6 ต.ค. 2020 เวลา 03:32 • หุ้น & เศรษฐกิจ
ประเทศกลุ่มนอร์ดิก ต้นแบบของรัฐสวัสดิการ
2
ประเทศกลุ่มนอร์ดิก (Nordic Countries) เป็นกลุ่มประเทศที่ตั้งอยู่บนคาบสมุทรสแกนดิเนเวียในยุโรปเหนือ ประกอบด้วย 5 ประเทศ ได้แก่ ฟินแลนด์ สวีเดน นอร์เวย์ ไอซ์แลนด์ และ เดนมารก์
จากรายงาน The World Happiness ปี ค.ศ. 2020 ได้เปิดเผยอันดับประเทศที่ประชาชนมีความสุขมากที่สุดในโลก ช่วงปี ค.ศ. 2017-2019 จาก 153 ประเทศ ผลปรากฎว่า ประเทศกลุ่มนอร์ดิกติด 10 อันดับแรกของโลก (ฟินแลนด์ อันดับ 1, เดนมาร์ก อันดับ 2 , ไอซ์แลนด์ อันดับ 4 , นอร์เวย์ อันดับ 5 และ สวีเดน อันดับ 7) ขณะที่ไทยติดอันดับ 54 ของโลก
1
นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาจาก รายได้ต่อหัว (GNI per Capita) พบว่า ประชากรในประเทศเหล่านี้มีรายได้ต่อหัว ประมาณ 48,000 ถึง 68,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ จัดอยู่ในกลุ่มประเทศร่ำรวย
ขณะที่ค่าสัมประสิทธิ์จีนี (Gini Coefficient) มีค่าน้อยกว่า 0.3 แสดงว่าประเทศกลุ่มนอร์ดิกมีการกระจายรายได้ที่ดี มีความเหลื่อมล้ำน้อย (ค่า Gini มีค่าระหว่าง 0 ถึง 1 ยิ่งค่า Gini มีค่ามาก แปลว่า ประเทศมีความเหลื่อมล้ำมาก)
รายได้ต่อหัว และ ค่า Gini ของประเทศกลุ่มนอร์ดิก
ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ประเทศเหล่านี้ติดอันดับต้นๆประเทศน่าอยู่ของโลก คือ การมีรัฐสวัสดิการ (State Welfare) ที่ดี รัฐบาลเป็นผู้จัดสวัสดิการดูแลและสร้างหลักประกันแก่ประชาชนในประเทศอย่างถ้วนหน้าและเท่าเทียม อย่างเช่น
1
การจัดการศึกษาที่มีคุณภาพสูง ให้ประชาชนทุกคนเรียนฟรี จนถึงระดับมหาวิทยาลัย
1
การรักษาพยาบาล ที่ให้ประชาชนรักษาพยาบาลฟรี
1
การจ้างงานที่ยืดหยุ่นพร้อมกับการประกันสังคมที่เข้มแข็ง นายจ้าง ผู้ประกอบการ Start-Up สามารถปรับลดคนงานได้อย่างรวดเร็วตามสภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อลดต้นทุนและสามารถแข่งขันการค้าในตลาดโลกได้ ขณะเดียวกันรัฐบาลมีเงินช่วยเหลือให้แก่ผู้ว่างงาน อย่างเช่น รัฐบาลเดนมาร์กจ่ายเงินให้แก่ผู้ว่างงานเป็นระยะเวลา 2 ปี รัฐบาลฟินแลนด์จ่ายเงินให้แก่ผู้ว่างงาน 18 เดือน
1
ระบบบำนาญและการดูแลผู้สูงอายุ โดยนอร์เวย์และสวีเดน เป็นประเทศที่มีสวัสดิการดูแลผู้สูงอายุ อันดับที่ 1 และ 2 ของโลก
1
นโยบายที่ให้ทั้งพ่อและแม่สามารถหยุดงานเพื่อลี้ยงลูกร่วมกัน อย่างเช่น ประเทศสวีเดนให้ผู้หญิงและผู้ชายสามารถลางานเพื่อเลี้ยงดูลูกได้เป็นระยะเวลา 480 วัน โดยยังได้รับเงินเดือน นโยบายนี้ต้องการให้ผู้หญิงและผู้ชายรับผิดชอบเลี้ยงดูบุตรร่วมกัน เพื่อไม่ให้ผู้หญิงเป็นผู้รับผิดชอบเพียงผู้เดียว เป็นการสร้างความเท่าเทียมทางเพศและคุณภาพชีวิตที่ดีแก่เด็กที่เกิดมา
ในแต่ละปี รัฐบาลของประเทศเหล่านี้ต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก ประมาณ 50-60% ของ GDP โดยเป็นงบประมาณด้านการศึกษาและสาธารณสุขประมาณ 15% ของ GDP
งบประมาณด้านการศึกษาและสาธารณสุขประมาณ 15% ของ GDP
เมื่อรัฐบาลมีงบประมาณด้านสวัสดิการสูง รายได้ของรัฐบาลก็ต้องมากเช่นกัน แหล่งรายได้ของรัฐบาลมาจากการจัดเก็บภาษีรายได้ในอัตราที่สูง ประมาณ 50-60 % รวมทั้งการเก็บภาษีมรดกและภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
การเก็บภาษีในอัตราที่สูง ของประเทศกลุ่มนอร์ดิก
ถึงแม้ว่าประชาชนในประเทศเหล่านี้จะจ่ายภาษีในอัตราที่สูง แต่เมื่อมีการจัดอันดับประเทศที่น่าอยู่ ประเทศที่ประชากรมีคุณภาพชีวิตที่ดีซึ่งพิจารณาจากดัชนีพัฒนามนุษย์ (Human Development Index) ประเทศในกลุ่มนอร์ดิกติดอันดับต้นๆของโลกเป็นประจำอยู่เสมอ
ดัชนีการพัฒนามนุษย์ ประจำปี 2019
จึงไม่น่าแปลกใจที่หลายประเทศหันมาให้ความสนใจ ศึกษาและเรียนรู้ระบบรัฐสวัสดิการของประเทศเหล่านี้ เพื่อเป็นแนวทางในการสร้างสวัสดิการสังคมขั้นพื้นฐานแก่ประชาชนอย่างถ้วนหน้าและเท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเสมอภาคให้แก่ประชาชน โดยยึดหลักเฉลี่ยทุกข์สุขของคนในประเทศ และเมื่อประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี ก็นำไปสู่การพัฒนาประเทศที่มั่งคั่งและยั่งยืนต่อไป
อ้างอิง
โฆษณา