4 ต.ค. 2020 เวลา 02:22 • หุ้น & เศรษฐกิจ
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเศรษฐกิจโลกในระยะต่อไป
เรียบเรียงจาก คุณวชิรวัฒน์ บานชื่น นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส SCB EIC ในรายการ Mission to the Moon 2/10/20
มีข้อมูลอะไรที่บ่งชี้ว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงแล้ว ประเด็นที่เป็นสิ่งสำคัญสำหรับเศรษฐกิจโลกในช่วงที่เหลือของปีนี้ต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า มี 3 ประเด็นหลัก
1. การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกมองว่ามีทิศทางชะลอลง
การฟื้นตัวตอนนี้ต่ำกว่าช่วงก่อน Covid
2.มาตรการภาครัฐที่เคยเข้ามาสนับสนุนในช่วงที่ผ่านมา รอบโลกทะยอยหมดไป และการต่ออายุก็มีขนาดเล็กลง
3.รอยแผลเป็นทางเศรษฐกิจ (Scaring Effect) เพราะ Covid-19 ส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจในระยะกลางถึงยาว
เริ่มที่ประเด็นแรก ไตรมาส 2 ตัวเลขเศรษฐกิจ GDP Q2 ที่ทะยอยออกมาในหลายๆประเทศ พบว่าติดลบรุนแรงมาก (บางประเทศติดลบตั้งแต่ Cold War) ส่วนใหญ่จะติดลบมากที่สุดนับตั้งแต่ Global Financial Crisis ในปี 2008-2009 โดยเหตุผลหลักๆอย่างแรกคือการแพร่ระบาดของ Covid-19 อีกอย่างที่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการหดตัวอย่างรุนแรงของเศรษฐกิจคือมาตรการปิดเมือง เพราะในช่วงที่ผ่านมา Q1-Q2 ประเทศส่วนใหญ่ใช้มาตรการปิดเมืองแบบ Nation wide lockdown คือการปิดทั้งประเทศ ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจหายไปหมด ตอนนี้ประเทศส่วนใหญ่เริ่มเรียนรู้แล้วว่าการปิดแบบนี้มีผลเสียและพยายามหลีกเลี่ยง
ปัจจุบันพอการแพร่เชื้อน้อยลง ภาครัฐเริ่มควบคุมสถานการณ์ได้ก็เริ่มผ่อนคลายมาตรการปิดเมือง แต่เชื้อก็กลับมาระบาดอีกในบางพื้นที่ ในบางประเทศเริ่มเห็น Second wave เลยทำให้ภาครัฐต้องออกมาใช้มาตรการปิดเมืองอีกรอบ ทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในปลาย Q2-Q3 เริ่มปรับชะลอลง แต่สิ่งที่แตกต่างในรอบนี้คือ มาตรการที่ใช้เป็นการปิดเมืองแค่บางพื้นที่ Local lockdown เพราะได้รับบทเรียนแล้วว่าประเทศไหนที่ใช้มาตรการปิดเมืองที่เข้มงวดและรุนแรง จะมีการหดตัวของเศรษฐกิจเยอะกว่า
Indicator ที่ใช้ดูการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
1. Google Mobility Index ที่เริ่มฟื้นต้น Q2 แต่ตอนนี้เริ่มชะลอลง เพราะการใช้ Local lockdown เลยทำให้การฟื้นตัวชะลอลง
2. ยอดการใช้บัตรเครดิต ก็เป็นคล้ายๆกัน
ยังมีเรื่อง การฟื้นตัวอย่างไม่เท่าเทียมกันในแต่ละ Sector ยกตัวอย่างเช่นในยุโรป Sector ที่ฟื้นตัวช้าที่สุดคือ สิ่งทอ ส่วน Sector ที่ฟื้นตัวเร็วที่สุด คือ Internet และการสื่อสาร
ถ้าดูรายประเทศ จะเห็นว่า สเปน อิตาลี ที่พึ่งพาภาคบริการและการท่องเที่ยวมากกว่า จะฟื้นตัวช้ากว่า เยอรมัน
ดูจาก Forecast GDP ของปีนี้ สเปน อิตาลี ติดลบ 10-11% ในขณะที่เยอรมัน ติดลบ 5-6%
อีกกรณีเป็นญี่ปุ่น ภาคบริการ ฟื้นตัวบ้างแต่ก็อยู่ต่ำกว่าก่อนเกิด Covid เยอะ และฟื้นตัวช้ากว่าภาคอื่นๆ แต่ถ้ามาดูด้าน Supply, Production พวกสินค้าคงทน พบว่าโตเร็วและฟื้นตัวมาใกล้กับช่วงก่อน Covid
จีนก็คล้ายๆกัน ดูจาก Retail sales, Industrial production ฟื้นกลับมาเท่ากับช่วงก่อน Covid แล้ว
ดังนั้นการฟื้นตัวมีระดับแตกต่างกัน ประเทศที่พึ่งพาการบริการ การส่งออก การท่องเที่ยวและโรงแรม จะฟื้นตัวช้ากว่า
ประเด็นที่ 2 สืบเนื่องมาจากประเด็นแรก คือในช่วงที่ Covid ระบาด ภาครัฐได้เข้ามาดูแล และมีมาตรการออกมาเยอะ โดยในหลายๆประเทศมีการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าไปช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจ คิดเทียบแล้วประมาณ 10% ต่อ GDP ทั้งนั้น ปัญหาคือ ไตรมาส 2 มีมาตรการสนับสนุน แต่ไตรมาส 3-4 มาตรการเหล่านี้ส่วนใหญ่เริ่มหมดอายุลง มันก็เลยเป็นความเสี่ยงว่า ถ้าหากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกกำลังไปได้ดี แต่ว่ามาตรการที่เข้ามาอุ้มนั้นหายไป แปลว่า อาจจะทำให้การฟื้นตัวไม่ต่อเนื่องได้ เลยเกิดหน้าผาทางการเงิน (Fiscal cliff)
อย่างเช่นในอเมริกามี Insurance ที่เป็น Unemployment benefit ที่สนับสนุน Labor ถ้ามาตรการนี้หายไปก็เหมือนกับเจอหน้าผา
ประเด็นที่ 3 รอยแผลเป็นทางเศรษฐกิจ
ในภาคธุรกิจ ถ้าเราไปดูตัวเลขของบริษัทที่ล้มละลายก็จะเห็นว่าปรับสูงขึ้นมาก ในอเมริกาปรับสูงขึ้นมาแตะเทียบเท่ากับวิกฤต Hamburgers’Crisis 2008-2009 Bankruptcies ของญี่ปุ่นก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน
ในภาคครัวเรือน ดูการจ้างงาน ยกตัวอย่างเช่น อเมริกาก่อนเกิด Covid อัตราการว่างงานแค่ 4% และในช่วงพีคเดือนเมษายนที่ผ่านมา อัตราการว่างงานพุ่งไปที่ 14% ล่าสุดแม้ว่าเศรษฐกิจฟื้นตัว อัตราการว่างงานก็ยังสูงอยู่ที่ 8% เพราะการปิดตัวของธุรกิจเพิ่มขึ้น อัตราการว่างงานสูงขึ้น และก็น่าจะเป็นการว่างงานในระยะยาวด้วย จะไม่สามารถกลับมาได้รวดเร็วนัก จะส่งผลต่อประสิทธิภาพของระบบเศรษฐกิจ Labor productivity เพราะเเม้ว่าในระยะต่อไปแรงงานจะถูกกลับมาจ้าง แต่เค้าก็อาจจะทำงานที่เปลี่ยนไป เพราะในเชิงความคุ้นชิน ความเคยชิน ที่เค้าเคยมีมาอาจหายไป Job matching ก็อาจหายไป เลยทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง ดังนั้นสิ่งที่น่ากลัวในระยะกลาง-ยาว คืออาจทำให้ประสิทธิภาพของ Economic growth ลดลง
โฆษณา