคลายร้อนด้วยการโดดน้ำ ตีลังกา ดำผุดดำว่ายเบิกบานใจ ส่วนผมว่ายน้ำไม่เก่งจึงลงแช่น้ำไม่ห่างจากแพ ว่ายท่าลูกหมาออกไปนิดหน่อยก็รีบกลับมาเกาะแพ
เลยเที่ยงวันไปมากแล้ว แต่ละคนเล่นน้ำจนปากซีด ตาแดงและเริ่มหิว จึงพายแพเข้าไปหลบร้อนริมน้ำตรงที่เห็นกล้วยป่าขึ้นเป็นดง ไปถึงใต้ร่มเงาไม้ ก็หาเถาวัยล์มาผูกแพ แล้วก็บุกปีนขึ้นไปยังดงกล้วยป่า หากล้วยสุกมากินคลายหิว
เราก็ได้กล้วยป่าสุกสองเครือ แบกมานั่งกินกับบนแพ กล้วยป่ารสชาติหอมหวาน แต่อุดมไปด้วยเม็ดแน่นทั้งลูก จึงได้แต่อมๆ แล้วคายเม็ดทิ้ง พอชุ่มคอ หลายๆ ลูกเข้าก็พอประทังความหิวได้ กล้วยหมดเราก็นั่งๆ นอนๆ อยู่บนแพมองปลาน้อยใหญ่ว่ายไปมาอยู่ใต้น้ำใสแจ๋ว ที่มีตะไคร่เขียวครึ้มและไม้ใหญ่ยืนต้นตายที่โผ่ลเพียงยอดแหลม
หลังจากพักกันจนเสื้อผ้าเกือบแห้ง เราก็เริ่มหากิจกรรมเล่นกันต่อ ผมเสนอให้หาหอยกลับบ้านกันดีกว่า เพราะสังเกตเห็นหอยขมตัวใหญ่ เกาะตามต้นไม้ที่ยืนตายในน้ำเต็มไปหมด แพทั้งสองลำลอยออกมาจากที่หลบพักร่มอีกครั้ง คราวนี้เราพายตรงไปยังยอดต้นไม้ที่โผล่ให้เห็นอยู่ทั่วไป
ผมลงจากแพไปเกาะที่ยอดไม้ ดำลงมองใต้น้ำก็เห็นขอยขมตัวใหญ่ ขนาดกำลังเหมาะเกาะอยู่ที่ต้นไม้เป็นแถวรอบไปทั้งต้น น้ำลึกเขียวลงไปจนมองไม่เห็นโคน ผมเริ่มเก็บหอยขมใส่ในกระเป๋ากางเกง พอหมดตรงจุดที่หาก็ดำน้ำไต่ต้นไม้เก็บลงไปเรื่อยๆ จนเต็มกระเป๋ากางเกงทั้งสองข้าง แล้วจึงไต่ขึ้นมาแล้วล้วงหอยจากกระเป๋า ไปวางบนแพ มองไปก็เห็นสมาชิกกำลังทำอยู่ลักษณะเดียวกัน
ผมไต่กลับลงไปตามยอดไม้ต้นเดิม อีกครั้งยิ่งลึกหอยยิ่งเยอะและต้นไม้ก็เริ่มโตขึ้นเรื่อยๆ เราเคยปีนต้นไม้จากโคนขึ้นสู่ยอด แต่คราวนี้เราไต่จากยอดลงไปหาโคน ยิ่งไต่ลึกลงไปตะไคร่น้ำก็เริ่มเยอะ มองดูน้ำรอบตัวเป็นสีเขียวน่ากลัว จนไม่กล้าลงลึกมากไปกว่านี้ รีบไต่กลับขึ้นมานั่งบนแพ
หอยขมที่เราหามาได้ วางกองโตอยู่บนแพไม้ไผ่ไม่ต่ำกว่าสามกิโล ถ้าหาอีกก็ได้เพิ่มอีก แต่ทุกคนเห็นว่าน่าจะแบ่งกันพอแล้ว ถ้าจะกินค่อยมาเก็บวันหลัง และตะวันก็เริ่มบ่ายจนเกือบเย็นแล้ว ถ้ากลับบ้านช้าแม่อาจจะสงสัย ได้ จึงชวนกันพายแพกลับมาด้านที่เป็นสันอ่าง
เมื่อมาถึงเราก็จอดแพไว้ที่เดิม มัดเชือกกันแพลอยออก แล้วแบ่งหอยขมออกเป็นกองเท่าๆ กัน ถอดเสื้อทำเป็นถุงใส่หอยสะพายหลัง เดินกลับบ้านด้วยความเหนื่อยอ่อน เพราะหมดแรงจากการเล่นน้ำ แต่ทุกคนก็มีความสุขที่ได้มาเล่นน้ำที่นี่ แถมได้ของกินติดมือกลับบ้านกันทุกคน แม่คงไม่บ่นมากนักที่หายกันไปนาน
เด็กๆ แทบทุกคนในหมู่บ้าน ต่างคอยหาโอกาสที่จะมาเลนน้ำที่อ่างเก็บน้ำ บางคนได้มากับพ่อแม่ซึ่งก็เล่นน้ำได้ไม่โลดโผนนัก บางคนก็อาศัยแอบหนีกันไปเอง ถ้าจะขอพ่อแม่มากันตรงๆ รับรองไม่มีใครให้ไป เพราะเขาบอกว่าน้ำมันลึกมาก ลึกจนมิดตัวช้างสิบตัวเลยที่เดียว บางครั้งพ่อแม่รู้ ก็โดนตีกันเป็นแถว ตอนนั้น เรานึกถึงแต่ความสนุกตื่นเต้นอย่างเดียว โดยไม่เข้าใจถึงความคิดของผู้ใหญ่ที่เป็นห่วงลูกหลาน หากจมน้ำหายไป ใครคือคนที่เสียใจที่สุด
เมื่อมีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่เข้ามา เราก็เริ่มห่างหายจากบึงบางทรายนวล ที่บัดนี้เรามองเป็นแค่บึงเล็กๆ ไม่น่าตื่นเต้น วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนเราแทบไม่รู้ตัว พ่อปลูกบ้านหลังใหม่ใกล้กับถนนสายหลักกลางหมู่บ้าน เป็นบ้านไม้สองชั้น โตกว่าบ้านหลังเดิมมาก เราย้ายข้าวของออกมา จากบ้านในสวนริมคลองบางทรายนวล มาอยู่ที่นี่จนถึงทุกวันนี้ ไอ้หลุบตายจากไปนานแล้ว พ่อซื้อรถจักรยานคันใหม่มาใช้เดินทางไปธุระ ทั้งไปไร่และไปโรงเรียน
พี่ชายผมซึ่งไปอยู่กับยายตั้งแต่เด็กกลับมาอยู่ที่บ้าน ทำให้ผมมีเพื่อนเล่นเพิ่มขึ้น ต่อมาไม่นานผมก็มีน้องสาวเพิ่มมาอีกคน ทำให้ครอบครัวเราใหญ่ขึ้น ไม่เหงา
ส่วนผมตัวโตขึ้น ต้องไปช่วยพ่อแม่ทำงานมากขึ้น เวลาของเราที่จะ มาเล่นโลดโผน ยิงนกตกปลาเริ่มลดน้อยลง เดี่ยวเองก็โตพอที่จะสะพายปืนแก็ปของจริง เข้าไปยิงนกยิงกระรอกในป่าได้โดยไม่ต้องมีสมาชิกช่วยวิ่งไล่ดักหน้าดักหลัง
โมทย์ต้องไปช่วยพ่อทำไร่ดูแลสวนถางหญ้า นานๆ เราจะรวมทีมเข้าป่าเล่นน้ำกันสักครั้ง เดินไปคุยไปเบาๆ ไม่ตะโกนโหวกเหวกเหมือนก่อน ล่าสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ไม่สนใจนกเล็กๆ ที่กระโดดอยู่ปลายไม้
ผีเสื้อแสนสวย แมงทับปีกเขียว รูบึ้งที่ชักใยขาว เราเดินผ่านมันไปโดยไม่ตื่นเต้น เหมือนมันเป็นสิ่งคุ้นเคยและเล็กเกินไปสำหรับเรา เป่ากบ ดีดยางวง ยิงยางหนอน มองเป็นกิจกรรมสำหรับเด็กที่เล็กกว่า สภาพป่ารอบๆ บริเวณเริ่มโดนบุกถางเตียนโล่งมากขึ้นเรื่อยๆ เวลาจะไปล่ากระรอกก็ต้องเดินเข้าป่าไกลมากขึ้น ต้นหว้า ต้นหวาย กอระกำ ที่เราไปเก็บกินประจำทุกฤดูกาลโดนตัดโค่นหายไปเกือบหมด
เราเองก็ไม่เสียดายมันมากนัก ในเมื่อเราโตแล้ว ไม่สนใจปีนป่ายเก็บมากินเล่นเหมือนก่อน เด็กรุ่นหลังๆ ก็มีกิจกรรมเล่นที่แปลกออกไป ไม่ค่อยออกยิงนกตกปลาเหมือนพวกเรา หรืออาจเป็นเพราะไม่มีนกให้ล่า ไม่มีปลาให้ตกเหมือนก่อน
ต่อมาเมื่อผมจบปอหก ก็จำต้องแยกกับทีมซนเพื่อไปเรียนในตัวเมือง โดยไปอาศัยอยู่กับญาติที่นั่น ผมไม่ได้บอกลาใครในวันเดินทาง เดี่ยวไม่ได้เรียนต่อ เขาสนใจทำไร่ ยิงนกล่าสัตว์ในป่าอยู่เรื่อยๆ ราวกับเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขา โมทย์ก็ย้ายไปอยู่กับญาติที่กรุงเทพ ชีวิตจิตใจและร่างกายที่โตขึ้น พาเราก้าวไปข้างหน้าเรื่อยๆ ตามหนทางของแต่ละคน และพาความเป็นเด็กของเราในวันวานห่างออกไปไกลขึ้นทุกที
เมื่อผมกลับมาอีกครั้ง ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเกือบหมด โดยเฉพาะป่าที่รกครึ้ม ที่กลายเป็นสวนยางขนาดใหญ่ มีบ้านคนเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากตลอดทั้งซอย ดูแล้วน่าใจหาย
บ่ายวันนึงแดดไม่ร้อนมากนัก ผมเดินทอดน่องจากบ้านริมถนน เข้าไปเยี่ยมคลองบางทรายนวลที่จากไปนาน ตามเส้นทางที่เราเคยวิ่งเล่นตอนเด็กๆ ตอนนี้มันขยายกว้างออกไป จนรถยนต์วิ่งสวนกันได้
มาหยุดมองทุ่งหญ้าคาที่เคยกว้างใหญ่ของโมทย์ที่ตอนนี้กลายเป็นสวนปาล์มขนาดใหญ่ ที่ที่ครั้งนึงเราเคยคลานหมอบคลานหาไข่นกคุ่มมาต้มกิน และสร้างบ้านหญ้าคาไว้นอนพักกลางทุ่งกว้าง
ภาพเด็กสามคนที่นั่งมองบ้านหญ้าฝีมือตัวเองด้วยความภูมิใจยังคงชัดเจนในความคิด ราวกับว่ามันเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นไม่นานนี้เอง ออกก้าวเดินต่อ สองข้างทางไม่มีป่าใหญ่ ไม่มีกระรอกโผล่คอมาคอยดู ไม่มีนกเปล้าโผบินกินผลไม้ มีเพียงนกเล็กๆ กระโดดอยู่ประปราย
ผมเดินตัดผ่านสวนยางไปครูใหญ่ ก็มาถึงคลองบางทรายนวล มองไปแล้วใจหาย ข้ามคลองไปคือสวนยางของพ่อที่ปลูกแทนสวนเงาะ ที่ราคาตกลงแทบทุกปี จนต้องตัดใจโค่น เหลือไว้กินเองแค่สองสามต้น บางทรายนวลยามนี้ไหลเอื่อยๆ บ้างก็เป็นบึงขาดช่วงเหมือนคนป่วยกำลังจะขาดใจ สองฝั่งคลองตลอดลำน้ำไม่มีต้นไม้รกครึ้มให้ร่มเงาอีกต่อไป มีสวนยางและสวนปาล์มมาแทนทั่วพื้นที่ริมคลองแทบทั้งหมด
ยามหน้าแล้งน้ำในคลองจะแห้งขาดเป็นบึง ยามหน้าฝน น้ำก็หลากมาในครั้งเดียว แล้วก็ไหลผ่านแห้งหายไป ไม่กักเก็บอยู่เต็มคลองเหมือนก่อน บึงน้ำพรที่เราเคยกระโดดเล่นน้ำดำหัว บัดนี้รกเต็มไปด้วยกอต้นบอนและกิ่งไม้ดูระเกะระกะ น้ำเปลี่ยนเป็นสีเข้มลึกแค่ตาตุ่ม ไม่ใสสะอาดเหมือนเก่า เหล่าปลาเสือปลากระดี่ ไม่มีให้เห็นในคลองบางทรายนวล มีแค่ปลาซิวเล็กๆ ว่ายอยู่กลางบึงสองสามตัว บึงอื่นๆ ก็เช่นกัน
ที่เป็นเช่นนี้ อาจจะเกิดจากการถางป่า โค่นต้นไม้ แบบไม่ทันยั้งคิด บางคนบอกว่าเกิดจาการสร้างอ่างเก็บน้ำบางทรายนวลกั้นกระแสน้ำ ทำให้เสียสมดุลทางธรรมชาติ มันคงไม่ใช่หรอก ความเจริญต่างหากที่บุกรุกขยายเข้ามามากขึ้น จำนวนประชากรมากขึ้น ทำให้ธรรมชาตินั้นต้องถูกทำลายไปโดยปริยาย เพราะมันไม่สามารถหลบหลีกหนีไปไหนได้
ในใจส่วนลึกของผมผม กลับอยากจะคิดไปว่า บางทรายนวลคงจะเหงา ที่ไม่มีเหล่าเด็กซนมากระโดดน้ำเล่นให้ขุ่นเหมือนแต่ก่อน ไม่มีเสียงเจี๊ยวจ้าวเล่นไอเข้ดำน้ำซ่อนหา ไม่มีใครมาทงเบ็ดยามน้ำหลาก ที่จริงมันยังคงอยู่ที่เดิม ที่นั่น ตรงนั้น เราต่างหากที่เป็นฝ่ายห่างเหิน และหลงลืมมันไป แต่ไม่ว่าด้วยสาเหตุใดก็ตาม ก็ล้วนเกิดจากฝีมือมนุษย์ทั้งสิ้น
เลยบ่ายจนเกือบเย็นแล้ว พรุ่งนี้ผมต้องออกเดินทางไปเรียนต่อที่ต่างจังหวัด ไกลจากบ้านมากขึ้นไกลจากวัยเด็กมากขึ้น ไม่รู้จะได้กลับมาเยี่ยมที่นี่อีกเมื่อไหร่ หันไปมองบริเวณรอบๆ บางทรายนวลอีกครั้ง เหมือนบอกลาภาพฝันในวัยเด็ก แววตาเราหยาบกระด้างขึ้น ความคิดเรากว้างไกลขึ้น เริ่มมองสิ่งเล็กๆเป็นเรื่องไม่สำคัญ แมงมุมน้ำที่วิ่งบนผิวน้ำเบื้องหน้านั้น ผมเกือบจะลืมมองมันด้วยซ้ำ ทั้งที่เมื่อก่อนเราเคยทักทายมันตอนมาเล่นน้ำที่นี่
ผมเดินกลับออกมาจากบางทรายนวลด้วยใจเศร้าๆ นึกเสียดายวันเก่าๆ ในวัยเด็กที่มันผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนเราแทบไม่รู้เนื้อรู้ตัว นึกถึงทุ่งหญ้า ป่ากว้างที่เคยหมอบคลานปีนป่าย นึกถึงเหล่าสหายชายหญิง ที่ต่างแยกย้ายกันไปใช้ชีวิต ดิ้นรนกันคนละทางคนละแบบ จนแทบไม่ได้เจอกัน
สุดท้าย นึกถึงคลองบางทรายนวล อันอ่อนล้า เงียบเหงา ดูเหมือนมันกำลังจะเหือดแห้งไปตามกาลเวลา เหมือนภาพฝันในวัยด็กของเรา โดยที่เราไม่อาจนำมันกลับคืนมาให้เหมือนเก่าได้อีกเลย....
.......ครั้งหนึ่งที่บางทรายนวล...........
โฆษณา