30 ก.ย. 2020 เวลา 11:00 • ประวัติศาสตร์
“มาชูปิกชู (Machu Picchu)” นครที่สาบสูญของชาวอินคา ตอนที่ 1
ความรุ่งเรืองของอาณาจักรอินคา
หลายคนอาจจะเคยได้ยินชื่อ “มาชูปิกชู (Machu Picchu)” และอาจจะเคยได้ไปเยือนสถานที่แห่งนี้
1
แต่คิดว่าหลายคนน่าจะอยากทราบถึงประวัติความเป็นมาของสถานที่แห่งนี้ สถานที่ๆ เป็นนครโบราณของชาวอินคา
ต้องย้อนกลับไปเมื่อหลายร้อยปีก่อน ช่วงเวลาก่อนที่นักสำรวจชาวยุโรปจะเดินทางไปสำรวจดินแดนต่างๆ ที่อเมริกาเหนือและอเมริกาใต้นั้น เป็นที่อยู่ของชนเผ่าพื้นเมือง
ชนเผ่าพื้นเมืองเหล่านี้ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ตกปลา ล่าสัตว์ ใช้ชีวิตใกล้ชิดกับธรรมชาติ
ชนเผ่าต่างๆ ในอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้
แต่ในยุคค.ศ.1400 (พ.ศ.1943-2042) ชนเผ่า “อินคา (Inca)” ซึ่งอาศัยอยู่ในอเมริกาใต้ ได้ก้าวล้ำนำหน้าชนเผ่าอื่นๆ
กษัตริย์แห่งอินคาได้ปกครองดินแดนผืนใหญ่ โดยมีเมืองหลวงชื่อ “กุสโก (Cuzco)”
อาณาจักรอินคามีถนนและมีบ้านที่ทำจากหิน อีกทั้งศิลปะก็ก้าวหน้า
ชาวอินคารู้จักการทำเครื่องใช้ต่างๆ ด้วยทองแดงและสัมฤทธิ์ และยังรู้จักการทำเครื่องประดับจากทองคำและเงิน และยังทอผ้าที่มีการออกแบบพิเศษสำหรับเชื้อพระวงศ์
สำหรับวิทยาการความรู้ ชาวอินคาศึกษาเรื่องราวของท้องฟ้า เรียนรู้เรื่องของพระอาทิตย์ พระจันทร์ และดวงดาวต่างๆ
1
ชาวเมืองในอาณาจักรอินคา
ถึงแม้ชาวอินคาจะไม่มีภาษาเขียนเป็นของตนเอง แต่พวกเขาก็มีการจดบันทึกสิ่งต่างๆ
พวกเขามีระบบการบันทึกตัวเลข โดยใช้เงื่อนผูกเป็นปม ซึ่งเรียกว่า “กีปู (Quipus)”
1
กีปูจะช่วยทำให้พวกเขาทราบว่าตนนั้นมีที่ดินจำนวนเท่าไร และยังช่วยบันทึกด้วยว่ามีประชากรเท่าไรที่อาศัยอยู่ในอาณาจักรอินคา
กีปู (Quipus)
ชาวอินคานั้นเชื่อว่าตนพิเศษกว่าชนเผ่าอื่นๆ พวกตนเป็นผู้ที่พระเจ้าเลือก
ชาวอินคาบวงสรวงพระอาทิตย์ และสร้างวิหารที่ทำจากหินเพื่อใช้ในการทำพิธีทางศาสนา
วิหารในกุสโกนั้นประดับด้วยทองคำ สร้างอย่างแข็งแรงและทนทาน
ภายในวิหารมีรูปปั้นเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ นั่นคือ “อินทิ (Inti)”
อินทิ (Inti)
นอกวิหาร ยังมีการตกแต่งด้วยรูปปั้นสัตว์ต่างๆ ซึ่งล้วนแต่ทำมาจากทองคำ
สำหรับกษัตริย์อินคา เมื่อสวรรคต พระบรมศพจะถูกนำไปทำเป็นมัมมี่เพื่อป้องกันการเน่าเสีย
มัมมี่จะได้รับการดูแลอย่างดี มีการนำอาหารมาถวาย และมัมมี่ก็จะถูกแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่สวยงาม ประดับด้วยทองคำและขนนก
ภาพวาดกษัตริย์อินคา
อาณาจักรอินคานั้นไม่ได้แข็งแกร่งมาตั้งแต่ทีแรก
ในต้นยุคค.ศ.1400 (พ.ศ.1943-2042) ชนเผ่าอินคานั้นมีขนาดเล็กและอ่อนแอ หากแต่เมืองกุสโกนั้นมีอากาศดี ผืนดินก็อุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การเพาะปลูก ทำให้การอาศัยอยู่ในกุสโกนั้นง่ายและสะดวกสบาย
2
ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของกุสโก ทำให้เผ่า “ชานคาส (Chancas)” สนใจ และมุ่งตรงมายังกุสโก โดยมีจุดประสงค์ที่จะเข้าโจมตีและยึดเมืองแห่งนี้
กษัตริย์อินคานั้นทรงชรา อีกทั้งยังหวาดกลัวศัตรู หากแต่พระองค์นั้นมีพระราชโอรสที่ฉลาดและกล้าหาญ
พระราชโอรสทรงเป็นพันธมิตรกับเผ่าอื่นๆ และรวมกันเป็นกองทัพ บุกเข้าสู้กับชานคาส ก่อนที่พวกชานคาสจะทันโจมตี
ทหารอินคาสู้กับชานคาสอย่างดุเดือด และในที่สุด ชาวอินคาก็ชนะด้วยการยึดมัมมี่กษัตริย์ชานคาสไว้ได้
สงครามของชาวอินคา
เมื่อปราศจากมัมมี่ของกษัตริย์ตน ทหารชานคาสต่างก็เสียกำลังใจ และคิดว่าตนคงไม่มีพลังอำนาจพอที่จะสู้กับศัตรู และยอมแพ้
พระราชโอรสของกษัตริย์อินคาได้ขึ้นเป็นกษัตริย์องค์ใหม่
กษัตริย์องค์ใหม่ได้ทรงเลือกพระนามสำหรับการขึ้นครองราชย์ นั่นคือ “พาชาคุติ (Pachacuti)”
พาชาคุติ (Pachacuti)
พระนามของพระองค์มีความหมายว่า “ผู้เขย่าโลก” หรือ “ผู้ที่ทำให้โลกกลับหัว”
พระเจ้าพาชาคุติได้ทรงเขย่าโลกด้วยการเอาชนะชนเผ่าชานคาส
พระเจ้าพาชาคุติได้ทรงเปลี่ยนแปลงอาณาจักรอินคาทีละนิดๆ
ก่อนอื่น พระองค์ทรงบูรณะกุสโก พระองค์ทรงเปลี่ยนเมืองนี้ให้รุ่งเรือง
วิหารเดิมนั้นไม่ได้สร้างจากหินอย่างดีและไม่ได้ประดับด้วยทองคำเยอะเท่าที่ควร พระเจ้าพาชาคุติจึงทรงสร้างวิหารใหม่ หรูหราอลังการ แม้แต่ผนังก็ประดับด้วยทองคำ อีกทั้งพระองค์ยังมีรับสั่งให้สร้างตึกอีกหลายแห่งสำหรับราชสำนักของพระองค์
กุสโกในปัจจุบัน
จากนั้น พระเจ้าพาชาคุติก็ทรงขยายอาณาเขตของพระองค์ โดยพระองค์ทรงคิดว่าการที่จะป้องกันให้ดินแดนและประชาชนของพระองค์อยู่อย่างสันติและปลอดภัย นั่นก็คือต้องหาทางไม่ให้ดินแดนใกล้เคียงโจมตีดินแดนของพระองค์
1
ดังนั้น พระองค์จะชิงโจมตีดินแดนอื่นก่อน
2
พระเจ้าพาชาคุติทรงนำทัพ ทำศึกกับดินแดนต่างๆ และเมื่อพระองค์ทรงชนะเผ่าอื่น พระองค์ก็จะให้ชาวนาของเผ่านั้นๆ มาทำงานรับใช้พระองค์
ชาวนาที่ถูกจับจะต้องทำงานสร้างถนน และปลูกพืชเพื่อเป็นเสบียงกองทัพ
ในไม่ช้า อาณาจักรอินคาก็ขยายขอบเขตไปทั่วแดน
กองทัพอินคา
เผ่าบางเผ่าก็ได้ต่อต้าน ไม่ยอมอ่อนน้อมต่อพระเจ้าพาชาคุติ ซึ่งพระเจ้าพาชาคุติก็จะนำทัพบดขยี้ผู้ต่อต้าน หากแต่เผ่าส่วนใหญ่เลือกที่จะเข้าร่วมกับอาณาจักรอินคา
พระเจ้าพาชาคุติเป็นพระประมุขที่ฉลาดหลักแหลม พระองค์ไม่เพียงแต่ใช้พระเดช พระองค์ทรงใช้พระคุณด้วย
พระองค์มักจะมีรับสั่งให้นำของขวัญไปมอบให้ผู้นำเผ่าศัตรู อีกทั้งพระองค์ยังทรงสัญญากับเผ่าอื่นๆ ว่าพระองค์จะทรงแบ่งสมบัติ ความมั่งคั่งแก่เผ่าอื่นๆ อีกทั้งยังแต่งตั้งครอบครัวของผู้นำเผ่าอื่นๆ เป็นเชื้อพระวงศ์ในอาณาจักรของพระองค์
1
สำหรับชาวเผ่าพื้นเมือง พระองค์ก็ทรงสัญญาว่าจะทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดี และพระองค์ยังจัดงานเลี้ยงให้เผ่าพื้นเมือง เลี้ยงทั้งเนื้อ มันฝรั่ง และเบียร์ข้าวโพด
1
อาหารในงานเลี้ยงของชาวอินคา
แต่เพื่อความอยู่ดีกินดีและการคุ้มครองจากพระเจ้าพาชาคุติ นอกเหนือจากใช้แรงงานแล้ว ชาวนาต้องจ่ายภาษีให้พระองค์
ด้วยความรุ่งเรืองนี้เอง พระเจ้าพาชาคุติจึงทรงมีฐานะร่ำรวยอย่างมาก
ภายในยุคค.ศ.1500 (พ.ศ.2043-2142) อาณาจักรอินคาก็ได้แผ่อำนาจ มีอำนาจเหนือพื้นที่แถบชายฝั่งตะวันตกของอเมริกาใต้ คิดเป็นพื้นที่เกือบ 812,500,000 ไร่ (แปดร้อยสิบสองล้านห้าแสนไร่) หรือ 1,300,000 ตารางกิโลเมตร (หนึ่งล้านสามแสนตารางกิโลเมตร)
ดินแดนของอาณาจักรอินคาแผ่ขยายไปยังดินแดนที่ปัจจุบันคือประเทศเปรู โบลิเวีย เอกวาดอร์ โคลัมเบีย ชิลี และอาร์เจนตินา และเป็นอาณาจักรที่ใหญ่ที่สุดที่เคยมีในอเมริกาใต้
แผนที่แสดงเขตอำนาจของอาณาจักรอินคา
ทุกครั้งที่พระเจ้าพาชาคุติเอาชนะเผ่าใหญ่ๆ ได้ พระองค์จะมีรับสั่งให้สร้างพระราชวังและชุมชนในดินแดนนั้น
พระราชวังในแต่ละที่ของพระองค์ มักจะสร้างในหุบเขาที่เปิดโล่ง เห็นวิวทิวทัศน์ได้อย่างชัดเจน ซึ่งต่างจากมาชูปิกชู
1
แต่ในยุคค.ศ.1450 (พ.ศ.1993-2002) พระเจ้าพาชาคุติทรงเอาชนะเผ่าที่อาศัยอยู่ในหุบเขาทางเหนือของกุสโก
พระองค์ทรงมีรับสั่งให้สร้างพระราชวังที่ดีที่สุด อยู่บนภูเขาสูง
ปัจจุบัน พระราชวังนั้นคือ “มาชูปิกชู (Machu Picchu)”
1
เรื่องราวของสถานที่แห่งนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป ติดตามได้ในตอนหน้านะครับ
โฆษณา