29 ก.ย. 2020 เวลา 03:47 • ปรัชญา
"เพื่อความสำเร็จ บางครั้งเราต้องยอมให้สปอร์ตไลท์ส่องที่คนอื่นบ้าง"
ในการทำงานไม่ว่าในสาขาอาชีพใดก็ตาม คงมีคนจำนวนไม่น้อยที่ต้องการเป็นดาวเด่นขององค์กรที่ตนสังกัด
เพราะนอกจากจะเป็นที่สนใจของคนอื่น ๆ แล้ว ยังสามารถต่อรองค่าจ้างหรือได้สิทธิพิเศษต่าง ๆ มากกว่าพนักงานทั่วไป
แต่ในงานที่มีความยากและสลับซับซ้อน หรือต้องใช้บุคลากรเป็นจำนวนมากนั้น
แม้จะเป็นดาวเด่นที่มีความสามารถมากแค่ไหนก็ตาม เพียงแค่คนเดียวคงไม่สามารถทำให้งานนั้นสำเร็จลุล่วงไปได้
เพราะจะต้องอาศัยความช่วยเหลือจากคนอื่น ๆ ที่มีความสามารถแตกต่างกันไปตามความถนัดของแต่ละสายงาน
ผมขอยกตัวอย่างจากกีฬาที่ต้องอาศัยทีมเวิร์คหรือการเล่นเป็นทีมอย่างบาสเกตบอล
ซึ่งหากพูดถึงกีฬาบาสเกตบอลแล้วคงไม่มีใครไม่รู้จัก "ไมเคิล จอร์แดน" อย่างแน่นอน
ทุกคนทั่วโลกต่างรู้ดีว่าไมเคิล จอร์แดนเป็นนักบาสเกตบอลที่เก่งกาจขนาดไหน
ถ้าจะเรียกว่า "เก่งที่สุดตลอดกาล" ก็คงไม่ใช่คำเปรียบเปรยที่เกินเลยแต่อย่างใด
เอาเป็นว่าสื่อทั่วโลกต่างยกย่องให้เขาเป็น greatest of all time (GOAT) ของวงกีฬาบาสเกตบอลไปแล้ว ไม่ต่างจากเปเล่หรือ ดีเอโก้ มาราโดน่า ที่เป็นสุดยอดในกีฬาฟุตบอล
แต่กว่าที่ไมเคิลฯ จะก้าวมาถึงจุดนี้ได้นั้นใช่ว่าหนทางจะถูกโรยไว้ด้วยกลีบกุหลาบ
ไมเคิลฯ ถูกคัดเลือกโดยทีมชิคาโก้ บลูส์ ในปี ค.ศ. 1984 และเล่นให้กับทีมจนถึงปี 1998
โดยก่อนปี 1991 นั้น ไมเคิลฯ สามารถกวาดรางวัลมาได้เกือบทั้งหมดไม่ว่าจะเป็น
- รางวัลผู้เล่นหน้าใหม่ยอดเยี่ยม
- แชมป์สแลมดังก์
- แชมป์ทำคะแนนสูงสุด
- ผู้เล่นป้องกันยอดเยี่ยม
- ผู้เล่นทรงคุณค่าฤดูกาลปกติ
เรียกได้ว่าอะไรที่เป็นรางวัลส่วนตัวของนักกีฬา ไมเคิลฯ ได้มาหมดแล้ว เว้นแต่...
"ตำแหน่งแชมป์ NBA"
สไตล์การเล่นของไมเคิลฯ จะเน้นไปที่การทำคะแนน บุกทะลวงเข้าหาห่วงของทีมตรงข้าม ไม่มีคู่แข่งคนใดสามารถประกบไมเคิลฯ ตัวต่อตัวได้เลย
แต่แม้จะเก่งกาจยังไง ไมเคิลฯ ก็ไม่สามารถพาทีมได้แชมป์ NBA ได้เลยตลอดระยะเวลา 7 ปีแรกของการเล่นอาชีพ (ปี 1984 - 1990)
มีนักวิจารณ์และสื่อหลายสำนักให้ความเห็นว่าสไตล์การเล่นของไมเคิลฯ นั้นยากที่จะพาทีมถึงฝั่งฝันได้ เพราะแม้ไมเคิลฯ จะเก่งกาจเพียงใดแต่เมื่อถูกคู่แข่งหลายคนรุมเข้าก็ออกอาการไปไม่เป็นอยู่เหมือนกัน
อีกทั้งด้วยสไตล์การเล่นแบบวันแมนโชว์นั้น ไม่สามารถทำให้ผู้เล่นคนอื่น ๆ ยกระดับการเล่นของตัวเองขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือเขาได้
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะไมเคิลฯ "ขาดความเชื่อใจเพื่อนร่วมทีม" นั้นเอง
แต่การเข้ามาของฟิล แจ็คสันและสตาฟโค้ชกลุ่มใหม่ในปี 1989 ทำให้ประวัติศาสตร์ของทีมชิคาโก้ บลูส์ และไมเคิลฯ ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
มีใครบางคนในกลุ่มสต๊าฟโค้ชได้บอกกับไมเคิลฯ ว่า เขาต้องยอมให้สปอร์ตไลท์ส่องไปที่ผู้เล่นคนอื่นบ้าง ต้องแบ่งปันให้เพื่อนร่วมทีมได้โดดเด่นเฉิดฉายในสนามบ้าง
เพื่อที่จะได้สร้างความมั่นใจให้กับการเล่นของเพื่อนร่วมทีมคนอื่น ๆ และเพื่อไมเคิลฯ เองจะได้เล่นได้ง่ายขึ้นด้วย
ซึ่งคำพูดดังกล่าวเหมือนเป็นการปลดล็อคให้แก่ไมเคิลฯ หรือเหมือนเป็นการปลดปล่อยสิงโตที่หิวกระหายออกจากกรงขัง
เพราะหลังจากนั้นไมเคิล จอร์แดนและทีมชิคาโก้ บลูส์ ก็ได้ร่วมกันสร้างประวัติศาสตร์ให้แก่วงการบาสเกตบอล และทำให้กีฬาชนิดนี้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก
ทีมชิคาโก้ บลูส์ได้แชมป์บาสเกตบอล NBA ถึง 6 สมัย ในปี 1991 - 1993 และ 1996 - 1998 (มีเว้นช่วงไป 2 ปีเนื่องจากไมเคิลฯ ได้สูญเสียคุณพ่อและหันไปเล่นเบสบอล)
ส่วนไมเคิลฯ ได้รับรางวัลผู้เล่นทรงคุณค่าในนัดชิงชนะเลิศ และกลายเป็นนักกีฬาที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาลของวงการบาสเกตบอลและของโลกใบนี้
ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ....
ไมเคิลฯ ยอมลดอีโก้ของตัวเองลง
ยอมเชื่อใจและพึ่งพาคนอื่นมากขึ้น
ยอมให้คนอื่นได้เป็นดาวเด่นในคืนนั้น
เพื่อตัวเองจะได้เป็นดาวค้างฟ้าไปตลอดกาล
references :
#Leaderคิดอย่างผู้นำ
โฆษณา